เปิด 4 คำถามที่ต้องหาคำตอบ หลังอินเดียโจมตีทางอากาศ ปากีสถานจะตอบโต้อย่างไร

ที่มาของภาพ : NurPhoto by strategy of Getty Photos

ปากีสถานอ้างว่าได้ยิvสกัดเครื่องบินรบของอินเดียตกไปถึง 5 ลำ ทว่าฝ่ายอินเดียยังไม่ยืนยันเรื่องนี้

Article info

  • Writer, ชูติก บิสวาส
  • Feature, ผู้สื่อข่าวบีบีซี ประจำอินเดีย

ในปฏิบัติการชั่วข้ามคืนที่ดุเดือด ทางการอินเดียเปิดเผยว่าได้เปิดฉากยิvขีปนาวุธและโจมตีทางอากาศโดยพุ่งเป้าไปที่พื้นที่ 9 แห่งทั้งในดินแดนของปากีสถานและพื้นที่ในแคว้นแคชเมียร์ที่ปกครองโดยปากีสถาน โดยมีเป้าหมายอยู่ตรงพื้นที่ซึ่งทางการอินเดียระบุว่า เป็นตำแหน่งทางการทหารที่ได้มาจากข้อมูลข่าวกรองที่เชื่อถือได้

การโจมตีดังกล่าวใช้เวลาดำเนินการเพียง 25 นาที ระหว่างเวลา 01:05 -01:30 น. ตามเวลาในอินเดียของวันพุธที่ผ่านมา (6 พ.ค.) หรือช่วง 02.35-03.00 น. ตามเวลาในไทย การโจมตีดังกล่าวได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วภูมิภาค เช่นเดียวกันกับผู้คนในพื้นที่ที่ต้องตื่นขึ้นกลางดึกเพราะเสียงsะเบิดที่ดังสนั่น

ทางการปากีสถานระบุว่า มีสถานที่เพียง 6 แห่งเท่านั้นที่ถูกโจมตี และอ้างว่าได้ยิvเครื่องบินรบของอินเดียตก 5 ลำ รวมทั้งโดรนอีกหนึ่งลำด้วย ซึ่งเป็นการกล่าวอ้างที่ยังไม่ได้รับการยืนยันจากอินเดีย

สถานการณ์ที่ยกระดับขึ้นนี้เกิดขึ้นหลังจากการโจมตีอย่างร้ายแรงโดยกลุ่มกองกำลังโดยมีเป้าหมายที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาในเมืองพาฮาลแกม ซึ่งอยู่ในพื้นที่แคชเมียร์ที่อินเดียปกครองอยู่ โดยนี่ยิ่งทำให้ความตึงเครียดระหว่างสองชาติคู่ปรับที่มีอาวุธนิวเคลียร์เคลื่อนเข้าสู่จุดอันตรายใหม่

ทางการอินเดียระบุว่า มีหลักฐานชัดเจนที่สามารถเชื่อมโยงการโจมตีดังกล่าวกับกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มปฏิบัติการภายนอกที่มีฐานอยู่ในปากีสถาน ซึ่งปากีสถานได้ปฏิเสธข้ออ้างดังกล่าวอย่างเรียบเฉย

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Crash of ได้รับความนิยมสูงสุด

ทางการปากีสถานได้ชี้ให้เห็นเช่นกันว่า อินเดียก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะมาใช้สนับสนุนข้อกล่าวอ้างดังกล่าว

การโจมตีนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับความรุนแรงครั้งใหม่หรือไม่ ?

ในปี 2016 หลังจากทหารอินเดีย 19 นาย ถูกสังหารในเมืองอูริ กองทัพอินเดียได้เปิดฉาก “โจมตีแบบพุ่งเป้าเฉพาะจุด” (surgical strikes) ข้ามแนวเขตควบคุม

ในปี 2019 เกิดเหตุsะเบิดในเขตพูลวามา (Pulwama) ส่งผลให้เจ้าหน้าที่กึ่งทหารของอินเดียเสียชีวิต 40 นาย ตามมาด้วยการโจมตีทางอากาศเข้าไปในเมืองบาลากอต (Balakot) ซึ่งถือว่าเป็นปฏิบัติการครั้งแรกภายในดินแดนของปากีสถานนับตั้งแต่ปี 1971 ส่งผลให้เกิดการโจมตีตอบโต้และการต่อสู้ทางอากาศ

