“อินฟลูเอนเซอร์” และ “เอไอ” มีส่วนกระตุ้นอารมณ์คนไทย เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างไร

ที่มาของภาพ : Getty Photography

Article Knowledge

    • Creator, ปวีณา นิลบุตร
    • Role, ผู้สื่อข่าว.

“ไล่เก็บพวกเหมนที่อยู่ไทยดีกว่า” คือหนึ่งในข้อความที่ถูกโพสต์บนเฟซบุ๊กโดยบัญชีชื่อ “สวัสดีครับผมแจ็กแปปโฮ” ซึ่งมียอดผู้ติดตามกว่า 6.2 ล้านผู้ใช้ และเป็นโพสต์ที่ได้รับยอดกดถูกใจมากกว่า 100,000 ครั้ง ก่อนจะถูกลบไปในภายหลัง โดยในช่องคอมเมนต์มีข้อความแสดงความคิดเห็นจำนวนหนึ่งที่ระบุว่า “เปิดเลย” “จัดให้ครับ”

นอกจากนี้ ยังพบว่าบนโซเชียลมีเดียไทยมีบัญชีผู้ใช้ที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ เผยแพร่เนื้อหาและวิดีโอที่สร้างขึ้นโดยเอไอ ซึ่งสร้างความเกลียดชังต่อชาวกัมพูชา รวมถึงจำลองภาพสถานการณ์ความรุนแรงโดยไม่ได้อิงอยู่กับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

กระทั่งรายงานข่าวของสำนักข่าวในไทยเอง หลายครั้งมีการใช้คำในการสื่อสารอย่างเร้าอารมณ์และกระตุ้นให้ผู้ชมเลือกฝ่าย เช่นรายงานข่าวทางโทรทัศน์ช่องหนึ่งที่ขึ้นข้อความประกอบข่าวว่า “กัมพูชา ‘เปิดก่อน' ปะทะไทย”

แม้แต่ผู้มีตำแหน่งสำคัญทางการเมืองอย่าง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้ออกมาพูดถึงข่าวจากสื่อกัมพูชาที่อ้างว่าสามารถยิvสกัดเครื่องบิน F-16 ของไทยได้ โดยเขาเรียกว่านั่นเป็นข่าว “โม้”

ในห้วงเวลาที่สถานการณ์ชายแดนยังไม่คลี่คลาย การสื่อสารในลักษณะนี้ทั้งในบนโซเชียลมีเดีย ในข่าว และผ่านผู้มีตำแหน่งสำคัญทางการเมือง จะนำพาอารมณ์สังคมให้ยิ่งสนับสนุนการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาหรือไม่ และผลกระทบที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง .สนทนากับสองนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนจากธรรมศาสตร์และ NIDA เพื่อหาคำตอบ

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

ได้รับความนิยมสูงสุด

ความสำคัญของการสื่อสารของผู้นำ

ที่มาของภาพ : Getty Photography

“มันรุนแรงกว่าตรงชายแดนอีก” คือคำที่ รศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์จากคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ใช้อธิบายปรากฎการณ์การสร้างความเกลียดชังต่อประชาชนชาวกัมพูชาบนสังคมออนไลน์ไทย

เธออธิบายว่า ข้อความส่งเสริมความรุนแรง หรือดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติเป็น “สงครามของความเกลียด” และมีสารตั้งต้นบางส่วนจากกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ เพราะเป็นกลุ่มที่เข้าใจกลยุทธ์การสื่อสารดี

“ถ้าเข้าใจกลยุทธ์ในการสื่อสาร ก็จะรู้ว่าจะทำยังไงที่ข้อความนั้นจะถูกแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว” รศ.ดร.วิไลวรรณ อธิบาย พร้อมยกตัวอย่างถึงคำว่า “เปิดก่อน” ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นคนเริ่มใช้ความรุนแรงก่อน โดยมัน “สร้างความโมโห สร้างความโกรธ จนไปถึง ความเกลียดชัง และที่สำคัญมันสร้างแนวร่วมให้กับใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลัง ที่จงใจ ที่ท้ายที่สุดแล้วจะได้หาทางออกโดยการใช้ความรุนแรง”

