แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/rkgq | ดู : 10 ครั้ง
เรื่อง:-พัชญ์สิตา-รุ่งโรจน์ธนกุล-ภาพปก:-กิตติยา-อรอินทร์-สอง

เรื่อง: พัชญ์สิตา รุ่งโรจน์ธนกุล

ภาพปก: กิตติยา อรอินทร์

สองวันก่อนที่การประชุมสุดยอดอาเซียน (อาเซียนซัมมิท) ครั้งที่ 46 จะเริ่มขึ้น องค์กรภาคประชาชนในหมู่ประเทศสมาชิกอาเซียนจัดเวทีประชุมคู่ขนาน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นเจ้าภาพในปีนี้

มีการประดับป้ายสัญลักษณ์การประชุมอาเซียนไว้บริเวณเกาะกลางถนน มองจากตรงนี้ เห็นหอคอยกัวลาลัมเปอร์อยู่ด้านหลัง

(ถ่ายเมื่อ 23 พ.ค. 2568)

เวทีภาคประชาชนอาเซียนจัดขึ้นในย่านกลางเมืองเช่นเดียวกับเวทีของผู้นำ การประชุมนี้ถือว่ายังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในหมู่คนไทย แต่ก็มีความสำคัญและมีหลายประเด็นให้จับตามอง

ในปีนี้เวทีภาคประชาชนใช้ชื่อว่า “ASEANPeople@ASEAN2025” โดยมีผู้เข้าร่วมจากภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรระดับชุมชน จาก 11 ประเทศ (รวมติมอร์-เลสเต)

ส่วนประเด็นเรื่องทุนของการจัดงานในปีนี้มาจากสหภาพยุโรปเพียงแหล่งเดียว จึงเป็นเรื่องน่าตลกที่การพูดคุยเรื่องในภูมิภาคต้องได้รับการสนับสนุนจากองค์กรนอกภูมิภาค

การประชุมอาเซียนภาคประชาชนได้รับการริเริ่มเป็นครั้งแรกเมื่อ สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะมีข้อครหาว่าเวทีความร่วมมืออาเซียนเป็นเวทีความร่วมมือของรัฐบาลเท่านั้น ในช่วงแรกเริ่มเป็นการประชุมกันระหว่างนักวิชาการและภาคประชาชน

ต่อมาในปี 2548 ในปีที่มาเลเซียเป็นประธานอาเซียน ได้มีการจัดตั้งเวทีภาคประชาชนอาเซียนที่ภาคประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น โดยปกติในการประชุมทุกปี แต่ละชาติจะส่งตัวแทนภาคประชาชนไปกล่าวแถลงการณ์กับผู้นำชาติสมาชิกอาเซียนหรือที่เรียกว่า Interface Meeting การพบปะของภาคประชาสังคมกับผู้นำรัฐครั้งสุดท้ายที่มีการทำเป็นกิจจะลักษณะมีขึ้นในปี 2558 ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ

ในปีนี้วาระที่ถูกจับตามากเป็นพิเศษก็หนีไม่พ้นเรื่องสันติภาพพม่า คำถามหลักๆ ถูกนำมาพูดคุยกัน อย่างเช่น มาเลเซียที่มีเวลา 1 ปีในฐานะประธานอาเซียนควรจะทำอะไรบ้าง, ประเทศไทยที่เป็นประเทศหน้าด่านควรมีนโยบายต่างประเทศและนโยบายภายในอย่างไร

ผู้สื่อข่าวประชาไทมีโอกาสเข้าร่วมสังเกตการณ์ในทั้งสองวันของการประชุม โดยได้สรุปประเด็นที่น่าสนใจสำหรับผู้อ่านชาวไทยมาไว้ด้านล่าง

ภาคประชาชนจากประเทศอาเซียนยืนคล้องแขนถ่ายภาพร่วมกันในพิธีเปิดการประชุมอาเซียนภาคประชาชน

(ถ่ายเมื่อ 24 พ.ค. 2568)

ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า อยากมาแต่มาไม่ได้ ติดเรื่องวีซ่า

