เหตุใดจึงเกิดความลังเลใจในการฉีดวัคซีนโควิดในหมู่หญิงตั้งครรภ์ของสหรัฐฯ

ที่มาของภาพ : Getty Images

data

  • Author, แจ็กกี เวคฟิลด์
  • Role, แผนกตรวจสอบข่าวบิดเบือนโลกบีบีซี (BBC World Disinformation Unit)

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีสาธารณสุขของสหรัฐฯ ออกมาระบุว่า ไม่แนะนำให้เด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงและหญิงตั้งครรภ์ รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 อีกต่อไป

หลายวันต่อมาศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐฯ หรือ ซีดีซี (Center for Illness Modify and Prevention – CDC) ดูเหมือนว่าจะออกมาคัดค้านเคนเนดี จูเนียร์ ด้วยการประกาศว่ายังคงแนะนำต่อการฉีดวัคซีนโควิดเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างภูมิคุ้มกันโรคแบบปกติในเด็ก

อย่างไรก็ตาม คำแนะนำการฉีดวัคซีนฉบับปรับปรุงใหม่ระบุว่า ผู้ให้บริการทางการแพทย์ “อาจ” แนะนำการฉีดวัคซีนให้กับผู้เข้ารับบริการ ไม่ใช่การให้คำแนะนำว่า “ควร” ฉีด

สำหรับกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ในสหรัฐฯ กลับไม่มีคำแนะนำอย่างเป็นทางการใด ๆ ออกมา

ด้านผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนว่า การเปลี่ยนแปลงใด ๆ อาจทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจและขัดขวางการเข้าถึงการฉีดวัคซีน และอาจนำไปสู่การเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ในหมู่หญิงตั้งครรภ์และเด็กในห้วงเวลาที่กระแสความลังเลในการรับวัคซีน (Vaccine hesitancy) เติบโตขึ้นทั่วโลก

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

of ได้รับความนิยมสูงสุด

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บ่งชี้ต่อเรื่องนี้อย่างไร

“ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศว่า วันนี้ การฉีดวัคซีนโควิดสำหรับกลุ่มเด็กและสตรีมีครรภ์ได้ถูกยกเลิกออกจากโปรแกรมการสร้างภูมิคุ้มกันแนะนำของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐฯ แล้ว” รัฐมนตรีสาธารณสุขของสหรัฐฯ ระบุในการประกาศเมื่อ 27 พ.ค.

อย่างไรก็ตาม แม้มีคำประกาศนี้ออกมา แต่กลับไม่มีการเผยแพร่คำแนะนำใด ๆ สำหรับกลุ่มสตรีมีครรภ์บนเว็บไซต์ทางการของซีดีซี นับตั้งแต่รัฐมนตรีสาธารณสุขดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้เพียงฝ่ายเดียว

ซีดีซี ระบุว่า สตรีมีครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 มีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรงและจำเป็นต้องเข้ารับการรักษามากกว่าหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ซึ่งอยู่ในวัยเดียวกันและมีภูมิหลังที่คล้ายกัน

องค์การอนามัยโลกแนะนำให้สตรีมีครรภ์ สตรีที่ต้องการตั้งครรภ์ หรือสตรีที่กำลังให้นมบุตร ควรรับวัคซีนเพื่อที่จะปกป้องตนเองและครอบครัว พร้อมเสริมว่า “ไม่มีข้อกังวลเรื่องความปลอดภัยใด ๆ ที่ระบุออกมาสำหรับสตรีกลุ่มนี้รวมถึงทารกในครรภ์”

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ระหว่างการตั้งครรภ์ให้ฉีดวัคซีนจำนวน 1 เข็ม ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะรับวัคซีนมาแล้วกี่เข็มก็ตาม

‘สถานการณ์เสี่ยงสูง'

หลายประเทศแนะนำการฉีดวัคซีนในสตรีมีครรภ์ เช่น บราซิล อินเดีย แอฟริกาใต้ และประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป

“การตั้งครรภ์เปลี่ยนแปลงร่างกายคุณหลายอย่าง เช่น การกดระบบภูมิคุ้มกัน” ดร.ชากิลา ธังการัตตินัม ศาสตราจารย์ด้านสุขภาพผู้หญิงแห่งมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลในสหราชอาณาจักรกล่าว และบอกว่า ระบบบริการสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (NHS) “แนะนำอย่างยิ่ง” ให้สตรีมีครรภ์ได้รับการฉีดวัคซีนดังกล่าว

“(การไม่ฉีดวัคซีน) มันทำให้การติดโควิดในช่วงตั้งท้องเป็นสถานการณ์ที่เป็นความเสี่ยงในระดับสูงมาก” เธอกล่าวกับบีบีซี

ศาสตราจารย์ด้านสุขภาพผู้หญิงรายนี้บอกว่า การฉีดวัคซีนโควิดยังช่วยลดความเสี่ยงต่อความจำเป็นในการผ่าตัดคลอด หรือการที่ทารกเกิดใหม่ต้องอยู่ในแผนกดูแลพิเศษ

ศ.ธังการัตตินัม ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะวิจัยเรื่องผลข้างเคียงของการรับวัคซีนโควิดในผู้หญิงตั้งครรภ์เมื่อปี 2024 ย้ำด้วยว่า “ยังไม่มีหลักฐานใหม่ที่บ่งชี้ถึงอันตราย” ของการได้รับวัคซีนขณะตั้งครรภ์

งานวิจัยดังกล่าวไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรงหรือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อการตั้งครรภ์ที่มีสาเหตุมาจากวัคซีนโควิด

“ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการปวดเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด”

ระบบบริการสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักรระบุว่า ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า วัคซีนโควิดเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งลูก การคลอดก่อนกำหนด หรือภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์

และประโยชน์ของการฉีดวัคซีนมีข้อมูลทางวิชาการรองรับ

นอกจากนี้ เด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนเป็นกลุ่มที่จะเผชิญความเสี่ยงสูงต่อการป่วยด้วยอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อโควิด-19 เมื่อเทียบกับเด็กวัยอื่น แต่หลักฐานก็แสดงให้เห็นว่า แม่ที่ฉีดวัคซีนสามารถส่งผ่านแอนติบอดีสู่ทารกในครรภ์ได้ ซึ่งทำให้ทารกได้รับการปกป้องที่จำเป็น

ที่มาของภาพ : Getty Images

โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีด้านการบริการมนุษย์และสาธารณสุขของสหรัฐฯ (กลาง) พร้อมด้วยผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ และหนึ่งในกรรมการของคณะกรรมการกำกับอาหารและยา

เคนเนดี จูเนียร์ อ้างว่ามีข้อมูลทางคลินิกไม่เพียงพอที่สนับสนุนการฉีดกระตุ้นวัคซีนโควิดในเด็ก ซึ่งเป็นมุมมองที่ถูกเน้นย้ำจากมาร์ตี มาการี ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ด้วยเช่นกัน

เขาได้ออกมาเรียกร้องว่า รัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ของไบเดนที่อ้างว่า พวกเขา “กระตุ้นให้เด็กที่สุขภาพดีฉีดวัคซีนโควิดถึงแม้ว่าจะไม่มีข้อมูลทางคลินิกสนับสนุนการฉีดกระตุ้นซ้ำในเด็ก” ทว่าประเด็นนี้ยังเป็นที่โต้เถียง

หลายประเทศทั่วโลกยุติการแนะนำการฉีดกระตุ้นวัคซีนโควิดในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เพื่อให้มีการฉีดกระตุ้นในกลุ่มเฉพาะมากขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า เด็กมีความเสี่ยงต่อการป่วยโรคโควิด-19 รุนแรงน้อยกว่า แต่การรับวัคซีนเป็นประจำจะช่วยป้องกันกลุ่มเปราะบางที่มีความเสี่ยงสูง

“เด็กส่วนใหญ่ไม่ต้องรักษาตัวในแผนกดูแลผู้ป่วยพิเศษ” ดร.เฮเลน สจวร์ต กุมารแพทย์กล่าว “แต่ความเสี่ยงของการไม่ฉีดวัคซีนนั้นมีมากกว่าความเสี่ยงของการรับวัคซีน”