เพื่อที่จะเข้าใจว่าการสร้างแนวร่วมความเกลียดชังสำคัญอย่างไร เธอชวนมองย้อนไปถึงการสร้างความชอบธรรมต่อการใช้ความรุนแรงของผู้นำโลกในอดีต

“การจะก่อสงครามได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร ต้องหาแนวร่วมจากประชาชนก่อน ต้องสร้างความชอบธรรมก่อน ดังนั้นจะสร้างความชอบธรรมได้อย่างไร ต้องทำให้คนหมู่มาก ประชาชนในประเทศของตนเห็นชอบด้วยว่าสมควรแล้วที่จะทำ” อาจารย์จากคณะวารสารศาสตร์ฯ มธ. กล่าว

รศ.ดร.วิไลวรรณ บอกด้วยว่า ท่าทีของรัฐบาลในสถานการณ์เปราะบาง ถือว่าสำคัญยิ่งกว่าคำพูดของอินฟลูเอนเซอร์ เพราะถ้อยคำของผู้นำประเทศและรัฐบาล “ต้องถูกไปแชร์ต่ออยู่แล้ว คำพูดของคุณจะไปก่อไปสร้างแนวร่วมอยู่แล้ว… คำพูดของผู้นำมันมี affect (ผลกระทบ) สูง”

ที่มาของภาพ : Getty Photography

ด้าน รศ.ดร.อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว คณบดีคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) อธิบายกับ.ถึงความสำคัญของท่าทีของผู้นำระดับสูงในรัฐบาลและราชการ ว่ามีความสำคัญสูงในเชิงนโยบายและท่าทีระหว่างประเทศ

“ไม่ว่าจะเป็นผู้นำระดับรัฐบาล หรือผู้นำในหน่วยงานราชการก็ตาม เมื่อสื่อสารออกมาแล้ว มันกลายเป็นท่าทีเชิงนโยบาย มันกลายเป็นการแสดงจุดยืนของรัฐไทย… มันกลายเป็นท่าทีอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นคนละส่วนกับภาคประชาชนพลเมืองที่อาจมีคละเคล้ากันไป”

“ความเป็นชาตินิยมตอนนี้ถูกปลุกเร้าขึ้นมาเรียกว่าถึงขั้นสูงสุดแล้ว” และแม้จะมีความพยายามบางส่วนเพื่อลดกระแสชาตินิยม “แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอที่จะทัดทานกระแสชาตินิยมที่ถูกปลุกขึ้นมา” นักวิชาการจาก NIDA ระบุ

เนื้อหาโดย “เอไอ” ยิ่งอันตรายในสถานการณ์เปราะบาง

อีกหนึ่งเนื้อหาที่แพร่กระจายอย่างมากท่ามกลางความขัดแย้งในปัจจุบัน คือเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นโดยปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ (AI)

.พบเนื้อหาสร้างความเกลียดชังที่สร้างขึ้นโดยเอไอบนแพลตฟอร์มติ๊กตอก (TikTok) โดยพบเนื้อหาในลักษณะดังกล่าวจากหลากหลายบัญชีผู้ใช้งานบน TikTok เช่น บัญชีที่ใช้ชื่อว่า ‘มาดามปลอมตัวจริง' ได้เผยแพร่วีดีโอสั้นแสดงภาพผู้หญิงใส่ชุดไทย และพูดว่า “ประเทศที่หาความเจริญไม่ได้ก็กลับเข้าไปอยู่ในกำแพงเถอะ แล้วก็เอาขอทานกลับเข้าไปด้วยจะได้ไม่ต้องมารกประเทศไทยอีก” โดยวิดีโอนี้ถูกรับชมมากกว่า 19,000 ครั้ง หรืออีกวีดีโอที่สร้างโดยเอไอจากบัญชีผู้ใช้เดียวกัน ปรากฏภาพผู้หญิงพูดคำว่า “อีกกี่ปี เขมรจะมีรถไฟฟ้าใช้แบบกรุงเทพฯ อันนี้แหละที่เขมรจะเคลมไม่ได้” ซึ่งถูกรับชมกว่า 87,000 ครั้ง