การกดปราบทางการเมืองและสิทธิผู้ลี้ภัยในภูมิภาคอาเซียนเป็นปัญหามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เวทีของภาคประชาชนจึงเป็นเหมือนกับพื้นที่แห่งเสรีภาพที่เพิ่มขึ้นมานิดหนึ่ง และยิ่งมีความหมายต่อผู้คนสัญชาติพม่าที่หลบลี้หนีภัยไม่ว่าจะเป็นเอ็นจีโอ, ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร และตัวแทนจากกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ (EAOs) จากที่พม่าเผชิญแผ่นดินไหวใหญ่ ซ้ำเติมประเทศที่บอบช้ำอยู่แล้วจากสงครามกลางเมืองให้ยิ่งเสียหายสาหัส

อย่างไรก็ดี อุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ชาวพม่าจำนวนหนึ่งไม่สามารถมาเข้าร่วมงานได้ คือปัญหาเรื่องวีซ่าและเอกสาร รวมถึงความเสี่ยงในการถูกจับกุม

ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ประธานมูลนิธิศักยภาพชุมชน ให้ข้อมูลกับประชาไทในประเด็นนี้ โดยยกตัวอย่างกรณีของ สตีเฟน* (นามสมมติ) นักเคลื่อนไหวพม่าคนหนึ่งที่มีบทบาทเรียกร้องประชาธิปไตยในปี 1988 เดิมทีเขาคนนี้ตั้งใจจะมาร่วมงานด้วย มีจดหมายรับรองจากผู้จัดงาน แต่เขากลับมาไม่ได้เพราะติดปัญหาเรื่องวีซ่า แต่กรณีนี้มีลักษณะเฉพาะ เนื่องจากสตีเฟนถือเอกสารการเดินทางของประเทศหนึ่งในยุโรป ซึ่งเอกสารนี้ไม่ได้มีสถานะเทียบเท่ากับพาสปอร์ต นี่อาจเป็นเหตุให้เกิดความติดขัดก็ได้

ณ ร้านกาแฟแห่งหนึ่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ผู้สื่อข่าวประชาไทมีโอกาสพูดคุยกับ ซู* (นามสมมติ) ชาวพม่าที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อมาร่วมงานนี้จนได้ นี่ถือเป็นการบินออกนอกประเทศไทยครั้งแรกของซู ผู้เป็นนักเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง

ในระหว่างการประชุม ซูจะนั่งฟังอยู่หลังห้อง หลีกเลี่ยงการถูกถ่ายภาพ และแทบไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ

“สำหรับผม นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อต้าน” เขาตอบ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามันคุ้มเสี่ยงแล้วหรือไม่

ซูหนีมาอาศัยในจังหวัดชายแดนของไทยตั้งแต่เกิดรัฐประหารปี 2564 ส่วนครอบครัวและลูกๆ ย้ายไปสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ ตัวเขาปฏิเสธที่จะไปสหรัฐฯ เพราะยังอยากต่อสู้อยู่ใกล้บ้านเกิด แม้สันติภาพจะยังคงไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน

ก่อนการประชุมอาเซียนจะเริ่มขึ้น สถานเอกอัครราชทูตพม่า ณ กรุงเทพฯ ออกประกาศเตือนชาวพม่าที่อาศัยอยู่ในไทยเรื่องการปลอมแปลงพาสปอร์ต (อ่านคำแปลอย่างไม่เป็นทางการได้ที่ World Recent Gentle of Myanmar ซึ่งเป็นสื่อของรัฐ)

แตกต่างจากซู ผู้สื่อข่าวยังได้พบชาวพม่าอีกกลุ่มหนึ่งที่มีวีซ่าและเอกสารการเดินทางอย่างถูกต้อง บางคนได้สถานะผู้ลี้ภัยจากประเทศตะวันตกและได้เปลี่ยนไปถือพาสปอร์ตประเทศนั้นแล้ว ทว่ายังคงมีความกลัวที่จะถูกจับกุมอยู่ลึกๆ ในใจ

ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ (ถ่ายเมื่อ 25 พ.ค. 2568)