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ในปี 2024 ซึ่งทำการศึกษาความปลอดภัยของวัคซีนในเด็กไม่พบความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในเด็กอายุ 5-11 ปี

ในกลุ่มเด็กถึงวัยรุ่นตั้งแต่ 12-17 ปี ความเสี่ยงใด ๆ จากการติดเชื้อโควิด-19 มีมากกว่าความเสี่ยงที่เล็กน้อยของผลข้างเคียงจากวัคซีน

งานวิจัยดังกล่าวยังแสดงให้เห็นว่าวัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิผลในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ

ในสหรัฐฯ ยังไม่ทราบว่าผลกระทบที่เกิดจากการตัดสินใจของซีดีซีในการเปลี่ยนคำแนะนำการฉีดวัคซีนจาก “ควร” เป็น “อาจ” แนะนำให้ฉีดมีผลต่อข้อตกลงของผู้ทำประกันสุขภาพหรือไม่ ซึ่งมักจะถูกบังคับให้ทำประกันครอบคลุมค่าใช้จ่ายการฉีดวัคซีนด้วย

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการฉีดวัคซีนไม่ว่าจะถูกลงหรือสูงขึ้นต่างก็มีแนวโน้มที่จะสร้างกระแสความลังเลใจในการฉีดวัคซีนไม่ต่างกัน

ทำไมความลังเลในการรับวัคซีน (Vaccine hesitancy) จึงเพิ่มสูงขึ้น

โรคระบาดทำให้มีการถกเถียงกันในระดับโลกเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีนและความจำเป็นของวัคซีนมากขึ้น และส่งผลกระทบอย่างมากต่อความไว้วางใจของประชาชน

“แม้กระทั่งคนที่ค่อนข้างมั่นใจในวัคซีน ตอนนี้บางคนก็เกิดความสงสัยในวิทยาศาสตร์แล้ว” ดร.ไซมอน วิลเลียมส์ นักวิจัยด้านสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยสวอนซี กล่าว

ในรายงานทบทวนการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์เนเจอร์เมื่อปี 2024 ระบุว่า ทั่วโลก ผู้หญิงตั้งครรภ์เป็นกลุ่มที่มีความลังเลใจในการฉีดวัคซีนสูงที่สุด ซึ่งการตัดสินใจฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีนนั้นมาจากความไม่ไว้วางใจและข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง

ศ.ธังการัตตินัม กล่าวว่าจากประสบการณ์ของเธอ การไม่ไว้วางใจวัคซีนในหมู่หญิงตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องที่น่านำมาพิจารณาไตร่ตรอง “มีงานศึกษาวิจัยเพียงไม่กี่ชิ้นที่ศึกษาหญิงตั้งครรภ์ในช่วงเริ่มต้น และในช่วงแรกก็มีความไม่แน่นอน”

ข้อมูลจากศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแอฟริกา (Africa CDC) ระบุว่า สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, จิบูตี, เคนยา, ไลบีเรีย, มาลาวี และโตโก ได้จัดจำแนกให้ข้อมูลผิดและทฤษฎีสมคบคิด การให้ข้อมูลที่เกินจริงเกี่ยวกับอันตรายของไวรัส และข้อมูลความปลอดภัยของวัคซีนที่ไม่น่าไว้วางใจ ว่าเป็นอุปสรรคหลักของการฉีดวัคซีน

ในขณะเดียวกันอัตราการฉีดวัคซีนปกติสำหรับวัคซีนทุกชนิดก็ลดลงในกว่า 112 ประเทศ ตามข้อมูลขององค์กรยูนิเซฟ

“งานวิจัยชี้ให้เห็นว่ากระทั่งการรับข้อมูลผิดในช่วงสั้น ๆ ก็ทำให้เพียงพอแล้วที่การฉีดวัคซีนจะน้อยลง” ดร.อเล็กซ์ เดอ ฟิเกเรโด ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งวิทยาลัยอนามัยและเวชศาสตร์เขตร้อนแห่งลอนดอน กล่าวโดยชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่ลดน้อยลงแม้กระทั่งก่อนเกิดโรคระบาด

