
เรื่องเล่าจาก รพ.หาดใหญ่ ภารกิจเพื่อรักษาชีวิต-ทำคลอดฉุกเฉิน ในยามที่ความช่วยเหลือถูกตัดขาด

ที่มาของภาพ : WASAWAT LUKHALANG / BBC Thai
- Author, ปณิศา เอมโอชา
- Role, ผู้สื่อข่าว.
- Reporting from หาดใหญ่, สงขลา
ราวห้าโมงเย็นของวันเสาร์ (29 พ.ย.) ที่หน้าโรงพยาบาลหาดใหญ่ วรันรัฐ นิวัฒน์กุลพัทร์ กำลังจะขี่รถจักรยานยนต์ที่เต็มไปด้วยโคลนแห้งเกรอะกรังทั้งคันกลับบ้าน ตอนที่.พบเธอ
มันเป็นวันที่พยาบาลห้องคลอดคนนี้ยังมาปฏิบัติหน้าที่หลังจากน้ำลดวันที่สอง แม้อีกสถานะเธอจะเป็นผู้ประสบภัยคนหนึ่งก็ตาม
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ในวันที่ฝนที่ตกหนักเป็นประวัติการณ์จนทำหัวเมืองเศรษฐกิจภาคใต้เผชิญกับมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ วรันรัฐ เข้าเวรอยู่ที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ โรงพยาบาลที่สื่อและโลกโซเชียลติดตามความเป็นไปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุน้ำท่วมตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย.
ผู้คนมากมายต่างได้เห็นภาพผู้ใช้งานเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “ปาซียะห์ เถาะ” โพสต์ภาพช่วงเวลาที่วอร์ดดูแลทารกมืดลง และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ต้องใช้ไฟฉายหรือโคมไฟให้แสงสว่าง
วันนี้ . ได้คุยกับพยาบาลผู้ที่ต้องทำคลอดฉุกเฉินเพื่อช่วยให้ทั้งแม่และเด็กปลอดภัย ในวันที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ และแสงสว่างที่นำทางให้แพทย์และพยาบาล ผ่าตัดช่วยคนไข้ในคืนนั้นมีเพียงแสงจากไฟฉาย และเทียนเท่านั้น
วรันรัฐ ซึ่งเป็นพยาบาลมาแล้วกว่า 18 ปี เล่าว่า เธอเข้าเวรวันศุกร์ที่ 21 พ.ย. ในช่วงเช้าตรู่ตามปกติ แม้ในเวลานั้นจะมีฝนตกลงมาอย่างหนักแล้วก็ตาม และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พยาบาลห้องเตรียมคลอดคนนี้ ต้องเผชิญกับสัปดาห์ที่เธอคาดไม่ถึงมาก่อน
เมื่อน้ำเริ่มท่วมสูงขึ้นจนเข้าสู่ช่วงวันที่สามหรือสี่ เธอเล่าว่าตอนนั้นน้ำเริ่มไม่มีใช้ และไฟฟ้าก็ถูกตัดแล้ว “ไม่มีไฟก็ต้องส่องไฟฉายกัน เพื่อจะฟังเสียงหัวใจคนไข้ เพื่อจะเจาะน้ำเกลือ”
วรันรัฐ บอกกับเราว่าในช่วงเวลานั้นเธอคิดแค่เพียงว่า “ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อให้คนไข้ปลอดภัย พี่อยู่ห้องคลอด แม่ต้องปลอดภัย ลูกต้องปลอดภัย แต่ก็คือทำงานไปร้องไห้ไป เพราะเป็นห่วงที่บ้านเหมือนกัน”
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed finding outได้รับความนิยมสูงสุดEnd of ได้รับความนิยมสูงสุด

