
ชวนอ่านแง่คิดและมุมมองจาก นวลน้อย ธรรมเสถียร สื่อมวลชนอิสระที่เฝ้าติดตามประเด็นชายแดนใต้มายาวนาน นวลน้อยมองว่าประเด็นความขัดแย้งชายแดนใต้ และปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา แม้เป็นคนละเรื่องกัน แต่มีความคล้ายกันในแง่ที่ว่า หน่วยงานความมั่นคงมีบทบาทนำรัฐบาลพลเรือนในการแก้ปัญหา บวกกับมีการปลุกกระแสรักชาติขึ้นมาสนองตอบการใช้กำลัง
จุดร่วมอีกอย่างที่นวลน้อยเห็นคือ ทั้งชายแดนใต้และชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นปัญหาทางการเมืองที่ต้องอาศัย “เจตนารมณ์ทางการเมือง” ในการแก้
“การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าสู่จุดที่ไม่มีความหวังสักเท่าไหร่ ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เหมือนกับปัญหาชายแดนไทย-เขมร เพราะเป็นปัญหาการเมืองซึ่งต้องแก้ด้วยการเมือง ซึ่งหลายส่วนในสังคมไทยไม่เข้าใจว่านี่คือเป็นปัญหาการเมืองและจะแก้ปัญหาอย่างไร”
เป็นที่น่าจับตาว่า การแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ในรัฐบาลนี้จะมีทิศทางอย่างไร หลังจากนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์หลายครั้ง โดยเนื้อหาแปลความได้ว่าจะรัฐบาลจะให้ทหารเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา โดยรัฐบาลกับกองทัพเข้าใจกันดี อีกทั้งรัฐบาลอนุทินยังมีความตั้งใจที่จะทำประชามติเพื่อขอความเห็นประชาชนในการยกเลิก MOU43 และ 44 ที่เคยทำไว้กับกัมพูชา
ส่วนประเด็นชายแดนใต้ยังต้องอาศัยการสร้างความเข้าใจอีกมาก แต่ยิ่งตกหายไปจากพื้นที่การเมือง อนาคตของสันติภาพชายแดนใต้จะเป็นอย่างไรในรัฐบาลนี้ รัฐบาลอายุสั้นจะทำอะไรได้บ้าง และงานระยะยาวต้องเริ่มจากตรงไหน
นวลน้อย ธรรมเสถียร (แฟ้มภาพ)
เนื้อหาต่อไปนี้ สรุปมาจากวงสนทนาสันติภาพชายแดนใต้ เดอะซี่รี่ย์ ตอนที่.2 เรื่อง สันติภาพชายแดนใต้/ปาตานี จะไปต่ออย่างไรในรัฐบาลชุดใหม่และชุดหน้า เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา จัดโดยสภาประชาสังคมชายแดนใต้ เนื่องในโอกาส “วันสันติภาพสากล” 21 กันยายน ที่ประกาศโดยองค์การสหประชาชาติ
ชายแดนใต้/ชายแดนไทย-กัมพูชา ปัญหาการเมืองที่ต้องแก้ด้วยการเมือง แต่ยังหา “เจตนารมณ์ทางการเมือง” ไม่เจอ
“การที่จะแก้ปัญหาในทางการเมืองได้ สิ่งแรกที่จะต้องมีคือ เจตนารมณ์ทางการเมือง
คำถามคือเรามีหรือยัง ดิฉันคิดว่ายังหาไม่เจอ แม้จะมีหลายคนพูดเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่โครงสร้างทางการเมืองของประเทศ ณ เวลานี้ ยังไม่เอื้อต่อการที่จะแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีทางทางการเมือง ซึ่งรัฐบาลใหม่ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีแนวทางที่ดีกว่าเดิมหรือเปล่า
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา กลายเป็นเรื่องสัมพันธภาพระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายความมั่นคง แต่พลวัตนี้มีผลต่อการแก้ปัญหาอย่างมากจนกระทั่งทำให้แรงเหวี่ยงการแก้ปัญหาหันไปยังทิศทางฝ่ายความมั่นคงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งใกล้เคียงกับปัญหาชายแดนใต้มาก ที่มีการปลุกความรู้สึกรักชาติขึ้นมา
ดิฉันเข้าใจดีว่า เวลาประเทศมีปัญหาด้านความมั่นคงก็ต้องมีการปลุกกระแสความรักชาติขึ้นมาสนองตอบ เพื่อให้ประเทศอยู่ในสภาพพร้อมรบ ประเด็นคือ เราอยู่ในจุดนั้นหรือยัง เราจำเป็นต้องผลักดันให้สังคมไทยไปถึงจุดนั้น หรือไม่
เมื่อรัฐบาลอ่อนแอ ทหารแข็งแกร่ง และกระแสคลั่งชาติรุนแรง กลายเป็นหลุมดำที่ดูดเอาการแสวงหาผลกำไร?