เขากล่าวเสริมว่า “นโยบายที่เข้มงวดเกินไป” ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ทำให้ผู้คนลังเลใจที่จะฉีดวัคซีนมากขึ้น “โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ได้รับประโยชน์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการเสียสละที่ต้องแลกมาด้วยสิ่งเหล่านั้น”

“โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ และความเคลื่อนไหวที่เรียกว่า ‘ทำให้อเมริกากลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง' (Beget The USA Wholesome All any other time Motion) ได้ทำให้มันขยับไปสู่อีกระดับ” เขาระบุ

นับตั้งแต่การประกาศของเคนเนดี จูเนียร์ ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องก็พบเห็นได้มากขึ้นบนโลกออนไลน์ โพสต์ที่เป็นไวรัลในแพลตฟอร์ม “เอ็กซ์” อ้างอย่างผิด ๆ ว่า วัคซีนโควิดเอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) เป็นสาเหตุของการแท้งลูก การคลอดบุตรเสียชีวิต และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบทและชุมชนชายขอบที่มีประวัติไม่ไว้วางใจรัฐบาลมาอย่างยาวนาน และการมีเวชปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องได้เพิ่มความลังเลใจต่อการฉีดวัคซีนยิ่งขึ้นไปอีก

“หากคุณไม่ได้สนับสนุนข้อกล่าวอ้างด้วยหลักฐาน มันจะยิ่งเพิ่มความวิตกกังวล และผู้คนจะสูญเสียศรัทธาในวัคซีนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา” ศ.ธังการัตตินัม ระบุ

จะเกิดอะไรขึ้นหากเราหยุดรับวัคซีน ?

กระแสที่มุ่งไปสู่เรื่องความเสี่ยงและประโยชน์ส่วนบุคคลอาจทำให้มองข้ามประโยชน์ของสาธารณสุข

ข้อเท็จจริงที่แพร่กระจายอยู่ในตอนนี้คือ ในชุมชนต่าง ๆ ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงจะยิ่งมีโอกาสน้อยกว่าที่ไวรัสจะแพร่กระจาย

ทั้งนี้ คำประกาศของรัฐมนตรีสาธารณสุขสหรัฐฯ ออกมาในช่วงเวลาที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 กำลังเพิ่มสูงขึ้น

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ตั้งแต่เดือน ก.พ. ที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อกำลังอยู่ในขาขึ้น โดยอัตราผลตรวจที่ออกมาเป็นบวกพุ่งสูงขึ้นสูงสุดในรอบเกือบปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบแปซิฟิกตะวันตก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก

ข้อมูลที่ผิด ๆ เกี่ยวกับวัคซีนโควิดยังมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในพื้นที่อื่น ซึ่งมีอัตราการฉีดวัคซีนยาวนานกว่า

รัฐบาลต่าง ๆ ได้กล่าวโทษการระบาดของโรคชนิดอื่น เช่น โรคหัด ว่าเป็นตัวการที่ทำให้ทัศนคติเชิงลบต่อวัคซีนกว้างขวางขึ้น

ขณะนี้สหรัฐฯ กำลังเผชิญการระบาดของโรคหัดสูงที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้ เช่นเดียวกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคอเมริกาใต้และแอฟริกา

ในขณะเดียวกัน โมร็อกโกก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคหัดหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ โดย มุสตาฟา ไบตาส โฆษกรัฐบาล ได้กล่าวโทษไปที่ “ข้อมูลผิด ๆ ที่กระตุ้นให้สาธารณะรู้สึกหวาดกลัววัคซีน”

ด้าน ดร.สจวร์ต เน้นย้ำถึงสถานการณ์เดียวกันนี้กับในสหราชอาณาจักร

“มีการเพิ่มขึ้นอย่างมากในโรคหัดนับตั้งแต่การมีการฉีดวัคซีนลดลง” เธอกล่าวกับบีบีซี “โรคไอกรนก็มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน”

ในการทำให้การฉีดวัคซีนมีประสิทธิภาพ เธอแนะนำว่าสาธารณะจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำและน่าเชื่อถือ และเข้าถึงได้ง่าย