อีกบัญชีผู้ใช้หนึ่งที่ชื่อว่า ‘AIThepeople' ก็เผยแพร่วีดีโอที่สร้างขึ้นโดยเอไอ แสดงภาพผู้หญิงใส่ชุดพยาบาลยืนกลางโรงพยาบาลที่เหมือนถูกโจมตี ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่ากำลังสื่อถึงการโจมตีของกัมพูชาที่โรงพยาบาลของไทยเมื่อวานนี้ ในวีดีโอดังกล่าว นางพยาบาลที่สร้างขึ้นโดยเอไอพูดว่า “เขมรมิจฉาชีพทำสงคราม ต้องรับผิดชอบ” วีดีโอดังกล่าวถูกรับชมมากกว่า 18,000 ครั้ง

นอกจากนี้ ยังมีวีดีโอจากเอไอจำลองภาพเหตุการณ์ความเสียหายหน้าร้านสะดวกซื้อ โดยแสดงภาพนางฟ้าใส่ชุดไทย ยื่นมือไปหาและพูดกับเด็กผู้ชายที่ใส่ชุดนักเรียนว่า “ถึงเวลาพักผ่อนแล้วนะ เจ้าเด็กดี” ก่อนที่เด็กจะติดปีกและลอยขึ้นฟ้าไป วีดีโอนี้มีผู้ชมมากกว่า 36,000 ครั้ง และมีผู้ใช้คนอื่น ๆ แสดงความคิดเห็นว่า “ร้องไห้หนักมาก” หรือ “หดหู่ใจ”

รศ.ดร.อัศวิน ระบุว่าเนื้อหาที่สร้างโดยเอไอเช่นนี้ “น่ากลัวมาก” และ “เหมือนกับการสาดน้ำมันลงไปในกองไฟ ช่วยกระพือความขัดแย้ง”

เขาตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เอไอไม่มีตัวตนจริง ต่างกับอินฟลูเอนเซอร์หรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถตรวจสอบ ระบุตัวตน และอาจมีการตั้งคำถามกับตัวบุคคลนั้น ๆ ได้ พร้อมบอกด้วยว่าสถานการณ์เช่นนี้เป็นอันตรายหากผู้รับสารขาดวิจารณญาณ

“ถ้าเป็นการใช้เครื่องมือเอไอสร้างขึ้นมา มันอาจจะจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกเลย ในแง่ของแหล่งสาร แต่เนื้อหาสารมันทำงานของมันแล้ว โดยเฉพาะเมื่อคนที่เป็นผู้รับไม่ได้ต้องการอะไรที่ลึกซึ้ง หรือละเอียดมากมาย เพียงแต่มันโดนใจความรู้สึกขณะนั้น เนื้อหาเหล่านี้มันก็ทำหน้าที่ของมันไปแล้วเรียบร้อย”

ที่มาของภาพ : BBC Thai

บางส่วนของเนื้อหาเกี่ยวกับไทย-กัมพูชา ที่สร้างโดยเอไอบนแพลตฟอร์ม TikTok ที่.พบ

ทั้งนี้ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ จาก NIDA ระบุด้วยว่า โซเชียลมีเดียต่าง ๆ ควรตระหนักถึงความสำคัญของแพลตฟอร์มตนเอง พร้อมเรียกร้องความรับผิดชอบจากฝ่ายเจ้าของแพลตฟอร์มด้วย

“ควรจะมีมาตรการ เช่น การแจ้งเตือน การจับระดับของความอ่อนไหวหรือความละเอียดอ่อนของเนื้อหา หรือแม้แต่การขึ้นคำเตือนต่อผู้ชม ผู้บริโภค ว่าควรระมัดระวังหรือตรวจสอบเนื้อหาเหล่านี้”

เช่นเดียวกันกับ รศ.ดร.วิไลวรรณ ที่ระบุว่า เนื้อหาปลอมแปลงที่ถูกสร้างโดยเอไอ เป็นความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มต่าง ๆ แต่กลับยังไม่ค่อยเห็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียออกมาร่วมรับผิดชอบ แม้นี่จะเป็นข้อเรียกร้องของพลเมืองโลกในปัจจุบัน