ประเด็นคือ เมื่อเรามีรัฐบาลที่อ่อนแอในทางการเมือง ไม่ว่าจะทำด้วยตัวเองหรือโดยสถานะทางการเมือง ในขณะที่เรามีฝ่ายความมั่นคงที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากปัญหาภาคใต้และทางการเมือง เพราะรับมรดกตกทอดมาจากรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ท้ายที่สุดแล้วมันก็คือสิ่งที่เราเห็น
เราไม่พบว่า เจตนารมณ์ในการแก้ปัญหาทางการเมืองมันโดดเด่น และมีบทบาทนำในการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยวิธีการทางการเมือง
เจตนารมณ์ทางการเมืองแก้ปัญหาการเมือง จะมีรัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีกลไกอื่นๆ ของสังคมด้วยที่จะช่วยผลักดันให้สังคมมีเจตนารมณ์ทางการเมืองไปพร้อมๆกับฝ่ายการเมือง
หมายความว่า เราจะต้องให้สังคมมีฉันทามติร่วมในเรื่องการแก้ปัญหาด้วยการเมือง เราต้องมองปัญหาให้ถูกตั้งแต่แรกก่อน ตั้งจุดให้ถูกก่อน คำถามก็คือ สังคมไทยเจอจุดนี้หรือยัง
กลไกต่างๆ ที่ควรจะมีบทบาท เช่น สื่อก็เล่นตามน้ำ สังคมส่วนหนึ่งก็เล่นเรื่องความรักชาติจนถึงคลั่งชาติ สื่อก็เล่นตามกระแสนี้เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสื่อที่มีบทบาทสูงมากที่รวมเอาตัวอินฟลูเอนเซอร์เข้ามาด้วย มีบทบาทสูงมากในการผลักให้คนเกิดกระแสคลั่งชาติ
กระแสคลั่งชาติมันกลบเสียงทุกอย่าง กระแสอื่นก็มี เช่น ผลประโยชน์ที่แท้จริงของประเทศควรจะหาทางออกอย่างไร เสียงของคนส่วนน้อยแม้กระทั่งคนที่อยู่ในภาคอีสาน ในพื้นที่ชายแดนหรือใกล้ชายแดน ปัญหาครอบครัว การทำมาหากิน เสียงเหล่านี้มันหายไป มีแฟลมออกมาก็เล็กๆน้อยๆ คือบทบาทของสื่อซึ่งจะต้องมีการทบทวนกัน
นักการเมืองควรจะเป็นอีกกลไกหนึ่งที่มีบทบาทในการช่วยระดมความคิดเห็นไปในทิศทางที่สนับสนุนการแก้ปัญหาด้วยการเมือง ซึ่งเราเห็นนักการเมืองแทบไม่กี่คนและไม่กี่ค่ายที่ออกมาพูดเรื่องนี้ แต่ก็ถูกถล่มแทบจะราบเป็นหน้ากลอง เพราะเราปล่อยให้เขาพูดอยู่ฝ่ายเดียว
แม้กระทั่งบทบาทของนักวิชาการก็เห็นค่อนข้างน้อย เราไม่เห็นนักวิชาการที่ออกมาพูดเรื่องไทย-กัมพูชาในทางที่แตกต่างมากนัก ทั้งหมดเป็น Pattern (รูปแบบ) ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัญหาชายแดนใต้ ท้ายที่สุดเสียงของทุกคนก็ถูกกลบด้วยกระแสรักชาติ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น