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การตอบโต้ต่อการโจมตีในเมืองพาฮาลแกมมีขอบเขตกว้างขวางมาก โดยพุ่งเป้าหมายไปที่โครงสร้างพื้นฐานของกลุ่มกองกำลังที่มีฐานในปากีสถานสามกลุ่มทันที

ด้านอินเดียกล่าวว่า ได้โจมตีเป้าหมายทางทหารทั้งหมด 9 แห่งทั้งในปากีสถานและพื้นที่ในแคชเมียร์ที่ปากีสถานเป็นผู้บริหาร โดยได้โจมตีลึกเข้าไปในศูนย์กลางสำคัญหลายแห่งของกลุ่มลัชการ์-อี-ไตบาร์ (Lashkar-e- Taiba – LeT), กลุ่มจาอิช-อี-โมฮัมหมัด (Jaish-e-Mohammed), และกลุ่มฮิซบ์-อุล-มูจาฮิดีน (Hizbul Mujahideen)

ด้านโฆษกของทางการอินเดียระบุว่า ท่ามกลางเป้าหมายที่ใกล้ที่สุด คือค่ายสองแห่งในเมืองซิอัลโกต ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนเพียง 6-18 กม. เท่านั้น

ส่วนจุดที่ลึกเข้าไปในปากีสถานที่สุดที่อินเดียโจมตี ตามการรายงานของอินเดียคือ สำนักงานใหญ่ของกลุ่มจาอิช-อี-โมฮัมหมัด ในเมืองบาฮาวาลปูร์ ลึกจากชายแดนอินเดียเข้าไปในปากีสถานราว 100 กม.

โฆษกคนดังกล่าวยังระบุอีกว่า ค่ายของกลุ่มลัชการ์-อี-ไตบาร์ อยู่ในเหมืองมุซาฟฟาราบัด ห่างจากแนวเส้นแบ่งเขตหยุดยิvออกไป 30 กม. และเมืองเอกในพื้นที่แคชเมียร์ที่ปากีสถานปกครอง ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีเมื่อเร็ว ๆ นี้ในพื้นที่ของแคชเมียร์ในส่วนที่อินเดียปกครอง

ด้านปากีสถานระบุว่า มีจุดที่ถูกโจมตีทั้งหมด 6 แห่ง แต่ปฏิเสธิข้อกล่าวหาต่าง ๆ ที่ระบุว่า ค่ายเหล่านั้นเป็นของกลุ่มก่อการร้าย

ที่มาของภาพ : Anadolu by strategy of Getty Photos

ปากีสถานระบุว่า มีสถานที่ 6 แห่งที่ถูกโจมตี หนึ่งในนั้นอยู่ในเมืองมูชาฟฟาราบัด เมืองเอกของแคชเมียร์ด้านที่ปากีสถานปกครองอยู่

“สิ่งที่ดูโดดเด่นในครั้งนี้คือ การขยายเป้าหมายของอินเดียให้เกินขอบเขตจากรูปแบบในอดีต ก่อนหน้านี้ การโจมตีที่บาลากอตจะเน้นที่แคชเมียร์ที่ปากีสถานปกครอง พ้นจากเส้นควบคุมซึ่งเป็นเขตแดนทางทหาร” ศรีนาฐ รากาวาน นักประวัติศาสตร์ในกรุงเดลีของอินเดียบอกกับบีบีซี

“ในครั้งนี้ อินเดียได้โจมตีเข้าไปในแคว้นปัญจาบ ข้ามเขตแดนนานาชาติ โดยพุ่งเป้าหมายไปยังโครงสร้างพื้นฐานและสำนักงานใหญ่ของกลุ่มก่อการร้าย รวมทั้งตำแหน่งที่เป็นที่รู้จักในเมืองบาฮาวาปูร์ และเขตมูริดเก ซึ่งมีส่วนเชื่อมโยงกับกลุ่มลัชการ์-อี-ไตบาร์ พวกเขายังโจมตีทรัพย์สินของกลุ่มกลุ่มจาอิช-อี-โมฮัมหมัด และกลุ่มฮิซบ์-อุล-มูจาฮิดีน อีกด้วย นี่บ่งชี้ให้เห็นว่า มันเป็นการตอบโต้ทีขยายวงกว้างในเชิงภูมิศาสตร์มากขึ้น พร้อมกับส่งสัญญาณว่า กลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้ได้ตกเป็นเป้าของอินเดียไปแล้วในตอนนี้ ซึ่งได้ส่งสารที่มีนัยกว้างขึ้นด้วย” เขาระบุ