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

  • เปิดใจ ‘นักศึกษาพม่า’ ในไทย ธุรกิจการศึกษาบูม หลังพม่าบังคับเกณฑ์ทหาร

เสนอใช้ไทยเป็นที่กลางพูดคุย จะได้เจอชาติพันธุ์ด้วย

เราเดินทางมาถึงกรุงกัวลาลัมเปอร์หนึ่งวันก่อนการประชุมอาเซียนภาคประชาชนจะเริ่มขึ้น จึงได้ทราบว่า ภาคประชาชนอาเซียนจัดวงสนทนาเล็กๆ โดยมีการคุยทางออนไลน์กับ โอทมาน ฮาซิม (Othman Hashim) ผู้แทนพิเศษอาเซียนด้านกิจการพม่า (Asean Chair Particular Envoy for Myanmar) และ โจฮัน อาริฟฟ์ (Johan Ariff) อุปทูตมาเลเซียประจำพม่า (Chargé d'Affaires of Malaysia to Myanmar)

ในระหว่างการพูดคุย ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ประธานมูลนิธิศักยภาพชุมชน เสนอว่าจากอุปสรรคใหญ่สุดที่ทำให้คนสัญชาติพม่าเดินทางมายังมาเลเซียไม่ได้คือเรื่องเอกสารการเดินทาง จึงอยากให้มาเลเซียส่งทูตพิเศษมาพูดคุยเรื่องสันติภาพพม่าโดยใช้ประเทศไทยเป็นพื้นที่กลางในการสนทนา เพื่อให้ตัวแทนของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ สามารถเข้ามาร่วมด้วยได้

“Envoy รับปากแล้ว เขาบอกว่าเราจะต้องทำงานด้วยกันนะ แล้วจะติดต่อไป เขาก็ให้นามบัตรให้อะไรเรามาหมดแล้ว เราก็ให้นามบัตรเขาไปแล้ว” ชลิดากล่าวยืนยันกับประชาไท

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตำแหน่งประธานอาเซียนมีวาระเพียง 1 ปี โดยจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนสลับกันไปเรื่อยๆ ในหมู่ผู้นำของประเทศสมาชิก สิ่งนี้เป็นจุดอ่อนที่ทำให้อาเซียนขาดความต่อเนื่องในการทำงาน

ชลิดาเสนอให้อาเซียนภาคประชาชนมีกลไกการส่งต่องานที่เรียกว่า “ทรอยก้า” (Troika) ไว้ประสานงานกัน 3 ฝ่าย คือ ประธานอาเซียนปีที่แล้ว ประธานปีนี้ และประธานปีต่อไป เพื่อให้มีความต่อเนื่องของการทำงาน ในประเด็นสันติภาพพม่า ประเทศไทยที่มีพรมแดนติดกันและได้รับผลกระทบหนักควรทำงานร่วมกับทรอยก้าด้วย ไม่ว่าประธานอาเซียนในปีนั้นๆ จะเวียนไปที่ประเทศใด

ทางด้านหญิงหลาว (Ying Lao) ผู้อำนวยการสถาบันสาละวินเพื่อนโยบายสาธารณะ (Salween Institute for Public Policy) กล่าววิจารณ์ในเรื่องความต่อเนื่องในการทำงานของอาเซียนเช่นกัน แต่ก็ชื่นชมพัฒนาการของอาเซียนในช่วงหลังรัฐประหารพม่าปี 2564 ด้วย จากการที่อาเซียนเข้ามามีส่วนร่วมกับตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐมากขึ้น

ชลิดาเปิดเผยว่าหลังจากเสร็จสิ้นการประชุม ภาคประชาชนจะมีการยื่นข้อเสนอแนะทางนโยบายเรื่องสันติภาพพม่า (Advisory paper) ให้กับตัวแทนของรัฐบาลมาเลเซียต่อไป

ขณะที่หญิงหลาวกล่าวว่า เมื่อเราพูดถึงนโยบายของประเทศไทยต่อวิกฤตพม่า เรามักจะโฟกัสไปที่นโยบายต่างประเทศ แต่จริงๆ แล้วมันควรจะต้องรวมไปถึงนโยบายภายในของไทยด้วย เธอเสนอให้มีการตั้ง “คณะทำงานระหว่างกระทรวง” (Inter-Ministrial Activity Force) ขึ้นมาเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างบูรณาการมากขึ้น

