
วิเคราะห์ความเสี่ยง 9 จังหวัดใต้ เมืองไหนเสี่ยงน้ำท่วมหนักไม่ต่างจากหาดใหญ่

ที่มาของภาพ : Thai Knowledge Pix
- Author, วศินี พบูประภาพ
- Position, ผู้สื่อข่าว.
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ระบุข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 25 พ.ย. 2568 ว่าสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้กินพื้นที่ถึง 9 จังหวัด มีประชาชนกว่า 798,695 ครัวเรือนได้รับผลกระทบ และมีผู้เสียชีวิตรวม 13 ราย
แม้ว่าความสนใจของสาธารณชนส่วนใหญ่มุ่งไปที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่เผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงระดับประวัติการณ์ แต่ข้อมูลจากภาพแผนที่ดาวเทียมที่สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA ) วิเคราะห์ความลึกของน้ำ ณ วันที่ 24 พ.ย. 2568 ก็เปิดเผยว่าพื้นที่อื่น ๆ ในจังหวัดอื่น ๆ ในภาคใต้ก็ได้รับผลกระทบรุนแรงไม่ต่างกัน โดยจุดสีเหลืองซึ่งแสดงถึงระดับน้ำท่วมที่สูงตั้งแต่ 2.5 เมตรขึ้นไป ยังพบกระจายตัวใน จ.นครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง ปัตตานีและนราธิวาส
อย่างไรก็ดี สถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดเหล่านี้รุนแรงเท่าหาดใหญ่หรือไม่
.รวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ 3 ราย ได้แก่ กานดาศรี ลิมปาคม รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA), ผศ.ดร.เอกกมล วรรณเมธี ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ และ ผศ.ดร.เทพไท ไชยทอง ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า อะไรคือปัจจัยที่กำหนดให้บางพื้นที่มีความรุนแรง (Hazard) ของภัยพิบัติมากกว่าพื้นที่อื่น

ที่มาของภาพ : GISDA
หาดใหญ่ท่วมลึกจากความเป็นแอ่งและความเป็นเมือง
สิ่งหนึ่งที่สร้างความตระหนกให้กับประชาชนและสื่อมวลชนคือระดับความลึกของน้ำท่วมในพื้นที่เมืองหาดใหญ่ ซึ่งในบางจุดมีความลึกสูงถึง 4 เมตร และโดยทั่วไปอยู่ในช่วง 2-3 เมตรในพื้นที่บ้านเรือน
กานดาศรีอธิบายว่า GISTDA ได้นำข้อมูลความสูงภูมิประเทศมารวมกับข้อมูลดาวเทียมเพื่อประเมินความลึกของน้ำท่วม โดยข้อมูลจากวันที่ 24 พ.ย. 2568 พบพื้นที่น้ำท่วมขังรวม 334,895 ไร่ ใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ และบริเวณลุ่มน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา มีการแสดงสีน้ำเงินเข้มและสีม่วง ซึ่งบ่งชี้ถึงระดับน้ำที่วิกฤตเกินกว่า 2.5 เมตร
“ถ้าดูจากตัวเลขความลึก อาจจะเห็นว่าบางพื้นที่มีระดับน้ำสูงมาก แต่ถ้าเป็นบริเวณบ้านเรือนจริง ระดับน้ำจะอยู่ประมาณ 2–3 เมตร …ไม่ได้สูงถึง 5–6 เมตร” รองผู้อำนวยการ GISTDA อธิบาย
ความเป็นเมือง
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุดQuit of ได้รับความนิยมสูงสุด
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามมองตรงกันว่าเหตุผลที่ทำให้น้ำท่วมหาดใหญ่แผ่วงกว้างและลึกมาจากลักษณะที่เป็นแอ่งล้อมรอบด้วยภูเขา อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญยังบอกกับ.ด้วยว่าความเป็นพื้นที่เมืองของหาดใหญ่อาจส่งผลให้ปริมาณน้ำสูงกว่าพื้นที่อื่นด้วยเช่นกัน