“ประเด็นเรื่องของแพลตฟอร์มจะต้องรับผิดชอบ จริง ๆ แพลตฟอร์มต้องรับผิดชอบเลย แต่มันไม่มีอยู่จริง”

ด้าน แผนกการสื่อสารทั่วโลกประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ TikTok ตอบกลับคำถามของ.เรื่องการจัดการเนื้อหาที่ถูกสร้างโดยเอไอและการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่แพลตฟอร์มว่า บริษัท TikTok ไม่อนุญาตเนื้อหาที่มีความรุนแรง และสร้างความเกลียดชัง หรือสร้างความเข้าใจผิดของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง บนแพลตฟอร์มของตน

พร้อมระบุด้วยว่า TikTok ทำงานร่วมกับบริษัทภายนอกเพื่อประเมินความถูกต้องของเนื้อหา และมีทรัพยากรในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเนื้อหาทั้งภาษาไทยและเขมร พร้อมยืนยันว่าบริษัทได้ลบเนื้อหาจำนวนมากที่สร้างความเกลียดชัง ตัดต่อหรือสร้างโดยเอไอ ด้วยการใช้เทคโนโลยี พนักงาน และการรายงานจากผู้ใช้แอปฯ คนอื่น ๆ

นอกจากนี้ ปัจจุบันผู้ใช้ TikTok ในไทยและกัมพูชา ที่ค้นหาเนื้อหาซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้น จะเห็นแถบแจ้งเตือนให้ใช้วิจารณญาณมากเป็นพิเศษ

ที่มาของภาพ : World Communications, TikTok

ขณะนี้ผู้ใช้ TikTok ในไทย และกัมพูชา จะเห็นแถบแจ้งเตือนให้ใช้วิจารณญาณมากเป็นพิเศษเมื่อค้นหาเนื้อหาเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนปัจจุบัน

จากกระแสออนไลน์สู่ความรุนแรงในโลกจริง

อีกคลิปที่กลายเป็นกระแสบนโลกออนไลน์คือ คลิปอดีตนักมวยชาวไทยรายหนึ่ง อัดคลิปพูดกับแรงงานชาวกัมพูชา บังคับให้พูดภาษาเขมรให้ทหารกัมพูชาหยุดการปะทะ โดยช่วงท้ายของวิดีโอนักมวยรายนี้สั่งห้ามไม่ให้แรงงานคนดังกล่าวยิ้ม ก่อนจะตบเข้าที่หน้าของเขา

รศ.ดร.อัศวิน ชี้ว่าจากการปลุกกระแสชาตินิยมที่เกิดขึ้นในสังคม หนึ่งในอันตรายที่จะเกิดขึ้นคือการนำไปสู่พฤติกรรมที่อาจคาดไม่ถึง โดยยกตัวอย่างการที่กองเชียร์กีฬาที่อยู่ขอบสนามเกิดการปะทะกันเอง เนื่องจากปัญหาที่อยู่ในสนามเลยออกมาถึงกองเชียร์ที่มีอารมณ์ร่วม

“เช่นเดียวกัน ข่าวสารประเภทนี้เมื่อมันปลุกเร้าอารมณ์ ความรู้สึกภายในของคนหมู่มาก จะนำไปสู่ทัศนคติที่ถูกตอกย้ำบ่อย ๆ มันก็จะนำไปสู่การแสดงออกทางพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ถ้าเผอิญไปเห็น หรือรู้ว่ามีชาวกัมพูชาอยู่ตรงนี้ หรือเป็นชุมชนอย่างนั้น มันก็อาจเกิดผลกระทบตามมาในแง่ที่เราจะเลือกปฏิบัติ” เขาอธิบายกับ.

รศ.ดร.อัศวิน กล่าวด้วยว่า กระแสความบาดหมางเช่นนี้อาจทำให้เกิดเป็น “รอยแผลของเรากับเพื่อนบ้าน” และหลังปัญหาเหล่านี้สิ้นสุดลง ก็จะ “เป็นเรื่องยากว่ารอยแผล ความบาดหมางที่เกิดขึ้น เราจะรักษาได้ง่ายหรือเร็วแค่ไหน”

ด้าน รศ. ดร.วิไลวรรณ ยกกรณีศึกษาการฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา ในปี ค.ศ.1994 ที่เกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศเดียวกัน เพราะเกิดกระแสความเกลียดชังและการปลุกระดม

“คิดดูสิว่า กรณีรวันดา อยู่ในพื้นที่เดียวกัน ก็ถูกสร้างความเกลียดชังได้ โดยใช้สื่อวิทยุในการปลุกระดมให้ลุกขึ้นมา ดีเจวิทยุเป็นคนจัด ก็ไม่ต่างจากวันนี้ที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์ แล้วคุณคิดดูว่าวันนี้บนโลกของโซเชี่ยลมีเดียมันไวขนาดไหน มันกว้างขนาดไหน”

เธอเสริมด้วยว่า ความรุนแรงในหมู่ประชาชนก็เกิดขึ้นบ้างแล้ว กระทั่งในกลุ่มที่ไม่ได้มีความขัดแย้งกันมาก่อน เช่น กรณีนักท่องเที่ยวไทยทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาเมือนธม เมื่อวันที่ 13 ก.ค.

“ซึ่งตอนนี้เราก็เริ่มจะเห็นมีการปะทะกัน เริ่มใช้ความรุนแรง จากที่ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกันมาก่อน เกิดขึ้นแล้ว เช่น นักท่องเที่ยวเห็นทหารเขมร แล้วอดไม่ไหว” นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนจาก มธ. ระบุ

ที่มาของภาพ : Getty Photography

ปฏิกิริยาของผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลระหว่างการแถลงข่าวเกี่ยวกับความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568

“สิ่งที่เราเห็น เราแน่ใจหรือ หรือแม้แต่คุณบอกว่าคุณลงไปในพื้นที่ คุณเห็นด้วยตาตัวเอง แต่คุณแน่ใจหรือ ว่าสิ่งที่ตาคุณเห็นมันมีอะไรอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่แค่รายงานแต่สิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น บางทีสิ่งที่ตาเห็นก็เป็นแค่ฉาก ๆ หนึ่งที่ถูกตั้งใจสร้าง” รศ.ดร.วิไลวรรณ กล่าว

เธออธิบายว่าประเด็นเรื่องการปะทะของทหารไทยและกัมพูชาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยผู้เสพสื่อ และสื่อเองไม่ควรรีบตัดสินใจจากเพียงสิ่งที่เห็น แต่ควรมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นให้มาก และทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์

“ทุกคนจะต้องระวังถ้อยคำ ทั้งอินฟูลเอนเซอร์ และโดยเฉพาะผู้นำ”

ด้าน รศ.ดร.อัศวิน แสดงทัศนะว่า ตอนนี้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะ “conflict journalism” แล้ว ซึ่งคือการที่กระแสในสังคมพยายามให้กำลังใจกองทัพ หรือสนับสนุนการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา

“การให้กำลังใจกองทัพ สร้างขวัญกำลังใจให้ทหาร สังคมก็จะถูกปลุกไปทางแนวนี้เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นจากสื่อมวลชนเองก็ดี หรือในพื้นที่ออนไลน์ก็ตาม” นักวิชาการจาก NIDA อธิบายและเตือนว่า ในสภาวะเปราะบางเช่นนี้ สังคมควรมีสติ ไม่ควรเชื่ออะไรง่าย ๆ หรือทำตามสิ่งที่ได้รับสารมาทันที

“ใช้วิจารณญาณให้มาก ไม่งั้นเราจะตกเป็นเหยื่อของภาวะสงครามข่าวสาร… ในภาวะอารมณ์ผันผวนรุนแรงอย่างนี้ ถ้าง่ายที่สุดก็คือถามตัวเองนิดนึง ตั้งสตินิดนึง อย่างน้อย ๆ อย่าเพิ่งตกลงปลงใจ หรือเชื่อในสิ่งที่ได้รับมาโดยทันที” เขากล่าวทิ้งท้าย