ภาคประชาชนอาเซียนจัดวงสนทนาเล็กๆ โดยมีการคุยทางออนไลน์กับ โอทมาน ฮาซิม (Othman Hashim) ผู้แทนพิเศษอาเซียนด้านกิจการพม่า (Asean Chair Particular Envoy for Myanmar) และ โจฮัน อาริฟฟ์ (Johan Ariff) อุปทูตมาเลเซียประจำพม่า (Chargé d'Affaires of Malaysia to Myanmar)

(ถ่ายเมื่อ 23 พ.ค. 2568)

เลือกตั้งพม่าไม่เพียงพอแก้วิกฤต แนะคุยข้อเสนอสหพันธรัฐ

หญิงหลาวมองการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นปลายปีนี้ว่าคล้ายๆ กับ “สนามแห่งการบงการ” (Arena of Manipulation) เพราะว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ เอื้อประโยชน์ให้กับพรรคที่สนับสนุนทหารพม่า แต่นั่นไม่ได้แปลว่าพม่าไม่ควรมีการเลือกตั้ง เธอต้องการจะสื่อว่าแค่การเลือกตั้งอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะพาพม่าออกจากวิกฤตการเมืองได้ เราต้องยอมรับก่อนว่าต้นตอของปัญหาคือความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ ฉะนั้นการจะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นได้ หัวข้อของการพูดคุยต้องไปให้ไกลกว่าแค่เรื่องการหยุดยิv แต่ต้องรวมถึงการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ

หญิงหลาวกล่าวอีกว่า ในเรื่องกระบวนการสร้างสันติภาพพม่าว่า พวกเราเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะว่าตลอดประวัติศาสตร์ ชาวพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์เคยผ่านกระบวนการนี้มาแล้ว 5 ครั้งหลักๆ แต่มันก็ล้มเหลวทุกครั้งด้วยเหตุผลหลัก 4 ประการ คือ

  1. ไม่มีการประนีประนอมทางการเมืองอย่างแท้จริง ที่ผ่านๆ มารัฐบาลยื่นข้อเสนอปลดอาวุธและโอกาสทางธุรกิจ แต่ไม่ได้ยอมรับข้อเสนอการปกครองตนเอง หรือการปฏิรูประดับสหพันธรัฐ
  2. แนวทางการทหารนำ เน้นชักจูงด้วยการบังคับมากกว่าให้การรับรอง
  3. ยุทธศาสตร์แบ่งแยกและปกครอง การหยุดยิvแบบเลือกปฏิบัติสร้างความไม่ไว้วางใจและความแตกแยก
  4. การบงการจากภายนอก โดยเฉพาะบทบาทของจีนในการจุดชนวนและเป็นตัวกลางในความขัดแย้ง

หญิงหลาว (ถ่ายเมื่อ 25 พ.ค. 2568)

ความช่วยเหลือแผ่นดินไหว ขอหยุดส่งให้ทหาร-แนะส่งให้ ประชาชนดีกว่า

ชาวพม่าคนหนึ่งที่ลี้ภัยในมาเลเซีย กล่าวถึงข้อเสนอเรื่องการส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเหตุแผ่นดินไหวพม่าว่า ขอให้หยุดการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) เนื่องจากความช่วยเหลือดังกล่าวอาจถูกนำไปสนับสนุนการปฏิบัติการของกองทัพโดยอ้อม นอกจากนี้ บริบทของสงครามกลางเมืองยังทำให้รัฐบาลทหารกระจายความช่วยเหลือไปได้ไม่ทั่วถึง

เขาต้องการให้ชาติอาเซียนรับรู้เกี่ยวกับผู้เดือดร้อนในพม่าที่แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ หนึ่ง ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางอาวุธและความรุนแรงทางการเมือง ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ สอง คือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ซึ่งแต่ละกลุ่มต้องการความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมที่แตกต่างกัน

