บทบาทของ พล.ท.บุญสิน ควรเป็นอย่างไร หลังกลับลำบอกไม่มีคำสั่งหยุดปฏิบัติการทหารช่วงปะทะไทย-กัมพูชา

ที่มาของภาพ : Thai Data Pix

การเปิดเผยของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ถึงคำ “ขอร้อง” ให้หยุดปฏิบัติการทางทหารที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในห้วงหกช่วงโมงแรกของการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา เมื่อปลายเดือน ก.ค. ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมว่าคำขอดังกล่าวมาจากใคร

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่พิธีรับรางวัลเชิดชูนักสู้ผู้กล้า ณ พุทธสถานปฐมอโศก อ.เมือง จ.นครปฐม อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ตอบคำถามของพิธีกรในงาน เกี่ยวกับคำสั่งให้กองทัพหยุดปฏิบัติการ ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อตอนความรุนแรงปะทุขึ้นครั้งแรกในปลายเดือน ก.ค. ว่ามีคำ “ขอร้อง” ในลักษณะดังกล่าวจริง แต่อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้นี้ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม

“หกชั่วโมงแรก มีคำสั่ง ให้หยุดครับ ตั้งแต่เริ่มปะทะกัน ให้หยุดเลย วันแรกเลยที่ปะทะกัน เขาบอกขอร้องให้หยุดเลย” พล.ท.บุญสิน กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อการปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ค.

คำตอบดังกล่าวทำให้เกิดเสียงเชียร์ปรบมือในหมู่ผู้ฟัง และ พล.ท.บุญสิน กล่าวต่อไปว่าตนได้ทำการต่อรองกับ “ผู้บังคับบัญชา” หลายวัน และยืนหยัดที่จะปฏิบัติการทางทหารต่อไป

ทว่า อดีตแม่ทัพภาคที่สองยืนยันจะไม่เปิดเผยชื่อ “ผู้บังคับบัญชา” รายดังกล่าว เพราะอ้างว่าคำสั่งเช่นนี้จะนำไปสู่โทษสูงสุดต่อผู้ออกคำสั่ง

“ถ้าหยุด ผมต้องออกมาพูดว่าใครสั่งให้หยุด แล้วเขาจะอยู่ไม่ได้ครับ เพราะว่าผมจะเอาแผ่นดินคืน แล้วคุณมาหยุด นั่นคือโทษประหารคุณเลยทีเดียวนะครับ” พล.ท.บุญสิน อธิบาย

ล่าสุดวันนี้ พล.ท.บุญสิน ระบุในรายการคมชัดลึกว่า ที่จริงแล้วบทสนทนาที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการหารือทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีใครมาสั่งให้หยุดปฏิบัติการทางทหาร นายพลผู้นี้ปฏิเสธที่จะระบุว่าเขาหารือหรือพูดคุยประเด็นดังกล่าวกับใครด้วย

ทว่า คำพูดลักษณะเช่นนี้ของอดีตแม่ทัพภาคที่สองแสดงถึงนัยอะไรบ้าง นอกจากภาพความไม่เป็นเอกภาพระหว่างกองทัพและรัฐบาล และจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร ?

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed finding outได้รับความนิยมสูงสุด

Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด

คำชี้แจงของแม่ทัพภาคที่ 2 ต่อเรื่องนี้เป็นอย่างไร

ที่มาของภาพ : Thai Data Pix

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยปฏิเสธเรื่องการมีปัญหาในการทำงานร่วมกันกับรัฐบาล ซึ่งขณะนั้นนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดูแลด้านความมั่นคง

จากการกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว นำมาสู่คำถามที่ว่าใครเป็นผู้ออกคำสั่งหรือคำขอร้องดังกล่าว แต่ต่อมา อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า เป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร ไม่ได้เป็นคำสั่งให้หยุด เป็นการหารือกันทั่วไปเท่านั้น

คำอธิบายดังกล่าวของ พล.ท.บุญสิน เกิดขึ้นในระหว่างการให้สัมภาษณ์รายการคมชัดลึก เนชั่นทีวี วันนี้ (10 พ.ย.) ถึงสาเหตุที่ออกมาพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นมาแล้วกว่าสามเดือน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ตนเพียงตอบคำถามต่อชาวบ้าน และไม่ได้หวังมุ่งให้ร้ายใคร

“มีพี่น้องเขาถาม เราก็เล่าให้ฟังว่ามันเป็นแบบนี้นะ และสุดท้ายตาควายที่เรายึดไม่ได้เพราะแบบนี้ มีคนถาม ซึ่งแม่ทัพไม่ได้ออกมาพูดเพื่อประเด็นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางการเมือง พี่น้อง ท่านนายกฯ อะไร ไม่ต้องการให้เรื่องเสื่อมเสียไปถึงผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน” อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวในรายการคมชัดลึก

นอกจากนี้ อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้นี้ ยังยืนยันด้วยว่าผู้ที่ออกคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในขณะนั้น, พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ., พล.อ. ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในเวลานั้น หรือนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายก ในเวลานั้น

“คนที่ขอร้อง เป็นกระแส ๆ มาทางโซเชียลบ้าง เป็นกระแสพูดคุยกันปกติ ไม่มี คำสั่งจาก ผู้บังคับบัญชาที่เป็นเรื่องเป็นราว” พล.ท.บุญสิน กล่าวชี้แจง

อย่างไรก็ตาม กมธ.ทหาร วุฒิสภา ได้เชิญ พล.ท.บุญสิน เข้าให้ข้อมูลในเรื่องการขัดขวางการทำงานของกองทัพไทยตามที่ถูกเปิดเผยออกมาในวันพรุ่งนี้ (11 พ.ย.) เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงและหารือแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติภารกิจ ของ กมธ. ต่อไป

หากคำกล่าวอ้างตอนแรกเป็นจริง พล.ท.บุญสิน ถือว่าขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาหรือไม่ ?

ที่มาของภาพ : Thai Data Pix

แม้ว่าในเวลาต่อมา พล.ท.บุญสิน จะออกมาชี้แจงว่า การกล่าวว่ามีคำขอร้องให้หยุดฏิบัติการทหารเป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร โดยบอกว่าเป็นเพียงการหารือกันทั่วไปก็ตาม แต่สังคมยังกังขากับเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ถ้าสั่งการเด็ดขาดนี่หยุดอยู่แล้วครับ ต้องหยุด เพราะเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยตรง แต่ถ้าเป็นการหารือนิด ๆ หน่อย ๆ โดยทั่วไป คือสิ่งเหล่านี้เราเป็นทหารอาชีพอยู่แล้ว เป็นทหารเราต้องปฏิบัติตามคำสั่งอยู่แล้ว ซึ่งการหารือในทุกภารกิจครับ อย่างนี้ได้ไหมน้อง ได้ไหมพี่ ถ้าท่านยังไม่สั่ง ไม่ลงดาบ ถือว่ายังหารือกันได้” พล.ท.บุญสิน ระบุในรายการคมชัดลึก

ด้านนายอนาลโย กอสกุล ที่ปรึกษา กมธ.การทหาร สภาผู้แทนราษฎร แสดงทัศนะว่า หากเป็นกรณีที่เป็นคำสั่งจริง การกระทำของ พล.ท.บุญสิน อาจเข้าข่ายผิดอำนาจคำสั่งจากผู้บัญชาการ เพราะคำสั่งข้างต้นไม่ใช่คำสั่งผิดกฎหมาย หรือเป็นการสั่งให้ก่ออาชญากรรม

“ท่านพูดเหมือนกันว่า คำสั่งมาจาก ผู้บังคับบัญชา ผู้ที่มีอำนาจสั่งการบังคับบัญชาท่านได้ แต่ท่านบอกท่านไม่ทำ จริง ๆ ก็ดูมีความสุ่มเสี่ยงที่อาจจะบอกได้ว่าท่านผิดวินัยทหาร เพราะมันไม่ใช่การสั่งแบบผิดกฎหมาย” นายอนาลโย ระบุกับ.

อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษา กมธ.การทหารฯ เสริมว่าเป็นไปได้สูงว่า พล.ท.บุญสิน จะไม่ถูกคาดโทษ เพราะอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว

“ท้ายที่สุดท่านเกษียณไปแล้ว มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรในการเอาผิดทางวินัย มันไม่ได้เหมือนคดีอาญาที่ต้องกลับมาลงโทษใหม่” นายอนาลโย แสดงทัศนะ

ทั้งนี้ เขาอธิบายด้วยว่าแม้การออกมาเผยข้อมูลของ พล.ท.บุญสิน อาจทำได้ดีกว่านี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า การตัดสินใจให้ลดระดับความรุนแรงเมื่อครั้งเกิดการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อเดือน ก.ค. เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

“การตัดสินใจให้เบา ด้านปฏิบัติการทหาร เป็นการตัดสินใจที่ผิดเหมือนกันของคนที่ขอ เพราะตอนนั้นกัมพูชาเปิดเกมรุกทุกแนว แล้วเราไม่ได้ตั้งตัว และเป้าหมายแรก ๆ ที่กัมพูชาโจมตีคือเป้าหมายพลเรือน ถ้าหยุดตอนนั้น นอกจากเราจะเสียทุกแนวก็จะกลายเป็นว่าภัยคุกคามที่โจมตีพลเรือนไทยก็จะยังอยู่” เขาอธิบาย