ที่มาของภาพ : วรันรัฐ นิวัฒน์กุลพัทร์
สถานการณ์ในเวลานั้น นพ.วิโรจน์ โยมเมือง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหาดใหญ่ เล่าถึงช่วงเวลา “วัดใจ” ว่าเป็นตอนที่ไฟฟ้าหลักถูกตัดแล้ว และน้ำก็กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะท่วมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองของโรงพยาบาล
“วินาทีนั้นถ้าเครื่อง กำเนิดไฟฟ้า โดนน้ำท่วม ทุกอย่างคือจบ จบหมายถึงไฟนะครับ เราแทบจะนับถอยหลัง” นพ.วิโรจน์ ซึ่งเพิ่งเข้ามานั่งในตำแหน่งผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนดีก่อนจะเกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ กล่าว
“ทุก ๆ เซนติเมตรที่น้ำมันขึ้นไป คือการนับถอยหลังสู่ความมืดมิด”

ที่มาของภาพ : WASAWAT LUKHALANG / BBC Thai
ณ เวลานั้น โรงพยาบาลหาดใหญ่ มีผู้ป่วยอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤตหรือห้องไอซียู ทั้งหมด 30 คน
เขาสั่งระดมสรรพกำลังเพื่อทำให้มั่นใจว่า ไฟส่วนที่สำคัญที่สุดของโรงพยาบาล “ต้องห้ามดับ”
ฝั่งหนึ่งเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลประจำการอยู่ที่ห้องปั่นไฟเพื่อสูบน้ำออกเต็มกำลัง อีกทีมหนึ่งคือทีมช่างไฟฟ้าที่นำเรือท้องแบนฝ่ากระแสน้ำออกไปเพื่อที่จะตัดหม้อแปลงออกจากวงจร ก่อนจั๊มพ์ไฟจากสายไฟส่งแรงสูงเข้ามาในหม้อแปลงของอาคารหลังของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นที่ดูแลผู้ป่วยวิกฤตสีแดงทั้งหมด ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่
“มันเหมือนกับเราต้องวัดใจกันว่าน้ำจะท่วมก่อนหรือเราจะเชื่อมต่อสวิตช์ได้ก่อน นี่คือวัดใจมาก เป็นวินาทีที่แทบจะเหมือนกับการวัดใจว่าข้าศึกกำลังรุกรานเข้ามา แล้วเราต้องกดsะเบิดนิวเคลียร์หรือเปล่า” นพ.วิโรจน์ เล่าย้อนถึงช่วงเวลาที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโรงพยาบาลในช่วงนั้น

ที่มาของภาพ : นพ.วิโรจน์ โยมเมือง
ระหว่างที่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหาดใหญ่ กำลังแก้ปัญหากับโครงสร้างพื้นฐานของโรงพยาบาล ตัดภาพไปในห้วงเวลาเดียวกันที่ชั้น 3 ของอาคารหลักแห่งนี้ วรันรัฐ ต้องเตรียมคลอดฉุกเฉินให้กับคุณแม่คนหนึ่ง
เธอบอกว่า นับตั้งแต่ที่มีเหตุน้ำท่วม ทีมแพทย์และพยาบาลจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้คุณแม่คลอดที่ รพ.หาดใหญ่ แต่จะทำการส่งเคสต่อไปยังโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ที่ยังเปิดทำการได้ตามปกติผ่านทางเฮลิคอปเตอร์ เนื่องจากไม่มีไฟฟ้าใช้เต็มที่ แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือไม่มีน้ำใช้ด้วย