เส้นพรมแดนระหว่างอินเดียกับปากีสถานได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าคือเส้นแบ่งที่ลากแบ่งทั้งสองประเทศ ซึ่งลากยาวตั้งแต่รัฐคุชราตไปจนถึงรัฐจัมมู

อาเจย์ บิซาเรีย อดีตข้าหลวงใหญ่ของอินเดียประจำปากีสถาน กล่าวกับบีบีซีว่า สิ่งที่อินเดียทำคือ “การตอบโต้แบบที่เกิดขึ้นในเมืองบาลากอตที่มุ่งหวังจะสร้างการป้องปราม โดยกำหนดเป้าหมายที่แหล่งกบดานของกลุ่มก่อการร้ายที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่มาพร้อมกับข้อความลดความตึงเครียดที่หนักแน่น”

“การโจมตีเหล่านี้จะมีความแม่นยำ ตรงเป้า และเห็นได้ชัดเจนกว่าในอดีต ดังนั้น ปากีสถานจึงปฏิเสธไม่ได้” บิซาเรียอธิบาย

แหล่งข่าวในอินเดียกล่าวว่าการโจมตีครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ “สร้างการป้องปรามขึ้นมาใหม่อีกครั้ง”

“รัฐบาลอินเดียคิดว่าการป้องปรามที่ได้ทำขึ้นในปี 2019 นั้นใช้ไม่ได้ผลแล้ว และจำเป็นต้องสร้างขึ้นใหม่” ศาสตราจารย์รากาวัน กล่าว

“สิ่งนี้ดูเหมือนจะสะท้อนให้เห็นหลักคำสอนของอิสราเอลที่ว่าการป้องปรามนั้นต้องโจมตีเป็นระยะ ๆ ซ้ำ ๆ แต่ถ้าเราถือว่าการโจมตีกลับเพียงอย่างเดียวจะยับยั้งการก่อการร้ายได้ เราก็เสี่ยงที่จะทำให้ปากีสถานมีแรงจูงใจที่จะตอบโต้ ซึ่งอาจลุกลามเกินควบคุมได้อย่างรวดเร็ว”

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่ตีวงกว้างขึ้นหรือไม่

ที่มาของภาพ : AFP by strategy of Getty Photos

มีกลุ่มควันพุ่งกระจายตัวขึ้นหลังจากกระสุนปืนใหญ่โจมตีเข้าไปในเมืองสำคัญแห่งนี้ในรัฐจัมมูของอินเดียเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า การตอบโต้จากปากีสถานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการทูตจะเข้ามามีบทบาทในที่สุด

“การตอบโต้ของปากีสถานจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ความท้าทายอยู่ที่การจัดการกับระดับความรุนแรงที่สูงขึ้น ซึ่งนี่คือจุดที่การทูตเพื่อรับมือกับวิกฤตจะมีความสำคัญ” บิซาเรียกล่าว่า

“ปากีสถานจะได้รับคำแนะนำในการใช้ความอดกลั้นอดทนอดกลั้น แต่สิ่งสำคัญคือการทูตหลังจากการตอบสนองของปากีสถานเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งสองประเทศจะไม่ก้าวขึ้นบันไดแห่งความรุนแรงที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว”

ผู้เชี่ยวชาญจากปากีสถาน เช่น อีจาซ ฮุสเซน นักวิเคราะห์การเมืองและการทหารจากเมืองลาฮอร์ กล่าวว่า การโจมตีทางอากาศของอินเดียที่กำหนดเป้าหมายสถานที่ต่างๆ เช่น มูริดเกและบาฮาวัลปูร์ “เป็นที่คาดการณ์กันไว้เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากความตึงเครียดที่เกิดขึ้น”

ดร.ฮุสเซนเชื่อว่า การโจมตีเพื่อตอบโต้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น