เหตุใดรัฐบาลพลเรือนจึงอ่อนแอ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ณ เวลานี้ของฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งต้องทบทวนและดูว่าต้องไปในทิศทางไหน และดิฉันคิดว่าคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็คงจะต้องมองเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ท้ายที่สุด ถ้าเรามองปัญหาชายแดนใต้เป็นปัญหาการเมืองที่ต้องแก้ด้วยการเมือง ท้ายที่สุดเราหนีไม่พ้นเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยในประเทศ
ดังนั้น คำถามคือ รัฐบาลพลเรือนของเราจะทำอย่างไรที่จะเข้มแข็งขึ้นมามากกว่านี้ ขณะนี้ปัญหาความขัดแย้ง อย่างเช่น ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชามันถูกดันไปสู่สถานะอาการคล้ายกับปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในฐานะที่มันกลายเป็นหลุมดำที่ดูดเอาการแสวงหาผลกำไรเข้าไปอยู่ในรัศมีของปัญหานี้
ไม่น่าจะแก้ไขได้แล้ว เพราะความเข้าใจที่แตกต่าง ยิ่งห่างไกลจากการเข้าใจพื้นฐานของปัญหา
ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เช่นกัน กระทั่งดิฉันรู้สึกว่า สังคมนี้ไม่น่าจะแก้ปัญหาชายแดนใต้ได้ อย่างน้อยก็ในเวลาช่วงชีวิตของดิฉันแน่นอน ดิฉันค่อนข้างมีความเห็นในแง่ลบมาก ต้องขออภัยทุกท่านด้วย
ในปีนี้ ดิฉันไม่เชื่อว่าเราจะสามารถแก้ปัญหาชายแดนใต้ได้ในช่วงชีวิตของดิฉัน เพราะองค์ความรู้ในเรื่องการแก้ปัญหาด้วยการเมืองของเราไม่มี ถูกละเลย และทุกอย่างมันถูกเทไปสู่เรื่องการใช้กำลัง ถามว่าเราจำเป็นต้องโชว์ออฟ หรือโชว์พาวการใช้กำลังไหม เพดานของมันอยู่ที่ไหน
เพดานของการใช้กำลังเพื่อจะรักษาไว้ซึ่งพลวัตรของการแก้ปัญหาด้วยการเมืองมันต้องมี แต่ในสังคมนี้เรายังไม่เห็นการสนทนาเรื่องนี้อย่างจริงจังตรงไปตรงมาอย่างไม่โลกสวย และไม่ยื่นอำนาจไปให้ใครอย่างชัดแจ้งแบบนั้น
ท้ายที่สุด เราเป็นสังคมที่หวือหวาวูบวาบ เจออะไรเราก็เทไปทางนั้น
ความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังกลายเป็นเรื่องที่คนใน 3 จังหวัดบอกว่า สังคมไทยลืมเรื่องนี้ใช่ไหม ดิฉันคิดว่าเขาไม่ลืมหรอก ถ้าเข้าไปดูในโซเชียลมีเดีย จะพบคนที่พูดถึงเรื่องนี้อยู่ แต่พูดไปในทิศทางอีกแบบหนึ่งจากที่คนใน 3 จังหวัดอยากจะให้พูดถึง
ตัวอย่างเช่น การแห่ศwและอื่นๆ อีกหลายอย่างที่เขาพูดถึง ในลักษณะง่ายๆ ว่ามันห่างไกลจากการเข้าใจพื้นฐานของปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างมาก
เมื่อก่อนนี้เราคิดว่าคนในสังคมไทยมีความรู้น้อย ดิฉันคิดว่า วันนี้หลายคนก็ยังมีความรู้น้อยอยู่แต่คิดว่าตัวเองมีความรู้เยอะ ในขณะที่อีกหลายคนดูดซับความรู้ในทิศทางที่ตรงกันข้ามความเข้าใจของสังคมไทยต่อปัญหาชายแดนใต้
ความคิดเห็นหลายฝ่ายจะมีมากขึ้น แต่การตีความไปกันคนละทางกับสิ่งที่มันควรจะมีส่วนในการแก้ไขปัญหา
