สรุป 3 ประเด็นที่ วรภัค ธันยาวงษ์ ถูกสังคมตั้งคำถาม และคำอธิบายจากเจ้าตัว

ที่มาของภาพ : Thai Recordsdata Pix

นายวรภัค ธันยาวงษ์ ขณะเข้าพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล วันที่ 24 กันยายน 2568

ย้อนไปเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 สส. จากพรรครีพับลีกันได้เสนอร่างกฎหมายต่อรัฐสภาของสหรัฐฯ เพื่อจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจร่วมระหว่างหน่วยงานเพื่อปราบปรามกลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ฉ้อโกงชาวอเมริกัน โดยท้ายร่างกฎหมายดังกล่าวได้มีการระบุรายชื่อบุคคล/องค์กร 43 รายชื่อ ที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับศูนย์สแกมเมอร์ในภูมิภาคอาเซียน พร้อมเสนอให้รัฐบาลสหรัฐฯ ดำเนินการคว่ำบาตรทั้ง 43 รายชื่อเหล่านี้

ในจำนวน 43 รายชื่อนั้น มี 2 รายชื่อที่เคยถูกเอ่ยถึงผ่านการอภิปรายของ ส.ส.พรรคประชาชน ได้แก่ ยิม เลียก ชาวกัมพูชา ประธานกรรมการบริษัทบีไอซีกรุ๊ป (BIC Community) กลุ่มทุนการเงินของกัมพูชา และ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Benjamin Mauerberger) หรือ เบน สมิธ ซึ่ง สส.พรรคประชาชน อภิปรายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินที่ได้มาจากอาชญากรรมลวงลวงออนไลน์

ในการอภิปรายของ สส.พรรคประชาชน ชี้ว่าหน้าเว็บไซต์ของ BIC Community เคยปรากฏชื่อของ นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่เพิ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวานนี้ (22 ต.ค.) ไปเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการ

ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยว่ากระทรวงการคลังได้จัดตั้งคณะทำงานเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ โดยจะมี วรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นั่งเป็นประธานคณะทำงานจัดการปัญหาสแกมเมอร์ ก่อนที่ช่วงเย็นวันเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะออกมาปฏิเสธว่า “ยังไม่มีชื่อใครเลย” หลังจากมีกระแสตั้งคำถามถึงความเหมาะสมในการแต่งตั้งนายวรภัคมาจัดการปัญหาสแกมเมอร์

ในวันถัดมา (21 ต.ค.) นายอนุทิน ชาญวีกูล ได้แจ้งแก่ที่ประชุม ครม. ว่า ขอให้จัดความสำคัญยกระดับการปราบปรามสแกมเมอร์และมิจฉาชีพออนไลน์เป็น “วาระแห่งชาติ” หลังการประชุมดังกล่าว ผู้สื่อข่าวสอบถามประเด็นนายวรภัคถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายฟอกเงินจากอาชญากรรมออนไลน์ นายกฯ ตอบผู้สื่อข่าวว่าเขาได้ให้นายวรภัค​ทำเรื่องชี้แจงมาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Conclude of ได้รับความนิยมสูงสุด

ล่าสุดเมื่อวานนี้ (22 ต.ค.) นายวรภัคได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในช่วงเช้า ระบุว่าตนถูกใส่ร้ายป้ายสี และได้มีการแถลงข่าวอีกครั้งในช่วงบ่ายที่กระทรวงการคลัง พร้อมประกาศลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลัง โดยมีผลทันทีวันที่ 22 ต.ค.