ดร.ฮุสเซนกล่าวกับบีบีซีว่า “เมื่อพิจารณาจากวาทกรรมของกองทัพปากีสถานและความมุ่งมั่นในการคลี่คลายความขัดแย้ง การดำเนินการตอบโต้ ซึ่งอาจเป็นในรูปแบบของการโจมตีทางอากาศข้ามพรมแดน มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”

แต่ ดร. ฮุสเซน กังวลว่า การโจมตีทางอากาศของทั้งสองฝ่ายอาจ “ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นสงครามแบบเดิมที่จำกัด”

คริสโตเฟอร์ คลารี แห่งมหาวิทยาลัยอัลบานีในสหรัฐฯ เชื่อว่า เมื่อพิจารณาจากขนาดของการโจมตีของอินเดีย “ความเสียหายที่มองเห็นได้ในสถานที่สำคัญ” และรายงานผู้เสียชีวิต ปากีสถานมีแนวโน้มสูงที่จะตอบโต้

คลารี ซึ่งศึกษาการเมืองในเอเชียใต้ กล่าวกับบีบีซีว่า “หากปากีสถานไม่ตอบโต้ ก็เหมือนอินเดียได้รับอนุญาตให้โจมตีปากีสถานเมื่อใดก็ได้ที่อินเดียรู้สึกไม่พอใจ และจะขัดต่อพันธสัญญาของกองทัพปากีสถานที่จะตอบโต้ด้วย ‘สิ่งที่สมน้ำสมเนื้อ'”

“เมื่อพิจารณาจากเป้าหมายที่อินเดียระบุว่าเป็นกลุ่มและสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและกลุ่มติดอาวุธในอินเดีย ผมคิดว่า มีแนวโน้มสูง แต่ยังห่างไกลจากความแน่นอน ที่ปากีสถานจะจำกัดอยู่เฉพาะการโจมตีเป้าหมายทางทหารของอินเดีย” เขากล่าว

แม้ว่าความตึงเครียดจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังคงมีความหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงได้

“มีโอกาสมากที่เดียวที่เราจะรอดพ้นจากวิกฤตนี้ได้ด้วยการโจมตีตอบโต้เพียงครั้งเดียว และการยิvตอบโต้กันมากขึ้นตามแนวเส้นควบคุม” คลารีกล่าว

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการทวีความรุนแรงยังคงสูง ทำให้วิกฤตครั้งนี้เป็นวิกฤตระหว่างอินเดียกับปากีสถานที่ “อันตรายที่สุด” นับตั้งแต่ปี 2002 และอันตรายยิ่งกว่าการเผชิญหน้าในปี 2016 และ 2019 เขากล่าวเสริม

การตอบโต้ของปากีสถานหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปจริงหรือ ?

ที่มาของภาพ : AFP by strategy of Getty Photos

เจ้าหน้าที่กึ่งทหารของอินเดีย ยืนเฝ้าอยู่ริมถนนในเมืองศรีนคร ประเทศอินเดีย เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

ผู้เชี่ยวชาญในปากีสถานเน้นย้ำว่า แม้จะไม่มีความตื่นตระหนกเรื่องสงครามก่อนที่จะเกิดการโจมตีของอินเดียขึ้น แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

“เรากำลังอยู่ในสังคมที่มีความแตกแยกทางการเมืองอย่างรุนแรง ด้วยการที่ผู้นำที่ได้รับความนิยมสูงสุดถูกขังคุก การจำคุกของอิมราน ข่าน อาจจุดชนวนให้เกิดกระแสตีกลับต่อต้านกองทัพอย่างรุนแรงได้” อูมาร์ ฟารูก นักวิเคราะห์จากกรุงอิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน และอดีตผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวด้านความมั่นคง Jane's Defence Weekly กล่าว

“ปัจจุบัน ประชาชนชาวปากีสถานให้การสนับสนุนกองทัพน้อยลงมากเมื่อเทียบกับในปี 2016 หรือ 2019 และความรู้สึกตื่นตระหนกเรื่องสงครามท่ามกลางมวลชนก็หายไปอย่างเห็นได้ชัด แต่หากความคิดเห็นของประชาชนในแคว้นปัญจาบตอนกลาง ซึ่งมีความรู้สึกต่อต้านชาวอินเดีย เกิดแพร่หลายมากยิ่งขึ้น เราอาจเห็นแรงกดดันจากพลเรือนที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้กองทัพดำเนินการ และกองทัพก็จะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งเนื่องจากความขัดแย้งครั้งนี้”