อยากจะบอกว่า ใครก็ตามที่นั่งอยู่ในการประชุมคณะกรรมาธิการสันติภาพชุดที่เพิ่งจะปิดฉากไป จะพบว่า การแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และการมองปัญหาของฝ่ายต่างๆ ตีกันพัลวัน และตีกันหนักมาก แม้กระทั่ง ในฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่แน่ใจว่า ทัศนะที่มีต่อปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะเข้าใจกันจริงหรือเปล่า
เราไม่ได้ก้าวไปไกลกว่านั้น จากจุดที่เราเคยเจอเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในแง่ของความเข้าใจของสังคมที่มีต่อปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ภาษาสันติภาพ คือภาษาเดียวกันของคนฟิลิปปินส์
ดิฉันเคยสนทนากับเพื่อนที่ทำงานสันติภาพในฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นชาวคริสเตียนว่า การผลักดันกระบวนการสันติภาพในมินดาเนา (ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์) มีพลวัตอย่างไร เพราะเรารู้สึกว่ามีพลังเยอะ แม้เวลาที่เขาเพลี้ยงพล้ำ เช่น มีการปฏิเสธการสร้างสันติภาพ หรือปฏิเสธกฎหมายพื้นฐานบังซาโมโรในรัฐสภา
เขาอธิบายว่า พลังการขับเคลื่อนสันติภาพในมินดาเนาเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของภาคประชาสังคมเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางมาก ไม่เฉพาะในมินดาเนาเท่านั้น แต่เกิดขึ้นทั่วประเทศ มีเครือข่ายที่คนพูดเรื่องสันติภาพเป็นภาษาเดียวกันทั่วประเทศ
ทั้งนี้เพราะ ฟิลิปปินส์มีประเด็นความขัดแย้งหลายจุดด้วยกัน และมีภาคประชาสังคมที่ทำงานเรื่องความขัดแย้งเยอะมาก พวกเขาสามารถจับกลุ่มและ mobilize เรื่องนี้อย่างรวดเร็วมาก ทำความเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องทำงานความคิดกันเยอะ เช่น ทำความเข้าใจว่าธรรมชาติของปัญหานี้เป็นความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งช่วยทุ่นเวลาได้เยอะมาก
ประเด็นร่วมของชายแดนใต้กับส่วนอื่นของประเทศสามารถเป็นจุดพื้นฐานทำความเข้าใจได้
หันกลับมาดูปัญหาภาคใต้ของไทยที่เกิดมา 20 ปีแล้ว แต่ความจริงคือ ไม่ได้เป็นปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอันเดียวที่มีในประเทศไทย ทั้งความขัดแย้งทางการเมืองในกรุงเทพฯ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ล่าสุดคือปัญหาไทย-กัมพูชา รวมทั้งเรื่องในอดีต เช่น กบฏผีบุญ กบฏเงี้ยว เป็นต้น
มีเรื่องในอดีตต่างๆ มากมาย และมีอีกหลายเรื่องที่เป็น General relate หรือประเด็นร่วมของพื้นที่ชายแดนใต้กับที่อื่นๆ ในประเทศไทยที่สามารถเป็นจุดพื้นฐานที่จะทำความเข้าใจได้
ท้ายที่สุดแล้ว ปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้เป็นปัญหาระยะยาว แต่มาถึงตอนนี้คนไม่สนใจเท่าไหร่ เพราะคนรู้สึกว่ามันชินแล้ว อยู่มา 20 ปีแล้ว และไม่ได้รู้สึกว่ามันแตกสลายไปไหน สังคมนี้ก็อยู่ได้
แต่ปัญหาชายแดนใต้มันหล่นจากพื้นที่ทางการเมืองไปแล้ว
ในความเป็นจริง รัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมาตลอด 20 ปีนี้พูดถึงปัญหาภาคใต้ในนโยบายของรัฐบาลทุกชุด แต่ไม่พูดกันแล้วตอนนี้ มันไม่อยู่ในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลแล้ว แสดงให้เห็นว่าสถานะทางการเมืองของปัญหาภาคใต้มันหล่นมาแล้ว
เราจะเรียกร้องก็ได้ ให้รัฐบาลต้องทำให้เป็นวาระแห่งชาติ คุณต้องมีเจตนารมณ์ทางการเมือง ต้องทำนั่นทำนี่ ท้ายที่สุดแล้ว เราไม่เป็นประชาธิปไตย ดังนั้นเราต้องฝากความหวังกับรัฐบาลประชาธิปไตยหรือ และเราจะต้องเอาวิธีคิดแบบตะวันตกมาให้คำจำกัดความกับการแก้ปัญหาชายแดนใต้ เราต้องรอถึงตอนนั้นหรือถึงจะแก้ปัญหาได้
ในความเห็นส่วนตัวเอง ปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาระยะยาว เราดูปัญหาความขัดแย้งในประเทศไทย มีปัญหา ใดบ้างที่สามารถแก้ได้ในระยะเวลาอันสั้น อย่าว่าแต่ระยะเวลาอันสั้นเลย แก้ในระยะเวลาอันยาวก็ยังแก้แทบไม่ได้เลย
ภายใต้รัฐบาลอายุสั้นจะทำอะไรได้ และในระยะยาว การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากที่ไหน
ดังนั้น ปัญหาภาคใต้ เราไล่ตามรัฐบาลไปทีละรัฐบาล เราตั้งคำถามว่าภายใต้รัฐบาลนี้เราจะทำอะไรได้ การเลือกตั้งในเวลาอีก 4-5 เดือนข้างหน้า เราจะทำอะไร เป็นคำถามที่ดี แต่อย่าลืมว่าในระยะยาวแล้ว การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มันจะต้องเริ่มจากที่ไหน
เราถามหาเจตนารมณ์ทางการเมือง เราถามหา Political Will จะมาจากไหน เราไปไล่บี้นักการเมืองว่าคุณต้องมีเจตนารมณ์ทางการเมือง นักการเมืองบอกว่า เดี๋ยวนะครับ ประชาชนไทยยังไม่สนใจปัญหาภาคใต้เลย แล้วยังต่อต้านมุสลิม ต่อต้านอิสลามอยู่ แล้วจะเอา Political Will จากนักการเมืองที่ไหนมา
เราไม่สามารถเรียกร้องนักการเมืองได้โดยไม่ทำงานพื้นฐาน คือ ทำให้สังคมไทยเข้าใจ
ความท้าทายของเราในวันนี้คือ เราต้องทำให้สังคมมีความเข้าใจมากขึ้นกับปัญหาชายแดนใต้ นี่คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในระยะยาว เราไม่สามารถไปเรียกร้องนักการเมืองได้โดยที่เราไม่ทำงานพื้นฐานนี้ได้
สิ่งที่เราพุ่งเป้าขณะนี้ คือทำงานเทคนิคในระยะสั้นค่อนข้างเยอะ เราพุ่งเป้าว่า จะทำอย่างไรให้มีการพิจารณา พ.ร.บ.สันติภาพ ซึ่งดิฉันเห็นด้วยว่าเราจะต้องสร้าง Facility เรื่องสันติภาพมากขึ้น เห็นด้วยว่าต้องผลักดันเรื่องการพูดคุย
นี่เป็นบทบาทของภาคประชาสังคมที่จะคอยมอนิเตอร์และผลักดันการพูดคุยให้เกิดขึ้น และเห็นด้วยว่า เราต้องผลักดันให้นักการเมืองมีเจตนารมณ์ทางการเมือง จัดให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่นั่นเป็นงานระยะสั้นตามจังหวะเวลาของมัน
แรงสนับสนุนทางการเมืองต้องมาจากประชาชนทั้งประเทศ
เมื่อหลายปีก่อน ในบทสนทนาที่มีทั้งภาคประชาสังคมและตัวแทนประชาชนคุยกันว่า ไม่จำเป็นจะต้องเป็นประชาธิปไตยถึงจะสร้างสันติภาพได้
มีหลายคนยกตัวอย่างที่อาเจะห์(อินโดนีเซีย) และที่อื่นๆ แต่สิ่งเหล่านี้ถ้าเกิดขึ้นได้ เราก็ต้องฉวยโอกาสทำให้เกิดขึ้น แต่ในระยะยาวแล้วพื้นฐานสำคัญที่สุดคือแรงสนับสนุนให้มีเจตนารมณ์ทางการเมืองนั้น ต้องมาจากประชาชน
แรงสนับสนุนนี้ต่างหากที่จะผลักดันให้นักการเมืองแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง และเราจะทำเฉพาะในพื้นที่ไม่ได้ เราต้องมีเพื่อนที่อยู่นอกพื้นที่ที่มีความเข้าใจในประเด็นปัญหาในพื้นที่
สิ่งนั้นมันจะต้องเริ่มจากสิ่งที่เป็น General relate หรือประเด็นที่มีส่วนร่วมด้วยกัน เช่น การกระจายอำนาจ ความไม่เท่าเทียมกัน ความไม่เป็นธรรม ความไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งหมดเป็นปัญหาร่วมที่ต้องผลักดันไปพร้อมๆกัน
สังคมไทยจะต้องอัพเดทตัวเองในการรับรู้เรื่องการจัดการความขัดแย้ง
เราติดตามการพูดคุยกันของคณะกรรมาธิการสันติภาพว่าจะแก้ปัญหาได้ยังไง ทุกคนก็มองตากันแล้วมองเห็นว่า จะต้องแก้ด้วยการให้มีการกระจายอำนาจมากขึ้น แต่การกระจายอำนาจทั่วประเทศมันล้าหลัง แล้วคุณจะผลักดันให้กระจายอำนาจในพื้นที่ได้อย่างไร กระจายอำนาจมากขึ้นเท่าเดิมยังทำไม่ได้เลย แล้วคุณจะกระจายอำนาจให้มากกว่าทุกพื้นที่ในประเทศนี้ได้อย่างไร
ไม่อยากให้เราท้อถอยด้วยการรู้สึกว่า ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้วอย่าไปพึ่งมัน ยังไงก็เป็นเรื่องระยะยาว แต่ถ้ามีจังหวะเกิดขึ้นในระยะสั้นๆได้ สมมุติว่าเราได้รัฐบาลพลเรือนที่มีเจตนารมณ์ทางการเมืองจากการผลักดันของทุกคน ลุยเลยค่ะ ดิฉันเห็นด้วย เราต้องสร้างความพร้อม แต่ขณะเดียวกันเราต้องไม่ลืมที่จะทำงานในระยะยาว และงานนั้นก็คือ ต้องสร้างเครือข่าย เริ่มต้นจากสิ่งที่เป็น General relate ที่มีกับพื้นที่อื่นๆ
เราอย่าคิดว่า เราอยากให้เขาเข้าใจเราฝ่ายเดียว เราต้องเข้าใจคนอื่นด้วย แล้วเราต้องก้าวไปพร้อมๆกับคนอื่น ในประเด็นที่ควรจะไปพร้อมๆกัน เราจะต้องทำความเข้าใจไม่ใช่เฉพาะคนในพื้นที่
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ในตอนแรกๆ ดิฉันเห็นความพยายามของคนในพื้นที่ในการสร้างความเข้าใจและมีบทสนทนากับคนในพื้นที่ด้วยกันค่อนข้างเยอะ จนหลายคนสัมฤทธิ์ผลในการทำให้เกิดบทสนทนา คุยกันได้และทำงานด้วยกันได้ แต่เท่านี้ยังไม่พอ
ดิฉันคิดว่า ความรู้เรื่องการจัดการความขัดแย้งและการทำงานความขัดแย้งในพื้นที่นี้ ต้องเป็นโมเดลให้สังคมไทย และสังคมไทยจะต้องอัพเดทตัวเองในการรับรู้เรื่องการจัดการความขัดแย้ง
ไม่ใช่ผลักดันว่า คุณต้องแก้ปัญหา 3 จังหวัดทันทีทันใด แต่ต้องผลักดันว่า คุณต้องเข้าใจวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งแบบนี้ ซึ่งจะทำให้เขามีส่วนร่วม เพราะจะเห็นว่าปัญหาอื่นๆ ซึ่งเป็นความขัดแย้งทางการเมืองก็ต้องแก้ปัญหาในแนวทางที่ใกล้เคียงกันด้วย อันนี้จะทำให้เกิดเครือข่ายของคนที่สนใจเรื่องสันติภาพ คล้ายๆ กับที่ฟิลิปปินส์
เราต้องจับมือกับคนทำงานในประเด็นใกล้เคียงกันกับประเด็นที่เป็นปัญหาหัวใจสำคัญในพื้นที่ แล้วเริ่มทำงานได้
ประเด็นใดก็ตามแต่ เราทิ้งให้นักการเมืองทำได้ในระยะสั้น เราอย่าพยายามทำทุกเรื่อง แต่ควรทำเรื่องที่ควรทำ และเวลาที่ไม่เป็นกระแสเป็นเวลาที่ดีมากที่จะทำ อย่าทิ้งและอย่าทำเฉพาะเวลาที่มันเป็นกระแส
ประชาสังคมชายแดนใต้เดินทางมาไกลแล้ว
ดิฉันให้กำลังใจคนทำงานเพื่อสังคมในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นสื่อและคนทำงานภาคประชาสังคม
ภาคประชาสังคมมาไกลมากแล้วตั้งแต่เริ่มมีปัญหาในพื้นที่ ภาคประชาสังคมเติบโตมาพร้อมๆกับปัญหา และเป็นกลุ่มที่มีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาในพื้นที่ แน่นอนเรายังไม่เห็นผล แต่ได้เห็นการเติบโตของคนที่ทำงาน และความเข้าใจของคนในพื้นที่ เนื่องจากเป็นงานหิน ดังนั้นต้องอาศัยกำลังใจ เพราะจะเจอกับความท้าทายค่อนข้างเยอะ
งานหลัก ๆ ซึ่งเป็นงานระยะยาว คือจะต้องมีคนที่ทำเรื่องการผลักดันประชาชน เพราะการแก้ปัญหาต้องการการมีส่วนร่วมของประชาชน ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม
ต้องพยายามสร้างเครือข่าย เพื่อยกระดับความรับรู้ ความเข้าใจกับคนนอกพื้นที่
ดิฉันขอสรุปเป็นคำพูดสั้นๆ ว่า เราต้องผลักดันให้การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเพื่อแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้กว้างขวางมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ นำไปสู่การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มีคุณภาพ
เราต้องพยายามรณรงค์ให้มีการยกระดับการรับรู้ของประชาชนต่อปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีความเข้าใจ แล้วตีความไปในทิศทางที่ใกล้เคียงความเป็นจริง อันนี้จำเป็นต้องทำ