เขากล่าวว่าปัจจุบันรูปแบบความช่วยเหลือที่เชื่อถือได้และพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิผลมากที่สุดคือการส่งผ่านเครือข่ายประชาชนด้วยกันเอง จึงเรียกร้องให้ชาติอาเซียนนำ “กลไกคู่ขนาน” มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งมอบความช่วยเหลือให้แก่องค์กรต่อต้านรัฐบาลทหารของกลุ่มชาติพันธุ์ (ERO), รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) และภาคประชาสังคม โดยเฉพาะในพื้นที่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาลทหาร

อันวาร์ชมทักษิณ ช่วยหาทางออกวิกฤตพม่า

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย (Anwar Bin Ibrahim) กล่าวเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 โดยช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวถึง คณะที่ปรึกษาของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งมีทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ ท่ามกลางสื่อมวลชนทั้งในอาเซียนและประเทศอื่นๆ จำนวนมาก ว่ามีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาหาทางออกวิกฤตเมียนมาให้ก้าวหน้าขึ้น ขณะเดียวกันก็เชิญชวนผู้นำอาเซียนและภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมประชาคมอาเซียนให้มีความเข้มแข็ง ด้วยการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและยั่งยืน “Inclusivity and Sustainability”

จิรายุกล่าวต่อไปว่า ในการเปิดประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 นี้ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวแสดงความเชื่อมั่นต่อ ประชาคมอาเซียน โดยยังคงมีมุมมองต่ออนาคตอาเซียนในเชิงบวก โดยเชื่อมั่นว่าจะสามารถฝ่าฟันช่วงการเปลี่ยนผ่านทางภูมิรัฐศาสตร์ และการค้าโลกที่ตกอยู่ภายใต้การกดดันจากการขึ้นภาษีระดับสูงของสหรัฐฯ โดยได้จัดตั้งคณะทำงาน ASEAN Geo-economics Activity Force เพื่อหาแนวทางในกรณีภาษีสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียประธานอาเซียน ได้กล่าวชื่นชมและขอบคุณ คณะที่ปรึกษาประธานอาเซียนที่มีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งการประชุมในครั้งที่ 3 ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ มีส่วนสำคัญในการผลักดันการแก้ไขวิกฤตการณ์ในเมียนมา ด้วย แม้จะเป็นก้าวๆ เล็กที่ยังคงมีความเปราะบาง แต่ก็เป็นความพยายามของอาเซียน ในการขับเคลื่อนการแก้วิกฤตเมียนมา นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังคงเชื่อมั่นว่า ด้วยความเป็นปึกแผ่นและความเป็นแกนกลางของอาเซียน จะทำให้อาเซียนสามารถเผชิญต่อความท้าทายและความไม่แน่นอนต่างๆ  ได้ ทั้งนี้ ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ มาเลเซียยังได้ริเริ่มให้มีการจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน-คณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ-จีน (ASEAN-GCC-China Summit ) ขึ้นเป็นครั้งแรก  ซึ่งการประชุมสุดยอดสามฝ่ายในครั้งนี้ เป็นเสมือนสัญลักษณ์ความเป็นหุ้นส่วนที่หลากหลายของโลกที่มีหลากหลายขั้วอำนาจในวันนี้ โดยเชื่อว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกในวงกว้างต่อไป

ช่วงวันที่ 26-27 พ.ค. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 โดยนายกฯ พร้อมผู้นำอาเซียน ร่วมพิธีลงนาม “ปฏิญญากรุงกัวลาลัมเปอร์ว่าด้วยอาเซียน 2045: วางอนาคตร่วมกันของเรา” รับรองร่างวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045

ป้ายงานประชุมอาเซียนปี 2025 หน้าตึกเปโตรนาสทาวเวอร์ ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์

(ถ่ายเมื่อ 23 พ.ค. 2568)

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

  • เริ่มแล้วประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งที่ 46 ที่กัวลาลัมเปอร์

ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )

ผู้เรียบเรียง

ให้คะแนนความพอใจของคุณ :

0 / 5 คะแนน 0

คุณให้คะแนน:

แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/rkgq | ดู : 10 ครั้ง
    • No recent comments available.

    ใส่ความเห็น

    อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *


    Share via
    Click to Hide Advanced Floating Content
    Send this to a friend