การดาศรีชี้ว่า สภาพสิ่งปลูกสร้างที่เป็นโครงสร้างของหาดใหญ่เอง ก็มีส่วนทำให้น้ำเมื่อไหลมาแล้วไม่มีทางไป จึงทำให้น้ำยกตัวสูงขึ้นมากกว่าที่จะแผ่ขยายออกไป ส่วน ผศ.ดร.เทพไท อธิบายว่า เมืองที่มีพื้นที่ทึบน้ำ (Built-up Place of living) สูง และมีพื้นที่รับน้ำที่เป็นบึงขนาดใหญ่ในเมืองน้อย ทำให้ระบบระบายน้ำเอาไม่อยู่ และน้ำจะท่วมตามบล็อกถนนและกระจายวงกว้าง
ข้อสังเกตของทั้งสองสอดคล้องกับ ผศ.ดร.เอกกมล ที่ระบุว่าพื้นที่เมืองมี “พื้นผิวที่น้ำซึมผ่านไม่ได้ (Impervious Surface)” ซึ่งกลายเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงขึ้น
“พื้นที่ในเมืองมักมีการสลับกันระหว่างสิ่งปลูกสร้างกับพื้นที่สีเขียว ซึ่งพื้นที่สีเขียวสามารถช่วยให้น้ำซึมลงดินและลดความรุนแรงของน้ำท่วมได้”
นอกจากนี้ ผศ.ดร.เอกกมล ยังชี้ถึงปัจจัยการออกแบบผังเมือง เช่น ระบบแก้มลิงหรือการวางแนวถนนหนทาง ที่แม้อาจจะมีการออกแบบล่วงหน้า ทว่าก็ไม่ได้รองรับการเกิดปรากฏการณ์สุดขั้ว (Outrageous Match) ดังที่เกิดขึ้นในอุทกภัยครั้งนี้
“หลายคนมองว่าควรจัดการระบบในเมืองให้เอื้อต่อการไหลของน้ำ ตอนนี้มีการพูดคุยกัน แต่ส่วนใหญ่เป็นคนนอกพื้นที่ จึงไม่แน่ใจว่าจริง ๆ โครงสร้างเมืองขวางทางน้ำหรือไม่ หรือเป็นเพราะฝนตกหนักเฉพาะจุด แม้ระบบระบายน้ำจะดีแค่ไหนแต่ถ้าไม่ได้คาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะมีฝนตกหนักระดับนี้ สุดท้ายก็ท่วมอยู่ดี”

ที่มาของภาพ : GISTDA
เหตุใดเมื่อเกิดกับหาดใหญ่ ความรุนแรงของภัยพิบัติจึงมากกว่าพื้นที่อื่น ?
ในขณะที่ข้อมูลหลักที่ GISTDA เผยแพร่ผ่านช่องทางขององค์กรจะใช้มาตรวัดการกระจายตัวของพื้นที่น้ำท่วมและมาตรวัดด้านความลึกเป็นหลัก อย่างไรก็ดี ผศ.ดร.เทพไท อธิบายว่าความเสี่ยง (Threat) ของภัยพิบัติประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
- ภัยพิบัติ (Hazard) ได้แก่ ลักษณะการเหตุการณ์ทางกายภาพ เช่น ปริมาณฝนที่ตกหนักและความลึกของน้ำ
- การเปิดรับ (Exposure) คือพื้นที่หรือจำนวนประชากรที่เปิดรับภัย เช่น ความหนาแน่นของประชากรและสิ่งปลูกสร้าง
- ความเปราะบาง (Vulnerability) คือความสามารถในการรับมือและฟื้นตัว เช่น สภาพเศรษฐกิจหรือโครงสร้างพื้นฐาน
นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กล่าวว่า แม้ลักษณะการเกิดภัย (Hazard) จะหนักเท่ากัน แต่หากไปท่วมในที่ที่ไม่มีคนอยู่ ผลกระทบก็จะน้อยลง แต่ในกรณีของหาดใหญ่ ฝนตกจำกัดวงในพื้นที่ที่เป็นใจกลางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้มีการเปิดรับ (publicity) ที่สูง เนื่องจากมีประชากรหนาแน่นและมีสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก รวมถึงความเปราะบาง (vulnerability) ที่เพิ่มขึ้นเมื่อโครงสร้างพื้นฐานหลัก เช่น โรงพยาบาลขนาดใหญ่ (เช่น โรงพยาบาลหาดใหญ่และโรงพยาบาลสงขลานครินทร์) ต้องเผชิญกับน้ำท่วมและไฟดับ ดังนั้น หาดใหญ่จึงมีความร้ายแรงที่สูงมากเมื่อคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงโดยรวม
พื้นที่นอกหาดใหญ่อาจรุนแรงไม่แพ้กัน
จากเกณฑ์ข้างต้น ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่าแม้ว่าหาดใหญ่จะเป็นที่หนึ่งในแง่ของความรุนแรงจากปัจจัยเสริมต่าง ๆ แต่ภัยพิบัติครั้งนี้แผ่ขยายไปทั่วภาคใต้ตอนล่าง และมีหลายจังหวัดที่ควรจับตารองลงมาโดยพิจารณาตามปัจจัยของพื้นที่ได้ดังนี้
1. พื้นที่ศูนย์กลางเศรษฐกิจที่มีขนาดรองลงมาจากหาดใหญ่
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยด้านความหนาแน่นของประชากรและโครงสร้างพื้นฐานหลัก ผศ.ดร.เทพไทจัดลำดับพื้นที่ที่นับว่าเกิดภัยพิบัติรุนแรงรองจากหาดใหญ่ โดยเน้นไปที่เทศบาลนคร โดยเฉพาะ เทศบาลนครปัตตานี และเทศบาลนครสงขลา เนื่องจากเป็นที่ตั้งของโครงสร้างพื้นฐานหลัก
“โรงพยาบาลประจำจังหวัดที่เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ ทำหน้าที่เป็นศูนย์รับเคสจากโรงพยาบาลชุมชน ต้องตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครหรืออำเภอเมืองเกือบทั้งหมด ซึ่งเป็นจุดที่ควรพิจารณา เพราะเมื่อมีเคสจากอำเภอต่าง ๆ จะต้องส่งต่อมายังโรงพยาบาลศูนย์ในตัวจังหวัด” เขาอธิบาย
2. พื้นที่ลุ่มที่มีน้ำขังนาน
กานดาศรีและ ผศ.ดร.เทพไท ยังได้พิจารณาความรุนแรงโดยระบุพื้นที่ที่อาจจะเกิดน้ำขังนานจากปัจจัยด้านภูมิประเทศ ดังนี้
- ยะลา, ปัตตานี และนราธิวาส
กานดาศรี จาก GISTDA ให้ข้อมูลว่าพื้นที่เหล่านี้มีสภาพทางภูมิประเทศที่เป็นที่ลุ่ม และเป็นทางผ่านของมวลน้ำที่ไหลมารวมกัน “พื้นที่ยะลา เป็นลักษณะคล้ายแอ่ง โดยมีภูเขาล้อมรอบ ทำให้พื้นที่นี้มีน้ำท่วมสูง”
“ส่วนถ้าดูที่จังหวัดปัตตานี จะเห็นว่าเป็นพื้นที่ลุ่ม ทำให้น้ำมีโอกาสขังและขังนาน ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ค่อนข้างมาก แม้ระดับน้ำอาจไม่ลึกเท่าหาดใหญ่ แต่จะท่วมอยู่นานกว่า” กานดาศรี ระบุ
ขณะที่ ผศ.ดร.เทพไท ชี้ว่า “ปัตตานีเป็นปลายทางของแม่น้ำหลายสายที่ไหลลงสู่ปากอ่าวบริเวณปากแม่น้ำปัตตานี ทำให้พื้นที่นี้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอยู่เสมอ”
คำชี้แจงนี้สอดคล้องกับแผนที่ของ GISTDA ที่แสดงให้เห็นว่ามีพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมลึกในบริเวณกว้างที่บริเวณ อ.โคกโพธิ์ ขณะที่ข้อมูลจากกรม ปภ. ณ วันที่ 25 พ.ย. 2568 ยังรายงานผู้เสียชีวิตในยะลา 2 ราย
- นครศรีธรรมราช
ผศ.ดร.เทพไทระบุว่าลักษณะภูมิประเทศที่มีภูเขาของ จ.นครศรีธรรมราช ทำให้เกิด “น้ำท่วมฉับพลัน” (Flash Flood) ได้ง่าย อย่างไรก็ดี กานดาตั้งข้อสังเกตว่าน้ำในพื้นที่นี้จะ “มาไวไปไว” เพราะอยู่ใกล้ทะเลและระบายลงได้ง่าย
ทั้งนี้ ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมจาก GISDA แสดงพื้นที่จังหวัดนี้ว่ามีน้ำท่วมลึกขยายวงกว้าง และมีครัวเรือนได้รับผลกระทบสูงถึง 223,221 ครัวเรือน ตลอดจนมีรายงานผู้เสียชีวิตมากที่สุดในภาคใต้รวม 6 ราย ตามการรายงานของ ปภ. ณ วันที่ 25 พ.ย.