สำหรับภาคประชาสังคมและคนทำงานเพื่อสังคม สิ่งสำคัญคือต้องพยายามสร้างเครือข่าย เพื่อยกระดับความรับรู้ความเข้าใจ ไม่ว่าจะในพื้นที่หรือนอกพื้นที่ แม้จะทำในพื้นที่มาเยอะแล้วก็ตาม
ดีใจที่มีการพูดถึงการทำงานกับคนนอกพื้นที่ ซึ่งต้องเริ่มทำหรือสานต่อ ทำให้เยอะขึ้น โดยอาศัย General relate อย่างที่ได้กล่าวถึง ในขณะเดียวกันการสร้างความเข้มแข็งให้คนในพื้นที่ การสร้างความเข้าใจกับคนในพื้นที่ยังต้องทำต่อไป
คนมลายูกับคนพุทธต้องก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกัน ปัดเป่าปัญหาซึ่งกันและกัน
สำหรับคนทำงานเพื่อสังคมซีกมลายู จำเป็นต้องเก็บเกี่ยวคนพุทธให้ก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมๆกันด้วย และพยายามปัดเป่าปัญหาซึ่งกันและกัน อันนี้ถึงเวลาและจำเป็นต้องทำกันแล้ว
ทั้งนี้ทั้งนั้น เราจะได้สะพานเชื่อมคนที่จะสร้างความเข้าใจในปัญหาภาคใต้ ผ่านกลุ่มคนพุทธอย่างดีมากและเรื่องนี้มันจะสร้างความเข้มแข็งให้กับงานทางด้านนี้ค่อนข้างเยอะ
การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่จำเป็นต้องผลิตสื่อป้อนให้สื่อใหญ่ๆ ด้วยตัวเอง เพราะเราสามารถทำได้เองหลายแบบ ที่ผ่านมาสื่อในพื้นที่สร้างความเข้าใจและสื่อสารกับคนในพื้นที่มาเยอะพอสมควร คิดว่าเราจำเป็นต้องสื่อสารกับคนนอกพื้นที่ให้มากขึ้นแล้ว
อย่าลืมคนที่เคยทำงานเรื่องภาคใต้ตลอด 20 ปี พวกเขาล้วนเป็นเพื่อนที่ดี
สิ่งหนึ่งที่สามารถทำได้มากๆ คือ การทำงานกับกลไกทางการเมือง เช่น สภา แม้สภาและการเมืองอาจปฏิเสธว่า ยังไม่สามารถทำให้เกิดเจตนารมณ์ทางการเมืองได้ในวันนี้ แต่สิ่งที่เราเรียกร้องได้คือ ให้เข้าร่วมทำงานเพื่อสร้างความรับรู้ในสังคมต่อประเด็นปัญหาชายแดนใต้ได้ สิ่งนี้นักการเมืองทำได้และควรจะทำด้วย
ท้ายที่สุดคือ ทำงานอย่างที่ควรทำ คือการมอนิเตอร์กระบวนการสันติภาพ ทำความเข้าใจปัญหาเทคนิคที่เกิดขึ้น จะทำอย่างไรให้มีการพูดคุยหรือมีการสานต่อ ต้องพยายามสนับสนุนให้มีการทำเรื่องพวกนี้อย่างกระจายตัวและหลากหลาย
อยากให้กำลังใจอีกครั้งว่า การทำงานเหล่านี้เป็นเรื่องยากลำบาก ก็หาเพื่อนเยอะๆ อาจจะไม่ใช่คนที่เกี่ยวพันกับเรื่องภาคใต้เป็นหลัก หลายคนเคยทำงานเรื่องภาคใต้ อย่าลืมว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา พวกเขาล้วนแต่เป็นเพื่อนที่ดี เก็บเกี่ยวมิตรภาพเหล่านั้นเอาไว้ ให้ความรับรู้ของพวกเขาเป็นประโยชน์ต่อการผลักดันปัญหาภาคได้เป็นอย่างยิ่ง
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )