
“วิกฤตที่แท้จริง” เมื่อผู้คนอยากมีลูก แต่ไม่อาจทำได้ เพราะมีเงินและเวลาไม่พอ

ที่มาของภาพ : Getty Photos
- Author, สเตฟานี เฮการ์ธี
- Feature, ผู้สื่อข่าวด้านประชากรโลก
นัมราตา นันเจีย และสามี กำลังคิดอยากมีลูกเพิ่มอีกสักคนหนึ่ง หลังลูกสาวคนแรกอายุย่างเข้า 5 ขวบแล้ว แต่สิ่งที่คิดก็มักตามมาด้วยคำถามที่ว่า “พวกเราจะเลี้ยงลูกไหวไหม” อยู่เสมอ
เธออาศัยอยู่ในนครมุมไบของอินเดียและทำงานด้านเภสัชกรรม ส่วนสามีของเธอนั้นทำงานอยู่ที่บริษัทยางรถยนต์ ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูลูกเพียงหนึ่งคนก็เป็นภาระที่ท่วมท้นมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น ค่าเทอม ค่ารถโดยสารไปโรงเรียน หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายค่าไปหาหมอก็สร้างแรงกดดันทางการเงินให้กับครอบครัวมากพอแล้ว
สิ่งที่พวกเขาเผชิญต่างจากชีวิตนัมราตาที่เติบโตมา ซึ่งเธอบอกว่า “เราเคยชินกับการไปโรงเรียนที่ไม่มีอะไรนอกเหนือจากหลักสูตร แต่ตอนนี้คุณต้องส่งลูกไปเรียนว่ายน้ำ ไปฝึกวาดภาพ เพื่อดูว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง”
จากรายงานฉบับใหม่ของกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นเอฟพีเอ (UNFPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานเพื่อสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ของสหประชาชาติ กล่าวว่าสถานการณ์แบบนัมราตานั้นกำลังเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วโลกกำลังเผชิญ
จากการสำรวจผู้คน 14,000 คน ใน 14 ประเทศโดย UNFPA เพื่อสอบถามถึงความตั้งใจในการมีบุตรของพวกเขา พบว่า 1 ใน 5 กล่าวว่าไม่มีความตั้งใจหรือไม่คาดหวังจะมีลูกตามจำนวนที่พวกเขาต้องการ
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
Raze of ได้รับความนิยมสูงสุด
ประเทศที่ทางหน่วยงานสำรวจ ได้แก่ เกาหลีใต้ ไทย อิตาลี ฮังการี เยอรมนี สวีเดน บราซิล เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา อินเดีย อินโดนีเซีย โมร็อกโก แอฟริกาใต้ และ ไนจีเรีย ซึ่งถือว่ามีจำนวนประชากรรวมกันได้ 1 ใน 3 ของโลก โดยประเทศต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการผสมผสานระหว่างประเทศที่มีรายได้ต่ำ รายได้ปานกลาง และรายได้สูง รวมถึงประเทศที่มีอัตราการเจริญพันธุ์สูงและต่ำ
ทั้งนี้ ทาง UNFPA สำรวจความเห็นทั้งในคนหนุ่มสาวและผู้ที่ผ่านวัยเจริญพันธุ์มาแล้วประกอบกัน

ที่มาของภาพ : Namrata Nangia
“โลกเริ่มมีอัตราการเจริญพันธุ์ลดลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน” ดร.นาตาเลีย คาเนม ผู้อำนวยการกองทุน UNFPA กล่าว
“คนส่วนใหญ่ที่ทำแบบสำรวจต่างบอกว่าอยากมีลูกสัก 2 คน แต่อัตราการเจริญพันธุ์ที่ลดลงส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะหลายคนรู้สึกว่าไม่สามารถสร้างครอบครัวอย่างที่พวกเขาต้องการได้ และนั่นมันคือวิกฤตที่แท้จริง” เธอกล่าว
ศ. แอนนา รอตเคิร์ช นักประชากรศาสตร์ผู้ศึกษาเรื่องความตั้งใจด้านการเจริญพันธุ์ในยุโรปและที่ปรึกษาของรัฐบาลฟินแลนด์เกี่ยวกับนโยบายด้านประชากร กล่าวว่า “การเรียกสิ่งนี้ว่าวิกฤต คือการบอกว่ามันคือเรื่องจริง และฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิม”
“แนวคิดโดยรวม คือ มีการประเมินจำนวนการเกิดต่ำกว่าความเป็นจริง มากกว่าการประเมินสูงกว่าความเป็นจริง” ศ.แอนนา กล่าว หรืออธิบายได้อีกนัยหนึ่งว่าจำนวนของผู้มีลูกน้อยกว่าที่ตนเองคิดไว้ กำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นทั่วโลก
ศ.แอนนา ศึกษาเรื่องนี้ในยุโรปมาอย่างยาวนาน และสนใจว่าสิ่งที่เธอเห็นกำลังสะท้อนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
เธอยังประหลาดใจกับผลสำรวจของ UNFPA ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากที่มีอายุมากกว่า 50 ปี (ราว 30%) กล่าวว่าพวกเขามีลูกน้อยกว่าจำนวนที่พวกเขาต้องการ

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ทว่าแบบสำรวจของ UNFPA เป็นเพียงโครงการนำร่องสำหรับการวิจัยใน 50 ประเทศซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ โดยแบบสำรวจดังกล่าวมีการศึกษาในขอบเขตจำกัด เช่น กลุ่มอายุในแต่ละประเทศ หรือขนาดตัวอย่างส่วนใหญ่ยังมีขนาดเล็กเกินไปที่จะสรุปผลได้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยบางส่วนก็ชัดเจน
โดยรวมแล้ว 39% ของผู้ที่ไม่มีลูกตามที่จำนวนพวกเขาต้องการ บอกว่าเป็นเพราะมีข้อจำกัดทางการเงิน โดยเกาหลีใต้มีสัดส่วนมากที่สุด (58%) ขณะที่สวีเดนมีสัดส่วนน้อยสุด (19%)
นอกจากนี้ มีเพียง 12% เท่านั้นที่อ้างถึงภาวะมีบุตรยากหรือมีความยากลำบากในการตั้งครรภ์ อันเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่มีลูกตามจำนวนที่ต้องการ แต่ตัวเลขของผู้ตอบแบบสำรวจประเด็นนี้มีสูงมากในประเทศไทย (19%) สหรัฐอเมริกา (16%) อิตาลี และ แอฟริกาใต้ (15%) ไนจีเรีย (14%) และ อินเดีย (13%)

ที่มาของภาพ : Getty Photos
“นี่เป็นครั้งแรกที่ สหประชาชาติ ทุ่มเทอย่างเต็มที่ในประเด็นภาวการณ์เจริญพันธุ์ที่ลดต่ำลง” ศ.สจ๊วต กรีเทล-บาสเทน นักประชากรศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮ่องกง กล่าว
ก่อนหน้านี้หน่วยงานของยูเอ็นองค์กรนี้ได้ให้ความสำคัญไปที่กลุ่มผู้หญิงที่มีลูกมากกว่าที่พวกเขาต้องการจะมี และการคุมกำเนิดที่ไม่เป็นผล แต่เมื่อไม่นานมานี้ อัตราการเจริญพันธุ์กลับลดลงแม้กระทั่งในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางที่กองทุน UNFPA มุ่งเน้นการทำงานศึกษาวิจัย
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานต่าง ๆ กำลังเรียกร้องให้ใช้ความระมัดระวังในการตอบสนองต่อภาวะเจริญพันธุ์ที่ลดต่ำลง
“ขณะนี้ สิ่งที่เรากำลังเห็นคือวาทกรรมมากมายที่แสดงถึงความหายนะ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนประชากรมากเกินไปหรือประชากรลดลง” ดร. คาเนมกล่าว “สิ่งนี้นำไปสู่การตอบสนองที่เกินจริง และบางครั้งเป็นการตอบสนองที่ตั้งธงในแง่ของการพยายามให้ผู้หญิงมีลูกมากขึ้นหรือน้อยลง”
เธอชี้ให้เห็นว่าเมื่อ 40 ปีก่อน จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ไทย และตุรกี ต่างก็กังวลว่าประชากรของตนจะตัวเลขที่สูงเกินไป โดยในปี 2015 พวกเขาต้องการเพิ่มอัตราการเจริญพันธุ์
“เราต้องการพยายามให้มากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเทศเหล่านั้นออกนโยบายที่สร้างความตื่นตระหนก” ศ.กรีเทล-บาสเทน กล่าว “หากผู้คนหวาดกลัวและวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของโลกนี้อยู่แล้ว แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะสร้างความวิตกกังวลให้กับพวกเขามากขึ้น”
ในขณะที่หลายประเทศwยายามปรับตัวให้เข้ากับภาวะเจริญพันธุ์ที่กำลังลดต่ำลง โดยการเพิ่มจำนวนการย้ายถิ่นฐานหรือเพิ่มจำนวนผู้หญิงในที่ทำงาน แต่บางครั้งสิ่งเหล่านี้ก็นำไปสู่กระแสตีกลับทางวัฒนธรรม
“เรากำลังเห็นภาวการณ์เจริญพันธุ์ที่ลดต่ำลง จำนวนประชากรสูงอายุ และจำนวนประชาชนที่ถดถอย ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการดำเนินนโยบายแบบชาตินิยม ต่อต้านผู้อพยพ รวมถึงนโยบายทางเพศแบบอนุรักษนิยม”

ที่มาของภาพ : Getty Photos
UNFPA ยังพบว่าอีกหนึ่งอุปสรรคใหญ่ในการไม่มีลูก คือ การไม่มีเวลา ซึ่งสำหรับนัมราตาแล้ว นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้
เธอใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงต่อวันในการเดินทางไป-กลับที่ทำงาน และเมื่อกลับถึงบ้านด้วยความเหนื่อยล้า เธอยังต้องจัดสรรเวลาให้กับลูกสาว ทำให้ครอบครัวของเธอไม่ค่อยมีเวลานอนมากนัก
“หลังเลิกงาน เห็นได้ชัดว่าคุณรู้สึกผิดเกี่ยวกับการเป็นแม่ เพราะรู้สึกว่าตัวเองมีเวลาให้ลูกไม่เพียงพอ” เธอกล่าว “ดังนั้นเราจึงเน้นไปที่การมีลูกแค่คนเดียวก่อนในตอนนี้”
ที่มา BBC.co.uk