ที่มาของภาพ : วรันรัฐ นิวัฒน์กุลพัทร์
ในช่วงนี้ บุคลากรของโรงพยาบาลต้องไปนำน้ำกลั่นปราศจากเชื้อหรือน้ำสเตอไรด์ (Sterile Water) มาเตรียมไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินจริง ๆ
และแล้วเหตุคลอดฉุกเฉินก็เกิดขึ้นจริง ๆ ถึง 2 ชีวิต
เธอเล่าว่า ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดสนิทแล้ว ยกเว้นเพียงแต่ห้องผ่าตัดที่ยังมีไฟฉุกเฉิน เธอต้องเดินตรวจคนไข้อยู่ในสภาพนั้น
ต่อมาเมื่อพบว่ามีเคสคุณแม่น้ำเดินแล้ว ต้องเตรียมตัวผ่าตัดทำคลอด เธอจึงต้องเข้าสู่กระบวนการเตรียมตัวคนไข้สำหรับการผ่าคลอด
ขั้นตอนแรกแพทย์จะต้องให้ยาเร่งคลอด แต่เพราะไม่มีไฟฟ้าที่ส่งต่อเข้ามายังอุปกรณ์ที่จำเป็น ทีมจึงต้องเอาหูฟังแพทย์มาฟังเสียงหัวใจเด็ก
“คนนึงส่องไฟ คุณหมอนั่งฟัง แล้วก็ดูว่าเสียงหัวใจลูกต่ำไหม ปกติไหม”

ที่มาของภาพ : ฟาติฮะห์ หะยี
จากนั้นเธอก็ต้องเตรียมใส่สายปัสสาวะ ใส่สายน้ำเกลือให้กับคนไข้ เป็นการเตรียมการคลอดในสภาพที่ห้องนั้นมืดสนิทและต้องส่องไฟฉาย
“เราต้องดูแลคนไข้แบบมีเทียน 1 เล่ม จริง ๆ เขาไม่ให้ใช้เทียน แต่ว่าของเรามันมืดมาก มืดจนมองอะไรไม่เห็น ขนาดเส้นเลืoด ส่องไฟแล้วก็ยังมองไม่เห็นเลย ต้องแบบสัมผัสเอาว่าเราจะแท-งน้ำเกลือคนไข้ได้ไหม”
เราถามวรันรัฐว่า ตอนที่เธอส่งคนไข้เข้าไปในห้องผ่าตัดได้สำเร็จ เธอรู้สึกโล่งใจไหม ?
เธอบอกว่าจุดที่ทำให้เธอใช้คำว่า “โล่ง” ได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่ตอนเด็กร้อง แต่เป็นตอนที่เธอได้ดูแลคุณแม่ในระยะเวลาสองชั่วโมงหลังคลอด ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว “นั่นคือเป็นความโล่งของพี่พยาบาลห้องคลอดแล้ว”
“แต่ถามว่าเรายังโล่งไหม ตราบใดที่คนไข้อยู่ในวอร์ดเราไม่โล่ง พี่ไม่โล่งค่ะไม่มีทางโล่ง นอกจากคนไข้จะหมดแล้วจริง ๆ เราถึงจะโล่งได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้”
เธอยอมรับว่าทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองในตอนนั้น แทบจะไม่ไหวเช่นเดียวกัน

ที่มาของภาพ : ฟาติฮะห์ หะยี
“ถามว่าคนไข้นอนอยู่ 5 เตียง เราจะหลับตาลงเหรอ ก็ไม่ลงถูกไหม มันก็ต้องดูอยู่ตลอดว่าคนไข้เจ็บท้องไหมด้วย เด็กแรกคลอดอาจจะหายใจเหนื่อยต้องเอาออกซิเจน ต้องใส่ท่อช่วยหายใจด้วย เวลาจะดูดเสมหะ ก็ต้องใช้เครื่องใช่ไหม ต้องใส่สายใช่ไหม แต่มันไม่มีไฟ ก็จะต้องหาลูกยางเอามาดูด”
“น้องคิดดูนะ แค่ไฟฉายมันไม่ได้สว่างมากในการที่จะส่องอะไรอย่างนี้ มันก็ไม่ได้สว่างขนาดนั้น แล้วถ้าสมมติว่าเราทำแผล แล้วก็ฆ่-าเชื้อ พันสำลี ยากมากเลยที่จะมองเห็นคนไข้”
สุดท้ายแล้วสถานการณ์ก็ผ่านพ้นไป จนเมื่อถึงวันที่ 28 พ.ย. ที่น้ำลดลงเป็นวันแรก พยาบาลหญิงคนนี้ก็ได้กลับบ้านเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่ในวันถัดมาเธอจะมาเข้าเวรตามปกติ

ที่มาของภาพ : ฟาติฮะห์ หะยี
เมื่อถามว่าความช่วยเหลือจากหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้องนับว่าช้าไปหรือไม่ เธอตอบว่า “ทุกอย่างล่าช้าไปหมด” ทั้งการเตรียมการและการช่วยเหลือ แต่เธอย้ำว่าทุกคนในโรงพยาบาล “เต็มที่กันหมด”
“แต่ถามว่าเราเต็มที่ไหม ทั้งผู้ใหญ่เอง ระดับผู้อำนวยการหรือผู้บริหารเองก็คือ ณ ตรงนี้คือเต็มที่กันหมด”

ที่มาของภาพ : WASAWAT LUKHALANG / BBC Thai
นพ.วิโรจน์ เขาบอกกับ.ว่า เขารับฟังความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ทุกคน และสำหรับเขาเมื่อมองย้อนกลับไป “ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำ ผมไม่เสียใจ”
“ผมพยายามสุดกำลังสุดความสามารถแล้วเพื่อให้สิ่งเหล่านี้มันผ่านพ้นไป ผมอาจจะมาพูดแบบนี้ทีหลัง แต่นาทีนั้นมันไม่ได้คิดอย่างนั้น นาทีน้ันผมคิดอย่างเดียวเลยว่า ใส่เต็ม ใส่สุด เสียชีวิตเป็นเสียชีวิต และผมพร้อมจะรับผิดชอบในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ในเมื่อผมอาสาที่จะมาเป็นผู้บริหาร อาสาที่มาทำงานจุดนี้”
เบื้องหลังที่ทำให้นายแพทย์ที่เป็นผู้นำของหนึ่งในโรงพยาบาลหลักเมืองหาดใหญ่ สามารถสั่งการ บริหารงาน และประสานกับบุคลากร รวมถึงผู้คนถึง 2,400 คน ที่ติดน้ำอยู่ด้วยกันในเวลานั้นอย่างเฉียบขาดและเป็นระบบ อาจมาจากประสบการณ์ของการเป็นแพทย์ ซึ่งต้องรับมือช่วงเวลาวิกฤตของชีวิตคนไข้มานับครั้งไม่ถ้วน
“ผมอาจจะมีมีวิธีการคิดหรืออะไรบางอย่างที่สืบเนื่องมาจากการที่ผมเป็นหมอผ่าตัด ผมอาจจะคุ้นเคยกับการมีวินาทีวัดใจในห้องผ่าตัด เมื่อไหร่เราลงมือผ่าตัดแล้วเราถอยไม่ได้ เราต้องปิดจบอะไรบางอย่างได้” เขาทิ้งท้ายบทสัมภาษณ์นี้กับเรา ซึ่งมีขึ้นในช่วงค่ำมากแล้วของวันที่ 29 พ.ย. ก่อนที่จะเดินเข้าไปประชุมในห้องทำงานของตัวเองต่อ

ที่มาของภาพ : WASAWAT LUKHALANG / BBC Thai
ในวันที่เราเข้าไปยังโรงพยาบาลหาดใหญ่ไม่กี่วันหลังน้ำลด สภาพด้านนอกเห็นความเสียหายอย่างชัดเจนจนเกือบจะหาทางขึ้นไปยังบริเวณที่ยังให้บริการอยู่แทบไม่เจอ
ทว่าท่ามกลางความมืดมิด กองขยะ และซากปรักหักพัง เมื่อเดินผ่านสิ่งเหล่านั้นแล้วก้าวตามแสงไฟสลัว ๆ ขึ้นไป ภาพที่เห็น คือ บุคลากรทางการแพทย์ที่ยังทำงานอยู่ มีผู้ป่วยที่ยังนอนอยู่บนเตียงคนไข้บนโถงทางเดิน แม่ที่กำลังพาลูกมาหาหมอ และชีวิตที่ยังดำเนินไป