การเปิดเผยเรื่องนี้ในตอนนี้ส่งผลดีหรือไม่

ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และที่ปรึกษาผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย- กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยกับรายการ ของสำนักข่าวไทยพีบีเอสว่า การเกษียณอายุราชการของ พล.ท.บุญสิน อาจทำให้อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 รู้สึกว่าตนสามารถแสดงความเห็นต่อเรื่องต่าง ๆ ได้กว้างขวางขึ้น

“ท่านเกษียณจากอายุราชการไปแล้วก็คงคิดว่าการที่จะแสดงออกทำได้กว้างกว่าเดิม… แต่ตอนในช่วงรับราชการก็อาจจะด้วยสายบังคับบัญชา หรือมุมมองต่าง ๆ ก็อยู่ในที่ที่จะต้องไตร่ตรองใคร่ครวญว่าจะพูดลักษณะอย่างไรออกมา” ผศ.ดร.วันวิชิต กล่าว

ด้านนายอนาลโย อธิบายถึงอีกสาเหตุที่อาจทำให้ พล.ท.บุญสิน เลือกพูดถึงเรื่องในอดีตในตอนนี้ว่า เพราะต้องการสื่อสารให้ผู้คนทราบว่ากองทัพได้ทำงานอย่างเต็มที่ภายใต้แรงกดดันในเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา

“ผมว่าท่านพูดเพื่อแสดงให้เห็นว่ากองทัพพยายามปกป้องอธิปไตยไทย ภายใต้อุปสรรคต่าง ๆ ภายใต้คนที่ไม่เห็นด้วย ไม่รู้จะตีความได้หรือเปล่าว่าภายใต้คนที่พยายามจะขัดขวางการปฏิบัติงานของกองทัพ” นายอนาลโย กล่าวพร้อมเสริมว่า การเปิดเผยดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นการ “สร้างภาพลักษณ์” ให้กับกองทัพไทย

ที่ปรึกษา กมธ.การทหารฯ ผู้นี้ ย้ำด้วยว่าความพยายามประชาสัมพันธ์เพื่อกองทัพไทย ด้วยคำพูดดังกล่าวอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อภาพลักษณ์ของกองทัพ

“ถ้าสมมติกองทัพบกต้องออกมาแก้ข่าว มันก็กลายเป็นว่ากองทัพบกแก้ข่าวในคำพูดของที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งมันก็จะดูแปลก ๆ ตลก ๆ อยู่” เขาอธิบาย

อย่างไรก็ตาม จนถึงเวลาที่บทความนี้ถูกเผยแพร่ กองทัพบกยังไม่ได้แถลงการณ์อย่างเป็นทางการใด ๆ เกี่ยวกับคำพูดข้างต้นของ พล.ท.บุญสิน

ที่มาของภาพ : Thai Data Pix

นอกจากนั้นแล้ว การเปิดเผยครั้งนี้ของ พล.ท.บุญสิน ยังทำให้บุคคลบางรายในสังคมถูกเพ่งเล็ง หนึ่งในนั้นคือ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ที่เมื่อเกิดการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในเดือน ก.ค. เขารับหน้าที่เป็น รมช.กลาโหม

“เกิดการโปรยข่าว ดันข่าว ขายข่าว เพื่อหายอดชม หรือเรียกความสนใจของคน ว่ามีผู้มีอำนาจสั่งบิ๊กกุ้งหยุดยิv คอมเมนต์ต่าง ๆ ก็ประดังเข้ามา ทำให้มีคนที่ถูกสังคมเพ่งเล็ง หนึ่งในนั้นที่ถูกบ่งชี้คือพล.อ.ณัฐพล แล้วสังคมก็จะสะสมความที่ว่าไม่ออกมาคือการยอมรับ ออกมาคือการร้อนตัว” ผศ.ดร.วันวิชิตร กล่าวในรายการ ของสำนักข่าวไทยพีบีเอส

แต่เขาก็ออกมาเปิดเผยถึงบทสนทนาส่วนตัวระหว่างตนและ พล.อ.ณัฐพล บนเฟซบุ๊กด้วยว่าพล.อ.ณัฐพล เคยปฏิเสธถึงเรื่องดังกล่าวแล้วหนึ่งครั้ง

ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรักษาการนายกฯ เป็นอีกหนึ่งคนที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นผู้ออกคำสั่งหยุดยิvดังกล่าวหรือไม่ นายภูมิธรรมได้โพสต์ข้อความปฏิเสธ และอธิบายถึงการทำงานของกองทัพและรัฐบาลในขณะนั้นว่า กองทัพมีอำนาจในการตัดสินใจอย่างอิสระ ไร้การแทรกแซงทางการเมือง

“สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่ประชุมได้มีการหารืออย่างรอบคอบ และมีมติสำคัญคือมอบอำนาจให้กองทัพสามารถตัดสินใจได้ตามหลัก Tips Of Engagement (ROE) ซึ่งหมายความว่า กองทัพไทยมีอำนาจเต็มในการตัดสินใจเชิงยุทธวิธี เพื่อป้องกันประเทศตามสถานการณ์ในพื้นที่ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากฝ่ายการเมือง” นายภูมิธรรมระบุ “ดังนั้น ความเชื่อที่ว่า ‘มีคำสั่งหยุดยิvจากฝ่ายการเมือง' ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะในห้วงเวลานั้น กองทัพได้รับอำนาจในการปฏิบัติอย่างอิสระ ภายใต้กรอบกฎหมายและกติกาสากล”

แต่นายอนาลโย แสดงทัศนะกับ.ว่า หาก พล.ท.บุญสิน อยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในการทำงานของรัฐบาล การเปิดเผยชื่อ “ผู้บังคับบัญชา” ที่ถูกเอ่ยถึง อาจเป็นประโยชน์เสียมากกว่า ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้อาจสร้างความตื่นตระหนกในหมู่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้

“ถ้าท่านจะเอ่ยถึงใคร เอ่ยชื่อมาเลยดีกว่า หรืออย่างน้อยที่สุด ถ้าท่านจะอยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหรือการแก้ไข ส่งข้อมูลไปให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้เขาเป็นคนเปิดเผย พอพูดแล้วไม่ได้เอ่ยชื่อใคร แล้วเป็นการพูดกว้าง ๆ ในประเด็นที่ใหญ่และอ่อนไหว ผมคิดว่ามันสร้างความปั่นปวนในระดับหนึ่ง” เขาอธิบาย

ที่มาของภาพ : Thai Data Pix

นอกจากนี้ คำพูดของ พล.ท.บุญสิน อาจเป็นการยืนยันถึงความสัมพันธ์ในการดำเนินงานที่ไม่เป็นปึกแผ่นเดียวกันของ รัฐบาลนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ในเวลานั้น และกองทัพของไทย

“มีการไม่ลงรอยกันในการบริหารงาน และการรับมือการปะทะกันในรอบนี้ มันทำให้หลาย ๆ อย่างที่เราสงสัย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏในช่วงหลังว่าทำไมจุดนั้นไม่ได้ จุดนี้ไม่ได้ มันอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่า” นายอนาลโย บอกกับ.

นายอนาลโย แสดงความเห็นด้วยว่า การเปิดเผยในครั้งนี้ทำให้การขาดเอกภาพของการทำงานในเรื่องชายแดนของรัฐบาลและกองทัพไทย ถูกเปิดเผยไม่ใช่แค่ต่อสาธารณชนชาวไทย แต่รวมถึงฝ่ายกัมพูชาด้วยที่อาจนำคำพูดครั้งนี้ไปบิดเบือด ก่อให้เกิดผลเสียต่อไทยตามมา

“คำพูดอาจจะถูกกัมพูชาหยิบไป บอกว่านี่ไงกองทัพไทยกับรัฐบาลไทยทำงานไม่สอดประสานกัน ถ้าในกรณีที่คนสั่งเป็นผู้ที่อยู่ในรัฐบาลด้วยนะครับ และนั่นเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสันติภาพ เป็นนั่นเป็นนี่ เขาปั่นไปได้หมด” นายอนาลโย กล่าว

นายอนาลโย ยังบอกด้วยว่า พล.ท.บุญสิน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ที่ “มีชื่อเสียงมากและความน่าเชื่อถือสูง” อาจจำเป็นต้องมีฝ่ายเสนาธิการคอยร่างคำพูด เพื่อป้องกันภาพลักษณ์ของตนเองและกองทัพ

“ท่านอาจจะไม่ใช่คนที่พูดอะไรแล้วใครฟังก็ได้ ไม่ฟังก็ได้อีกต่อไป ทุกคำพูดของท่านจะถูกวิเคราะห์ และที่เลี่ยงไม่ได้คือจะถูกนำไปขยายผลต่อ ไม่ว่าโดยคนที่หวังดีต่อประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม” เขากล่าว

“ไม่ว่าท่านพูดอะไรออกมา สังคมฟัง ไม่ใช่สังคมไทยอย่างเดียว ทั้งภูมิภาคก็ฟัง” นายอนาลโยกล่าวทิ้งท้าย