- พัทลุง, ตรัง และสตูล
ผศ.ดร.เทพไท ระบุว่าพัทลุงและตรังเป็นพื้นที่ที่น่าเป็นห่วงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบริเวณที่ติดกับทะเลสาบสงขลา (เช่น อ.ระโนด) แม้พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ทุ่งนาและเกษตรกรรมแต่ก็มีปริมาณน้ำท่วมเป็นจำนวนมาก สอดคล้องกับกานดาศรี ที่ชี้ให้.เห็นว่า พัทลุงก็เป็นอีกพื้นที่ที่ปรากฏสีเข้มบนแผนที่น้ำท่วม
ข้อมูลจากกรม ปภ. ในวันที่ 25 พ.ย. ระบุว่าพัทลุงมีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีครัวเรือนได้รับผลกระทบ 151,622 ครัวเรือนในจังหวัดนี้ ขณะที่ข้อมูลชุดเดียวกันยังระบุว่าระดับน้ำใน จ.ตรัง ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในกรณีของ จ.สตูล ผศ.ดร.เทพไทระบุว่า “เป็นเมืองที่ไม่ค่อยมีข่าวเกี่ยวกับภัยพิบัติ เพราะเดิมแทบไม่เจอปัญหาเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น แต่ปีนี้กลับมีรายงานน้ำท่วมในเขตเมืองสตูลมากขึ้น เนื่องจากฝนตกต่อเนื่อง ทำให้พื้นที่นี้กลายเป็นจุดที่น่าเป็นห่วงและควรให้ความสำคัญ”

ที่มาของภาพ : Reuters
สถานการณ์โดยรวมยังน่ากังวล
กานดาศรี รองผู้อำนวยการ GISTDA ประเมินว่าภาพรวมสถานการณ์ยังคงน่ากังวล เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าฝนจะยังคงมีผลต่อปริมาณน้ำในพื้นที่ และน้ำท่วมอาจจะกินเวลาขังอย่างน้อยเป็นหลัก 5 วัน หรือนานเป็นสัปดาห์ในบางพื้นที่ จนกว่าฝนจะหยุดตกจริงจังในช่วงวันที่ 27-28 พ.ย.
ผศ.ดร.เอกกมล อธิบายฉากทัศน์หลังจากฝนหยุดตกว่า พื้นที่จังหวัดอื่นในภาคใต้นั้นน้ำสามารถไหลลงทะเลได้ง่าย เพราะไม่มีสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำมากนัก ต่างจากหาดใหญ่ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ
ขณะที่ ผศ.ดร.เทพไท ระบุว่ามวลน้ำส่วนใหญ่ในหาดใหญ่กำลังมุ่งหน้าลงสู่ทะเลสาบสงขลาและไหลลงสู่ทะเล โดยหาดใหญ่เป็นพื้นที่ที่อยู่ปลายน้ำซึ่งรับน้ำโดยตรงจากต้นน้ำบริเวณ อ.สะเดา จึงจะเป็นพื้นที่หลัง ๆ ที่น้ำจะแห้งเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น
บริเวณท้ายน้ำที่ควรเตรียมรับมือคือพื้นที่รอบทะเลสาบสงขลา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรมและนาข้าว อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่เป็นเมืองใหญ่ เช่น เทศบาลนครสงขลา ซึ่งอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ก็ควรจับตาดูเช่นกัน แม้ว่าในวันนี้ (25 พ.ย.) จะยังไม่มีรายงานน้ำท่วมในพื้นที่ดังกล่าวก็ตาม












