
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีน ส่งผลอะไรต่อเศรษฐกิจโลก ?

ที่มาของภาพ : Reuters
- Author, เบน ชู
- Position, บีบีซี เวริฟาย
สงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบระหว่างจีนและสหรัฐฯ คือสิ่งที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นได้ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะกำหนดอัตราภาษีศุลกากรมากกว่า 100% สำหรับสินค้าจีนที่นำเข้าไปยังสหรัฐฯ ตั้งแต่วันพุธที่ 9 เม.ย. เป็นต้นไป
ทางการจีนระบุว่า พวกเขาจะ “สู้จนถึงที่สุด” มากกว่าจะยอมจำนนกับสิ่งที่พวกเขามองว่าเป็นการบีบบังคับจากสหรัฐฯ และได้เพิ่มกำแพงทางการค้าของจีนต่อสหรัฐฯ เพื่อเป็นการตอบโต้แล้ว
ความขัดแย้งทางการค้าที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นนี้ มีความหมายต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร ?
จีนและสหรัฐฯ ค้าขายระหว่างกันมากแค่ไหน ?
การค้าขายระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจนี้ มีมูลค่าถึง 5.85 แสนล้านดอลลาร์ (กว่า 20.3 ล้านล้านบาท) ในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากจีน (4.4 แสนล้านดอลลาร์) มากกว่าที่จีนนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ (1.45 แสนล้านดอลลาร์) อยู่มาก
and proceed readingเรื่องแนะนำ
Atomize of เรื่องแนะนำ
มูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีน (เส้นสีแดง) มีมากกว่ามูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งออกไปยังจีน (เส้นสีฟ้า)
นั่นทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับจีน โดยมีความต่างระหว่างมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าและส่งออก อยู่ที่ 2.95 แสนล้านดอลลาร์ (กว่า 10.2 ล้านล้านบาท) ในปี 2024 ซึ่งถือว่าเป็นการขาดดุลการค้าที่เทียบเท่ากับประมาณ 1% ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าตัวเลข 1 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 35 ล้านล้านบาท) ที่ทรัมป์กล่าวอ้างซ้ำ ๆ มาตลอดทั้งสัปดาห์นี้
ทรัมป์เคยกำหนดอัตราภาษีศุลกากรกับจีนมาครั้งหนึ่งแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก อัตราภาษีดังกล่าวถูกบังคับใช้เรื่อยมา และยังถูกเพิ่มในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขาด้วย
กำแพงทางการค้าเหล่านี้ช่วยทำให้ตัวเลขการนำเข้าสินค้าจากจีนลดลง จากสัดส่วน 21% ของสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าทั้งหมดในปี 2016 เหลือเพียง 13% ในปีที่แล้ว
นั่นหมายความว่าการพึ่งพาการค้ากับจีนของสหรัฐฯ ได้ลดลงแล้วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
แต่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า สินค้าจีนบางอย่างที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ถูกเปลี่ยนฐานไปส่งผ่านประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน
ตัวอย่างเช่น รัฐบาลทรัมป์เคยกำหนดอัตราภาษีศุลกากร 30% กับแผงโซลาร์เซลล์ที่นำเข้าจากจีนในปี 2018
แต่กระทรวงการพาณิชย์ของสหรัฐฯ เปิดเผยหลักฐานในปี 2023 ว่า บรรดาผู้ผลิตแผงโซลาร์เซลล์จีนได้ย้ายฐานการประกอบกิจการไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น มาเลเซีย ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ก่อนจะส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตสำเร็จแล้วไปยังสหรัฐฯ ผ่านทางประเทศเหล่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอย่างแยบยล
ภาษีศุลกากร “ตอบโต้” แบบใหม่ ที่กำหนดกับกลุ่มประเทศดังกล่าว จึงจะทำให้ราคาสินค้าหลากหลายชนิดที่มีต้นกำเนิดจากจีน พุ่งสูงขึ้นในสหรัฐฯ ด้วย
สหรัฐฯ และจีน นำเข้าสินค้าอะไรจากกันและกันบ้าง?
ในปี 2024 ประเภทของสินค้าที่ถูกส่งออกจากสหรัฐฯ ไปยังจีนมากที่สุดคือถั่วเหลือง ส่วนใหญ่ถูกใช้เป็นอาหารเลี้ยงหมู ซึ่งคาดการณ์ว่ามีอยู่ประมาณ 440 ล้านตัวในจีน
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังส่งออกยาและปิโตรเลียมไปยังจีนด้วย
ในทางกลับกัน สินค้าที่ส่งออกจากจีนไปยังสหรัฐฯ มีทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และของเล่น จำนวนมหาศาล รวมถึงแบตเตอรีจำนวนมาก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า
ทั้งนี้ ประเภทสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนมากที่สุดคือ โทรศัพท์มือถือ คิดเป็น 9% ของสินค้าทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนมากที่เป็นโทรศัพท์มือถือที่จีนผลิตให้กับ Apple บริษัทข้ามชาติสัญชาติสหรัฐฯ
การเพิ่มภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มูลค่าตลาดของ Apple ลดลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคาหุ้นร่วงลง 20% จากเดือนที่แล้ว
สัดส่วนของสินค้าแต่ละประเภทที่สหรัฐฯ ส่งออกไปยังจีน (ฝั่งซ้าย) และที่จีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ (ฝั่งขวา)
สินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนทั้งหมดนี้ ถูกประเมินว่ามีราคาแพงขึ้นสำหรับชาวอเมริกันอยู่แล้วจากอัตราภาษี 20% ที่รัฐบาลทรัมป์เรียกเก็บจากรัฐบาลจีนก่อนหน้านี้
หากอัตราภาษีนำเข้าถูกเพิ่มขึ้นอีกเป็น 100% สำหรับสินค้าทั้งหมด จะทำให้ส่งผลกระทบหนักกว่าเดิม 5 เท่าตัว
และสินค้าที่จีนนำเข้าจากสหรัฐฯ ก็จะแพงขึ้นเช่นกัน จากมาตรการตอบโต้ทางภาษีของจีน ซึ่งท้ายที่สุดก็จะทำร้ายผู้บริโภคชาวจีนในแบบเดียวกัน
แต่นอกจากมาตรการทางภาษีศุลกากรแล้ว ยังมีวิธีอื่น ๆ อีกที่สองประเทศนี้อาจนำมาใช้พยายามสร้างความเสียหายให้ฝ่ายตรงข้ามผ่านทางการค้า

จีนมีบทบาทหลักในการสกัดโลหะที่สำคัญหลายชนิดสำหรับใช้ในภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่ทองแดง ลิเธียม ไปจนถึงแร่หายาก
รัฐบาลจีนอาจสร้างอุปสรรคขวางไม่ให้โลหะเหล่านี้ส่งไปถึงสหรัฐฯ
นี่คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับกรณีของแร่ธาตุสองชนิดที่เรียกว่า เจอร์เมเนียม และแกลเลียม ซึ่งกองทัพสหรัฐฯ ใช้ในการถ่ายภาพความร้อนและจับเรดาร์
ขณะที่สหรัฐฯ อาจพยายามจำกัดการส่งเทคโนโลยีไปยังจีนให้เข้มข้นขึ้นอีก ซึ่งนี่เริ่มมาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ทำให้จีนนำเข้าไมโครชิปขั้นสูงได้ยากขึ้น ซึ่งไมโครชิปที่เป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ จีนยังผลิตเองไม่ได้
ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งระบุในสัปดาห์นี้ว่า สหรัฐฯ ยังสามารถกดดันประเทศอื่น ๆ อาทิ กัมพูชา เม็กซิโก และเวียดนาม ไม่ให้ค้าขายกับจีนได้อีก หากประเทศเหล่านี้ยังอยากจะส่งออกสินค้ามายังสหรัฐฯ
ทั้งหมดนี้อาจส่งผลกระทบกับประเทศอื่น ๆ อย่างไร ?
สหรัฐฯ และจีน เมื่อรวมกันแล้วมีส่วนแบ่งที่ใหญ่มากในเศรษฐกิจโลก คือราว ๆ 43% ในปีนี้ จากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
ถ้าหากพวกเขาทำสงครามการค้าอย่างเต็มรูปแบบแล้วทำให้การเติบโตช้าลง หรือทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ก็มีแนวโน้มที่มันจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่น ๆ ด้วย จากการที่เศรษฐกิจโลกเติบโตช้าลง
การลงทุนทั่วโลกก็น่าจะได้รับผลกระทบเช่นกัน และยังอาจมีผลกระทบอื่น ๆ ที่ตามมาได้
จีนเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก และผลิตสินค้าได้มากกว่าที่ประชากรในประเทศบริโภคเป็นปริมาณมาก
จีนมีสินค้าส่วนเกินอยู่แล้วเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 35 ล้านล้านบาท) หมายความว่าพวกเขาส่งออกสินค้าไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก มากกว่าที่จะนำเข้า
และจีนยังมักผลิตสินค้าเหล่านั้นได้ในราคาที่ถูกกว่าต้นทุนการผลิตที่แท้จริง ด้วยเงินอุดหนุนภายในประเทศและการสนับสนุนทางการเงินของรัฐ เช่น เงินกู้ราคาถูก สำหรับบริษัทที่ได้รับการสนับสนุน
เหล็ก คือตัวอย่างสินค้าหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนในลักษณะนี้
แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่ว่า หากสินค้าดังกล่าวไม่สามารถเข้าไปสู่สหรัฐฯ ได้ บริษัทจีนอาจหาทางขายสินค้าเหล่านี้ในประเทศอื่น ๆ
แม้ว่ามันอาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคบางส่วน แต่ก็อาจไปกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศต่าง ๆ รวมถึงการจ้างงานและอัตราค่าจ้างในประเทศนั้น ๆ ด้วย
กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านเหล็กในสหราชอาณาจักร ได้ออกมาเตือนถึงอันตรายของเหล็กส่วนเกินที่มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกเปลี่ยนตลาดมาขายยังสหราชอาณาจักร
ทั่วโลกจะรู้สึกได้ถึงผลกระทบทางอ้อมจากสงครามการค้าเต็มรูปแบบระหว่างจีนและสหรัฐฯ และนักเศรษฐศาสตร์ส่วนมากก็ประเมินว่ามันจะส่งผลในเชิงลบเป็นอย่างมาก
ที่มา BBC.co.uk