.รวบรวมข้อสงสัยหลัก 3 เรื่องจากสื่อมวลชนและสังคมที่ตั้งคำถามต่อนายวรภัค ว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการลวงลวงออนไลน์ในกัมพูชา และคำอธิบายจากปากของเจ้าตัว

1. ความเกี่ยวข้องกับ ยิม เลียก – เบนจามิน เมาท์เออร์เบอร์เกอร์

ปฏิเสธไม่เคยเป็นที่ปรึกษาบริษัท BIC Community ของ ยิม เลียก แม้เคยมีรูปปรากฏบนเว็บไซต์

ก่อนหน้านี้ นายวรภัคถูกตั้งคำถามว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบีไอซีกรุ๊ป (BIC Community) กลุ่มทุนการเงินขนาดใหญ่ในกัมพูชาที่มี นายยิม เลียก ชาวกัมพูชา เป็นประธานกรรมการบริษัท โดย สส.พรรคประชาชน เคยอภิปรายพร้อมเปิดเผยข้อมูล ว่าปรากฏรูปและชื่อของนายวรภัคบนเว็บไซต์ของบริษัท BIC Community โดยระบุว่าเขาเป็น Board Advisory หรือที่ปรึกษาคณะกรรมการ

แม้ปัจจุบันไม่ปรากฏรูปดังกล่าวบนเว็บไซต์ของ BIC Community แล้ว แต่.ตรวจสอบด้วยเครื่องมือ Wayback Machine พบว่ารูปดังกล่าวของนายวรภัคอยู่ในเว็บไซต์จนถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2568 เป็นอย่างน้อย

นายวรภัคระบุในการแถลงข่าววานนี้ว่า “การที่เขาBIC Groupนำรูปและชื่อของผมไปใช้ลงว่าเป็นที่ปรึกษากับกลุ่มธนาคารนั้น ผมไม่เคยทราบมาก่อน แต่พอมีคนบอก เข้าไปดูอีกทีก็ไม่มีข้อมูลแล้ว เขาเอาออกไป” เขากล่าวพร้อมปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับ BIC Financial institution Cambodia โดยยืนยันว่า ไม่เคยเป็นกรรมการ ผู้บริหาร หรือที่ปรึกษาใด ๆ และไม่เคยได้รับเงินหรือผลตอบแทนจากที่นั่น

รูปของนายวรภัคที่เคยปรากฏในเว็บไซต์ https://www.bicgroupasia.com/ ยังคงเข้าถึงได้ผ่านการสืบค้นผ่านเครื่องมือ Wayback Machine

ทั้งนี้ เขาชี้แจงด้วยว่าเคยพบกับ นายยิม เลียก จริง แต่จำไม่ได้ว่าใครเป็นผู้แนะนำ โดยกล่าวว่า ยิม เลียก อยู่ในประเทศไทยมานาน แต่งงานกับคนไทย หากไม่มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ก็คงใช้ชีวิตอยู่ในไทยตามปกติ แม้ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่ทราบว่า “พ่อของเขาเป็นนักการเมือง เป็นรองนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา และตัวเขาเองพูดภาษาอังกฤษดีมาก เพราะเรียนทั้งมัธยมและปริญญาตรีในต่างประเทศ เวลาที่มาคุยกับผมก็จะถามเรื่องธนาคารเป็นหลัก”

“เขารู้จักคนไทยเยอะ รวมถึงนักธุรกิจไทยก็รู้จักเยอะ และเคยขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการบริหารธนาคาร เท่าที่ผมสัมผัสเขาซึ่งไม่ได้สนิทสนมอะไรมาก เขาก็จะถามว่าทำงานบริหารจัดการอย่างไร ควรโฟกัสลูกค้ากลุ่มไหน ระหว่างรายใหญ่ ลูกค้า SMEs หรือลูกค้ารายย่อย อย่างไร เคล็ดลับปัจจัยความสำเร็จคืออะไร ก็ให้คำแนะนำด้วยวาจาเท่านั้น ไม่เคยรับตำแหน่งหรือค่าตอบแทนใด ๆ” อดีต รมช.คลัง กล่าว

ทั้งนี้ นายยิม เลียก เป็นหนึ่งในบุคคลที่ปรากฏชื่ออยู่ในร่างกฎหมายของสหรัฐฯ ซึ่งชี้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับศูนย์สแกมเมอร์ในกัมพูชา

รู้จัก เบนจามิน เมาท์เออร์เบอร์เกอร์ เพราะลูกเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่มีคนเปิดหลักฐานภรรยาของทั้งคู่ขายหุ้นให้ผู้ซื้อเดียวกันวันเดียวกัน

สำหรับความสัมพันธ์กับ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ อีกหนึ่งบุคคลที่อยู่ใน 43 รายชื่อที่ร่างกฎหมายของสหรัฐฯ ระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับศูนย์สแกมเมอร์ในอาเซียน นายวรภัคกล่าวว่าตนรู้จักนายเบนจามินในฐานะผู้ปกครอง เนื่องจากบุตรของทั้งคู่เรียนโรงเรียนเดียวกันและชั้นเดียวกัน

ทั้งนี้ เขายืนยันว่าไม่เคยทราบถึงธุรกิจในเชิงลึกของนายเบนจามิน หรือมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจใด ๆ ระหว่างกัน

“ส่วนมิสเตอร์เบนจามิน เมาท์เออร์เบอร์เกอร์เนี่ย ผมรู้จักเพราะลูกเรียนโรงเรียนเดียวกันในเมืองไทย ผมเข้าใจว่าเค้าอยู่เมืองไทยมา 20 กว่าปี ลูกเค้ากับลูกผมเรียนโรงเรียนเดียวกัน ชั้นเดียวกัน วัยเดียวกัน รู้จักกันในฐานะผู้ปกครอง แต่ไม่เคยทราบลึก ๆ ว่าเค้ามีธุรกิจอะไรอย่างไร หรือมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างไรกับ มิสเตอร์เลียก ยิม ที่ถูกพาดพิงในข่าวอยู่ เพราะผมกับคุณเบนจามินเป็นผู้ปกครองนักเรียนวัยเดียวกันชั้นเดียวกันโรงเรียนเดียวกัน ตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้เข้ามหาลัยฯ ทั้งคู่”

อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ Whale Searching out ที่เกาะติดความเคลื่อนไหวของเครือข่ายนายเบนจามิน เมาท์เออร์เบอร์เกอร์ มาเป็นเวลานาน ได้เปิดเผยหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าภรรยาของนายวรภัคและภรรยาของนายเบนจามินได้ขายหุ้นในกองทุนที่ชื่อ Capital Asia Investments Optimum Fund (CAI Optimum Fund) ในวันเดียวกัน ให้กับผู้ซื้อรายเดียวกัน และการชำระเงินทั้งสองรายการถูกโอนไปยังกระเป๋าสกุลเงินดิจิทัลเดียวกัน พร้อมตั้งคำถามว่า ธุรกรรมดังกล่าวที่เกิดขึ้นแบบสอดประสานกันนี้จะบังเอิญเกิดขึ้นจากผู้ปกครองสองคนที่ลูกเรียนโรงเรียนเดียวกันหรือ

ทั้งนี้ เว็บไซต์ Whale Searching out ได้เปิดเผยหลักฐานใหม่ดังกล่าวในวันนี้ (23 ต.ค.) โดยนายวรภัคได้อ้างถึงหลักฐานใหม่ดังกล่าวในเฟซบุ๊กส่วนตัววันนี้ โดยย้ำว่าภรรยาไม่เคยได้รับเงินคริปโต “เราไม่เคยรับเงินอะไรที่ว่านี้เลย”

2. ข้อสงสัยการซื้อหุ้น ฟินันเซีย ไซรัส

บทความเรื่อง “เครือข่ายการเงินจีน-กัมพูชาได้รับการคุ้มครองจากนักการเมืองไทย” โดยทอม ไรท์ อดีตผู้สื่อข่าวของเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ซึ่งเผยแพร่บนเว็บไซต์ Whale Searching out ได้กล่าวหาว่านายวรภัคเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญในกระบวนการที่ทำให้เครือข่ายฟอกเงินที่มีนายเบนจามิน เมาท์เออร์เบอร์เกอร์ เป็นศูนย์กลางได้ “เข้าควบคุม ฟินันเซีย ซึ่งเป็นบริษัทการเงินของไทย”

ชี้แจงซื้อหุ้น ฟินันเซีย ไซรัส อย่างถูกต้อง

นายวรภัคยืนยันความชอบธรรมของการตั้งบริษัท Pilgrim Finansa Investment Holdings เพื่อเข้าซื้อหุ้น 29% ของบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) (ต่อไปจะอ้างถึงโดยเรียกว่า ฟินันเซีย ไซรัส) โดยกล่าวว่าตนเป็นอดีตผู้บริหารของบริษัท ฟินันซ่า ซีเคียวริตี้ และเคยเป็นกรรมการในกลุ่ม ฟินันเซีย ไซรัส

เขาเล่าว่าในปี 2564 ผู้ถือหุ้นเดิมของ ฟินันเซีย ไซรัส ต้องการขายหุ้น 29% ซึ่งเขาและนายช่วงชัย นะวงศ์ ซึ่งต่อมาเป็นซีอีโอของ ฟินันเซีย ไซรัส มองว่าขณะนั้นเป็นโอกาสดีในการซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม จึงร่วมกันตั้งบริษัท Pilgrim Finansa Investment Holdings Pte. สัญชาติสิงคโปร์ขึ้น โดยเขาถือหุ้น 60% และนายช่วงชัยถือหุ้น 40% เพื่อเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวของบริษัท ฟินันเซีย ไซรัส โดยเขาอธิบายว่าเป็นลักษณะของการซื้อกิจการแบบ Administration Buyout (MBO) โดยใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญของเขาในธุรกิจ

“แม้จะมีปริมาณหุ้นเป็น 29% แต่ก็มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ เพราะเป็นสัดส่วนที่สามารถควบคุมบริษัทได้ (controlling stake) ผมใช้เงินไม่กี่ร้อยล้านบาทในการซื้อหุ้นนี้ สามารถมีอำนาจควบคุมบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส ซึ่งเป็นบริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 ได้” นายวรภัค ระบุ

“ถ้าการเปลี่ยนแปลงองค์กรเป็นไปได้ดีอย่างที่ผมคาดไว้ เศรษฐกิจดีขึ้นกว่าที่คิด และตลาดหุ้นยังคงเติบโตต่อเนื่อง หุ้นตัวนี้ก็น่าจะทำกำไรให้ผมได้เยอะ” เขากล่าวเสริมในการแถลงข่าววานนี้

ยันทำตามกฎ ก.ล.ต. และปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับ BIC Financial institution Cambodia

วรภัคยืนยันว่าการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ในปี 2564 นั้น เป็นธุรกรรมที่ทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และ ก.ล.ต. โดยได้มีแผนเตรียมวงเงิน 2 ส่วน คือส่วนที่ใช้ซื้อหุ้น และส่วนที่เตรียมไว้สำหรับทำเทนเดอร์หุ้นที่เหลืออีก 71% ตามกฎของ ก.ล.ต.

ด้านแหล่งที่มาของเงินทุนนั้น เขาชี้แจงว่าขั้นตอนดังกล่าวได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกองทุน Capital Asia Investment (CAI) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การเงินตราแห่งประเทศสิงคโปร์ (Financial Authority of Singapore หรือ MAS) และ BIC Financial institution Laos ซึ่งถือหุ้นโดยกลุ่มธุรกิจลาวและการไฟฟ้าลาว อย่างไรก็ตาม สุดท้ายไม่มีการกู้เงิน เพราะไม่มีผู้ถือหุ้นรายอื่นขายหุ้นเพิ่มเติม

ทั้งนี้ บทความเรื่อง “เครือข่ายการเงินจีน-กัมพูชาได้รับการคุ้มครองจากนักการเมืองไทย” โดย ทอม ไรท์ ระบุว่า มีอย่างน้อยหนึ่งกองทุนของ CAI นั่นก็คือ CAI Optimum Fund ที่ปรากฏชื่อของ นางแคทลียา บีเวอร์ ภรรยาของนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ร่วมเป็นผู้บริหารกองทุนด้วย โดยอ้างอิงเอกสารของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ

วรภัคยังกล่าวด้วยว่า BIC Financial institution Laos ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ BIC Financial institution Cambodia ซึ่งมีนายยิม เลียก เป็นผู้ถือหุ้น

“BIC Financial institution Laos และ BIC Financial institution Cambodia มีความเกี่ยวพันกันมาอย่างไรในอดีตถึงใช้ชื่อคล้ายกันหรือเหมือนกัน ผมไม่ทราบ” นายวรภัค กล่าว “ทราบแต่ว่าในปัจจุบันความเป็นเจ้าของและการบริหารจัดการไม่เกี่ยวข้องกันเลย แยกกันโดยเด็ดขาด ผู้เล่นใหญ่ของ BIC Financial institution Laos เป็นกลุ่มธุรกิจชาวลาว และบริษัท การไฟฟ้าลาว อย่างที่ผมเล่าให้ฟัง และเท่าที่หาข้อมูลได้ BIC Financial institution Cambodia ที่อยู่ในประเทศกัมพูชา มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บริษัท Apsara Keeping ถึง Ninety 9%” เขากล่าวเพิ่มเติม

ระบุไม่เกี่ยวข้องกับ Finansia X มาตั้งแต่ปลายปี 2567

วรภัคเล่าว่า หลังจากเข้ามาถือหุ้นใหญ่ในฟินันเซีย ไซรัส เขาและช่วงชัยได้จ้างบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company มาทำโครงการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล เพื่อพัฒนาองค์กรให้ทันสมัย แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้

ทั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัท จากบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ไปเป็น บริษัท ฟินันเซีย เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ Finansia X ในช่วงปี 2565

“ผ่านไป 3 ปี จนปลายปี 2567 ผมตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้คุณช่วงชัย หุ้นส่วนเดิมของผม และผมก็ลาออกจากตำแหน่งกรรมการทุกตำแหน่ง ปัจจุบันผมขายหุ้นไป จากนั้นก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับบริษัท” ทั้งนี้ นายวรภัคหมายถึงการขายหุ้นในบริษัท Pilgrim Finansa Investment Holdings Pte. ที่ตนถือหุ้นอยู่ 60% ในขณะนั้นให้นายช่วงชัยทั้งหมด ทำให้นายช่วงชัยกลายเป็นผู้ถือหุ้น Pilgrim ทั้ง 100%

.เข้าใจว่าในเวลาดังกล่าว บริษัท Pilgrim เป็นผู้ถือหุ้นใน Finansia X อยู่ทั้งสิ้น 29%

วรภัคยืนยันว่าการขายหุ้นดังกล่าวให้นายช่วงชัยเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2567 และเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหารหรือการถือหุ้นอีกหลังจากนั้น อย่างไรก็ดี วรภัคกล่าวว่าเขาเข้าใจว่า Finansia X มีการเพิ่มทุนในภายหลัง ทำให้สัดส่วนหุ้นเดิม 29% ของ Pilgrim ใน Finansia X ลดลงเหลือประมาณ 17%

ผู้สื่อข่าวสอบถามวรภัคว่าธุรกรรมขายหุ้นดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ๆ ระหว่างช่วงเวลาไหน วรภัคกล่าวว่า “ปี 2564 ถึง 2567 filling ใน ก.ล.ต. มีรายละเอียดหมดเลยว่าเกิดขึ้นในเดือนไหน ผมก็ไม่ได้ดูรายละเอียดแบบลึก ๆ”

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่าตัวนายวรภัคเองมีโอกาสเป็นเหยื่อที่ถูกลวงให้อยู่ในเครือข่ายการฟอกเงินหรือไม่ เขาชี้ว่า “เรื่องนี้จบไปแล้ว เพราะผมซื้อหุ้นแล้วก็ขายหุ้น ตอนผมขายผมขายให้คุณช่วงชัย ส่วนหลังจากนั้นคุณช่วงชัยขายหุ้นต่อ หรือมีการเพิ่มทุนจนทำให้สัดส่วนหุ้นของคุณช่วงชัยลดลงหรือไม่ ตรงนี้ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ”

ที่มาของภาพ : ThaiGov

3. บทบาทของภรรยา

ในบทความ “ไทยตั้งเจ้าหน้าที่สอบแก๊งอาชญากร หลังพบเครือข่ายเดียวกันจ่ายเงิน $3 ล้านให้ภรรยา” ทอม ไรท์ อ้างเอกสารทางธุรกิจชุดหนึ่งและชี้ว่า น.ส.กนกพร ศีตวรรัตน์ ภรรยาของนายวรภัค มีชื่อปรากฏในทะเบียนผู้ถือหุ้นชุดเดียวกันกับ นางแคทลียา บีเวอร์ ภรรยาของนายเบนจามิน ในกองทุน CAI Optimum Fund โดยมีการค้ำประกันด้วยหุ้น 24% ในบริษัท Finansia X

บทความดังกล่าวยังระบุต่อไปว่า ในเดือน ม.ค. 2568 น.ส.กนกพร ได้รับเงินมูลค่า 2.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในรูปแบบคริปโตเคอร์เรนซีสกุลเทเธอร์ (Tether หรือที่มักถูกเรียกว่า USDT) จากการขายหุ้นในกองทุน CAI Optimum Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่ถือหุ้น Finansia X อยู่บางส่วนด้วย

นายวรภัคได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยยืนยันว่าภรรยาของเขาไม่ได้ลงทุนในกองทุนดังกล่าว “ภรรยาผมไม่เคยไปถือหุ้นใน CAI ครับ”

นอกจากนี้ เขายังยืนยันว่าภรรยาของเขาไม่เคยมีบัญชีคริปโตใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่เคยได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว “เอาหลักฐานมายืนยัน ผมมั่นใจไม่มี เพราะภรรยาผมไม่เคยมีบัญชีคริปโต”

ทั้งนี้ เขายอมรับว่า น.ส.กนกพร และแคทลียา บีเวอร์ รู้จักกันเพราะลูกเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่ไม่มีการทำธุรกรรมร่วมกัน และ “ไม่มีอะไร” เกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2568 ตามที่มีการกล่าวอ้าง

อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ Whale Searching out ได้เปิดเผยหลักฐานในวันนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า น.ส.กนกพร และนางแคทลียา ได้ขายหุ้นในกองทุน CAI Optimum Fund ในวันที่ 7 ม.ค. 2568 ให้กับผู้ซื้อรายเดียวกัน และการชำระเงินทั้งสองรายการถูกโอนไปยังกระเป๋าสกุลเงินดิจิทัลเดียวกันด้วย

ลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลัง และจะดำเนินคดีผู้ “ใส่ร้าย”

หลังจบการชี้แจงดังกล่าว นายวรภัค ประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังทันที โดยกล่าวว่าเพื่อให้เกิดความเป็นอิสระในการตรวจสอบและเพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารนโยบายได้อย่างราบรื่น

วรภัคกกล่าวว่าหลังจากนี้เขาจะเดินหน้าฟ้องเพื่อดำเนินคดีกับ ทอม ไรท์ อดีตผู้สื่อข่าวของเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ซึ่งเขียนบทความกล่าวหาตน โดยระบุว่า “เขา มาพาดพิงแล้วก็กุเรื่องหลายอย่างซึ่งเป็นเรื่องเท็จทั้งนั้น ถ้าคนไม่เคยรู้จักผมก็อาจจะหลงระเริงไปกับบทความ”

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะดำเนินการฟ้อง BIC Community หรือไม่ที่นำรูปของเขาไปใช้ในเว็บไซต์โดยอ้างว่าเป็นที่ปรึกษา เขากล่าวว่า “ผมก็ยังไม่เห็นรูปจริง เห็นแต่ที่ seize หน้าจอมา จะเข้าไปดูมันก็ไม่มีแล้ว” และระบุว่าตั้งแต่เกิดเหตุถูกกล่าวหา ตนยังไม่ได้ติดต่อ นายยิม เลียก แต่อย่างใด