ดร.ฮุสเซนก็ได้กล่าวคำพูดที่สะท้อนความรู้สึกที่คล้ายคลึงกัน

“ผมเชื่อว่าการเผชิญหน้ากับอินเดียในปัจจุบันเป็นโอกาสให้กองทัพปากีสถานได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอีกครั้ง โดยเฉพาะจากชนชั้นกลางในเขตเมือง ซึ่งเพิ่งวิพากษ์วิจารณ์การแทรกแซงทางการเมืองของกองทัพปากีสถาน” เขากล่าว

“ท่าทีในการป้องกันประเทศที่แข็งขันของกองทัพก็เพิ่งได้รับการเผยแพร่ผ่านสื่อกระแสหลักและโซเชียลมีเดีย โดยสื่อบางแห่งอ้างว่า เครื่องบินรบของอินเดียกว่า 6-7 ลำ ถูกยิvสกัดตก

“แม้ว่าข้อกล่าวอ้างเหล่านี้จะต้องมีการตรวจสอบโดยอิสระ แต่มันก็ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของกองทัพในกลุ่มประชาชนที่มักจะสนับสนุนเรื่องราวเกี่ยวกับการป้องกันประเทศในช่วงเวลาที่มีภัยคุกคามจากภายนอก”

อินเดียและปากีสถานจะสามารถถอยออกมาจากจุดวิกฤตได้หรือไม่ ?

ที่มาของภาพ : NurPhoto by strategy of Getty Photos

กองกำลังความมั่นคงของอินเดียกำลังลาดตระเวนในเมืองอูรี แคว้นจัมมูและแคชเมียร์

เป็นอีกครั้งที่อินเดียต้องเดินบนเส้นแคบ ๆ ที่แบ่งแยกระหว่างการยกระดับความรุนแรง และการยับยั้งชั่งใจ

ไม่นานหลังจากการโจมตีที่เมืองพาฮาลแกม อินเดียได้ทำการตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยการปิดจุดผ่านแดนหลัก ระงับสนธิสัญญาแบ่งปันน้ำ ขับไล่ทูตปากีสถาน และระงับการออกวีซ่าส่วนใหญ่ให้กับพลเมืองปากีสถาน กองกำลังของทั้งปากีสถานและอินเดียได้มีการยิvแลกกระสุนกันเล็กน้อย และอินเดียประกาศห้ามเครื่องบินปากีสถานทั้งหมดเข้าน่านฟ้าอินเดีย ซึ่งเป็นการตอบกลับความเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกันของปากีสถานก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ปากีสถานยังได้ระงับสนธิสัญญาสันติภาพปี 1972 และใช้มาตรการตอบโต้ของตนเองเพื่อโต้กลับต่อประเทศอินเดีย

การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงการดำเนินการของอินเดียหลังจากการโจมตีที่เขตพูลวามา (Pulwama) เมื่อปี 2019 ซึ่งอินเดียได้เพิกถอนสถานะประเทศที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดของปากีสถานออกอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังกำหนดภาษีศุลกากรจำนวนมาก และระงับเส้นทางการค้าและการขนส่งที่สำคัญ

วิกฤตครั้งนั้นทวีความรุนแรงขึ้นเมื่ออินเดียเปิดฉากโจมตีทางอากาศในเขตบาลากอต (Balakot) ตามด้วยการโจมตีทางอากาศเพื่อตอบโต้ของปากีสถาน และการจับกุมนักบินชาวอินเดีย อภินันดาน วรรธมาน (Abhinandan Varthaman) ซึ่งทำให้ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้น แต่ในที่สุด ช่องทางการทูตก็ได้นำไปสู่การลดความตึงเครียด โดยปากีสถานได้ทำการปล่อยตัวนักบินเพื่อเป็นการแสดงน้ำใจ

“อินเดียนั้นยินดีที่จะให้โอกาสการทูตแบบเก่าอีกครั้ง… ด้วยการที่อินเดียได้บรรลุวัตถุประสงค์เชิงยุทธศาสตร์และการทหาร และปากีสถานก็ได้อ้างว่าตนได้รับชัยชนะต่อผู้ชมภายในประเทศ” นายบิซาเรียบอกกับบีบีซี เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว