
สถิติผู้ป่วยมะเร็งปอดปริศนา พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในกลุ่มคนไม่สูบบุหรี่

ที่มาของภาพ : Getty Photos
data
- Creator, เธียเรส ลูธี
- Position, บีบีซี ฟิวเจอร์
มาร์ธาวัย 59 ปี สังเกตเห็นว่าร่างกายของเธอเริ่มมีความผิดปกติ อาการไอรุนแรงขึ้นและเสมหะในทางเดินหายใจเริ่มข้นเหนียวกว่าเดิม ในตอนแรกหมอวินิจฉัยว่า เธอเป็นโรคหายากที่ทำให้ปอดอักเสบเรื้อรัง โดยหมอยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าจะต้องเป็นโรคนี้แน่ ๆ และบอกให้เธอไม่ต้องกังวล
แต่หลังจากที่มีการถ่ายภาพเอกซเรย์ เงาดำของก้อนบางอย่างก็ปรากฏให้เห็นในปอดอย่างชัดเจน “ผลเอกซเรย์ทำให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ในทันที อันดับแรกหมอส่งฉันไปทำซีทีสแกน (CT scan) ตามมาด้วยการส่องกล้องหลอดลม (broncoscopy) เพื่อตรวจทางเดินหายใจ และตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อที่น่าสงสัยออกมาจากปอด”
หลังจากที่แพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อร้ายทิ้งไปแล้ว มาร์ธาต้องรอเป็นเวลานานถึง 4 เดือน นับตั้งแต่เธอรายงานอาการผิดปกติกับแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป (GP) ในครั้งแรก จึงได้ทราบผลการวินิจฉัยโรคจากการตรวจวิเคราะห์ชิ้นเนื้อในที่สุดว่า เธอเป็นมะเร็งปอดระยะ “สามเอ” (stage IIIA) ซึ่งเริ่มกระจายตัวลุกลามเข้าสู่ต่อมน้ำเห-ืองโดยรอบแล้ว แต่ยังแพร่ไปไม่ถึงอวัยวะที่อยู่ห่างออกไป
“ฉันรู้สึกช็อกมาก” มาร์ธากล่าว นั่นเป็นเพราะเธอไม่ใช่คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ ที่ผ่านมานานทีปีหนเธอจึงจะจุดบุหรี่สูบในงานเลี้ยงสังสรรค์สักครั้ง
มะเร็งปอดเป็นโรคมะเร็งชนิดที่พบได้มากที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในอันดับต้น ๆ สถิติในปี 2022 ชี้ว่า มีประชากรโลกได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งปอดถึง 2.5 ล้านคน และอีกกว่า 1.8 ล้านคน ต้องเสียชีวิตลงด้วยโรคร้ายนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยมะเร็งปอดส่วนใหญ่ล้วนมีประวัติว่าเคยสูบบุหรี่ ในขณะที่ตัวเลขอัตราการสูบบุหรี่โดยรวมของคนทั่วโลก ลดลงต่อเนื่องมาหลายสิบปีแล้ว
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
Slay of ได้รับความนิยมสูงสุด
แนวโน้มเชิงสถิติข้างต้น สวนทางกับข้อเท็จจริงที่เพิ่งมีการค้นพบล่าสุดว่า สัดส่วนของผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดในปัจจุบัน กำลังพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ในกลุ่มคนไม่สูบบุหรี่ โดยคิดเป็น 10-20% ของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งปอดทั้งหมด
นพ.แอนเดรียส วิกกิ ผู้เชี่ยวชาญสาขามะเร็งวิทยา จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยซูริกของสวิตเซอร์แลนด์ บอกว่า “มะเร็งปอดในกลุ่มคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่นั้น มีลักษณะทางเคมีในระดับโมเลกุลที่แตกต่างออกไปมาก ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลกระทบโดยตรง ต่อการตัดสินใจเลือกวิธีรักษาและผลการรักษา” นพ.วิกกิยังบอกด้วยว่า แม้อายุโดยเฉลี่ยของผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดทั้งสองแบบจะอยู่ในวัยเดียวกัน แต่กับกลุ่มคนไข้อายุน้อยราว 30-35 ปีนั้น มักจะไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนเลยในชีวิต

ที่มาของภาพ : Getty Photos
โรคของคนสองกลุ่มนี้ยังจัดเป็นมะเร็งปอดต่างชนิดกันอีกด้วย ในอดีตเมื่อช่วงทศวรรษ 1950 – 1960 มะเร็งปอดชนิดที่พบได้มากที่สุด คือมะเร็งของเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ (squamous cell carcinoma) ในขณะที่เกือบทั้งหมดของผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ไม่เคยสูบบุหรี่ มักได้รับการวินิจฉัยว่ามีเนื้อร้ายที่เกิดจากเซลล์สร้างเมือก หรือ “อะดีโนคาร์ซิโนมา” (adenocarcinoma) ซึ่งปัจจุบันมะเร็งปอดชนิดหลังนี้พบได้บ่อยที่สุด ทั้งในกลุ่มคนที่สูบและไม่สูบบุหรี่
มะเร็งปอดชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมานั้น มักจะถูกตรวจพบเมื่อเติบโตลุกลามไปเป็นมะเร็งระยะท้าย ๆ แล้ว ซึ่งนพ.วิกกิ อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า “ถ้าเนื้อร้ายที่ซ่อนอยู่ในปอด ยังมีขนาดเล็กเพียง 1 ซม. มันจะไม่แสดงอาการให้คุณได้รู้เลย” ส่วนอาการนำในเบื้องต้นอย่างเช่นการไอตลอดเวลา เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หรือหอบแบบมีเสียงหวีด จะปรากฏชัดก็ต่อเมื่อมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือแพร่ลามไปยังส่วนอื่นของร่างกายแล้ว นอกจากนี้ความเชื่อเก่าที่ว่า มะเร็งปอดจะเกิดได้กับคนที่สูบบุหรี่เท่านั้น ยังทำให้คนที่ไม่เคยสูบบุหรี่คิดว่าอาการผิดปกติของตนเองมาจากโรคชนิดอื่น “ดังนั้นคนที่ไม่สูบบุหรี่ส่วนใหญ่ จึงมักจะได้รับการวินิจฉัยเอาเมื่อตอนที่มะเร็งลุกลามถึงระยะ 3 หรือ 4 ไปแล้ว” นพ.วิกกิกล่าว
มะเร็งปอดในกลุ่มคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่ มักเกิดกับผู้หญิงมากเป็นพิเศษ โดยเสี่ยงป่วยเป็นมะเร็งปอดได้สูงกว่าชายที่ไม่เคยสูบบุหรี่ถึงกว่า 2 เท่า สาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มป่วยมะเร็งปอดมากกว่า นอกจากความแตกต่างทางกายวิภาคและสภาพแวดล้อมแล้ว ปัจจัยทางพันธุกรรมก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยผู้หญิงเชื้อสายเอเชียนั้น มีอัตราการกลายพันธุ์ของยีน EGFR สูงกว่าชาติพันธุ์อื่น
เซลล์มะเร็งปอดของคนที่ไม่สูบบุหรี่นั้น มีการกลายพันธุ์หลายแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งการกลายพันธุ์เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เซลล์เจริญเติบโตอย่างผิดปกติ จนกลายเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งไปในที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลายพันธุ์ของยีน Epidermal Utter Component Receptor หรือ EGFR ซึ่งเป็นโปรตีนบนผิวเซลล์ที่ช่วยควบคุมการเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์
ส่วนสาเหตุที่พบการกลายพันธุ์ของยีน EGFR บ่อยครั้งในสตรีชาวเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้หญิงเชื้อสายเอเชียตะวันออกนั้น แพทย์และนักวิจัยยังไม่ทราบถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้อย่างแน่ชัด แต่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในงานวิจัยบางชิ้นชี้ว่า ฮอร์โมนเพศของสตรีอาจมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เพราะการกลายพันธุ์ของยีน EGFR สามารถส่งผลกระทบต่อการเผาผลาญหรือเมตาบอลิซึมของฮอร์โมนเอสโตรเจน จนพบกรณีมะเร็งปอดที่มาจากการกลายพันธุ์ของยีนตัวนี้สูงในหมู่สตรีชาวเอเชีย
หลังทราบถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ของมะเร็งปอดในกลุ่มคนไม่สูบบุหรี่ แวดวงอุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ ได้เร่งคิดค้นยาที่สามารถยับยั้งการทำงานของโปรตีน EGFR ออกมา โดยยากลุ่มนี้ตัวแรกได้เริ่มวางตลาดตั้งแต่เมื่อราว 20 ปีก่อน ซึ่งทั่วไปแล้วก็ได้ผลในการรักษาโรคมะเร็งปอดเป็นอย่างดี แต่ผู้ป่วยหลายคนเกิดการดื้อยาของเซลล์มะเร็งตามมาในภายหลัง จนเกิดเนื้อร้ายงอกขึ้นใหม่ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้ต้องมีการพัฒนายาตัวใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งเพิ่งวางตลาดไปเมื่อไม่นานมานี้
“ปัจจุบันผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดที่ยีน EGFR กลายพันธุ์ ส่วนมากจะรอดชีวิตอยู่ได้นานขึ้นกว่าเดิมหลายปี เรามีแม้กระทั่งผู้ป่วยที่รักษาตัวด้วยยามุ่งเป้ามานานกว่า 10 ปีแล้ว นี่คือความก้าวหน้าครั้งใหญ่ เมื่อเทียบกับอัตราการรอดชีวิตโดยเฉลี่ยเมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะอยู่ได้ไม่ถึง 12 เดือน” นพ.วิกกิกล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Photos
เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ไม่สูบบุหรี่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาเตือนว่า ควรมีมาตรการป้องกันให้กับประชากรกลุ่มนี้ เพื่อไม่ให้เผชิญปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคร้ายแรง ตัวอย่างเช่นมีงานวิจัยที่ค้นพบว่า การได้รับเรดอน (Rn) ก๊าซเฉื่อยที่เป็นธาตุกัมมันตรังสี รวมทั้งการสูดดมควันบุหรี่มือสอง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอดให้กลุ่มผู้ไม่สูบบุหรี่อย่างมาก นอกจากนี้พ่อครัวแม่ครัวที่สูดดมควันจากการหุงต้มอาหาร รวมทั้งใช้เตาถ่านหรือฟืนในห้องที่ระบายถ่ายเทอากาศได้ไม่ดี ก็เสี่ยงจะเป็นโรคมะเร็งปอดได้ ซึ่งกลุ่มผู้หญิงที่เป็นแม่บ้าน มีโอกาสจะได้รับมลภาวะทางอากาศภายในตัวอาคารแบบนี้มากเป็นพิเศษ
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม มลภาวะทางอากาศในที่โล่งแจ้งนอกตัวอาคาร ถือเป็นปัจจัยที่มีส่วนสำคัญมากกว่าในการก่อมะเร็ง โดยเป็นสาเหตุของมะเร็งปอดทุกชนิดที่พบบ่อยเป็นอันดับสอง รองลงมาจากการสูบบุหรี่ ผลการศึกษาในอดีตพบว่า คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มลพิษทางอากาศสูง มีแนวโน้มจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดมากกว่าผู้อื่น โดยอนุภาคฝุ่นละเอียดที่เรียกว่า PM2.5 ซึ่งพบได้ในไอเสียจากยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลนั้น มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องอย่างมาก กับโรคมะเร็งปอดที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีน EGFR ในกลุ่มคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่
ที่สถาบันฟรานซิสคริก (FCI) ในกรุงลอนดอน มีการศึกษาวิจัยเพื่อค้นหาว่า มลภาวะทางอากาศกระตุ้นให้เกิดมะเร็งปอดในคนที่ไม่สูบบุหรี่ได้อย่างไร โดยดร.วิลเลียม ฮิลล์ นักวิจัยระดับหลังปริญญาเอก ผู้เชี่ยวชาญประจำห้องปฏิบัติการความไม่เสถียรของจีโนมและวิวัฒนาการของมะเร็ง ในสังกัดของสถาบัน FCI บอกว่า “เมื่อเอ่ยถึงสารก่อมะเร็งในสิ่งแวดล้อม เรามักจะคิดถึงสารที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในดีเอ็นเอ อย่างเช่นควันบุหรี่ แต่ผลการศึกษาของเราที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2023 สันนิษฐานว่า PM2.5 ไม่ได้ทำลายดีเอ็นเอโดยตรง แต่ไปปลุกเซลล์กลายพันธุ์ในปอดที่สงบนิ่งอยู่ให้ตื่นขึ้น จนมันกลายเป็นเซลล์มะเร็งในระยะเริ่มต้น”
ผลการทดลองพบว่า เซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกายชนิด “มาโครฟาจ” (macrophage) จะรับเอามลพิษทางอากาศเข้าไป แม้ตามปกติแล้วเซลล์พวกนี้จะคุ้มกันปอดโดยทำหน้าที่กินเชื้อโรค แต่เมื่อเจอเข้ากับ PM2.5 เซลล์มาโครฟาจจะปลดปล่อยสารเคมีส่งสัญญาณที่เรียกว่าไซโตไคน์ (cytokine) ออกมา ซึ่งสารนี้จะปลุกเซลล์ที่มียีน EGFR กลายพันธุ์ให้ตื่นขึ้น และเริ่มต้นกระบวนการแบ่งตัวเจริญเติบโตอย่างผิดปกติ
ดร.ฮิลล์บอกว่า “มะเร็งปอดในคนที่ไม่สูบบุหรี่จะเกิดขึ้นได้ ผู้ป่วยต้องมีพร้อมทั้งสองปัจจัย คือมียีนกลายพันธุ์และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยมลพิษทางอากาศ” เขายังบอกว่า การศึกษาทำความเข้าใจกลไกข้างต้นอย่างลึกซึ้ง อาจนำไปสู่การค้นพบวิธีใหม่ที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งปอดได้
การค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างมลพิษในอากาศกับโรคมะเร็งปอด ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะในงานวิจัยชิ้นสำคัญที่พบความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องระหว่างการสูบบุหรี่กับมะเร็งปอด เมื่อปี 1950 ได้มีการเสนอแนะแล้วว่า มลภาวะนอกตัวอาคารซึ่งเกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ก็น่าจะทำให้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงนี้ได้เช่นกัน ผลวิจัยนี้ทำให้นโยบายของรัฐในอดีต มุ่งสนใจแต่จะควบคุมจำกัดการสูบบุหรี่ แต่กว่าที่พวกเขาจะหันมาสนใจปัญหามลภาวะทางอากาศ เวลาก็ได้ล่วงเลยไปอีกถึง 75 ปีหลังจากนั้น
ระดับความรุนแรงเข้มข้นของมลภาวะทางอากาศในสหรัฐฯและยุโรป ได้เริ่มบรรเทาเบาบางลงในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา แต่ถึงกระนั้น สถิติผู้ป่วยมะเร็งปอดกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก “มันอาจต้องใช้เวลาอีก 15-20 ปี กว่าที่เราจะเห็นถึงผลของความเปลี่ยนแปลงในแง่นี้ แต่เราก็ยังไม่อาจจะแน่ใจได้” พญ.คริสทีน เบิร์ก จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวแสดงความเห็น
“นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยเรื่องความไม่แน่นอนในอนาคต อย่างเช่นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจทำให้เกิดไฟป่าและมลภาวะทางอากาศที่มี PM2.5 ในระดับสูง ในบางพื้นที่ของอเมริกาได้ ผลวิจัยในอดีตที่ผ่านมาอย่างน้อยหนึ่งชิ้น ได้แสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้อง ระหว่างอุบัติการณ์ของไฟป่าขนาดใหญ่กับจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดที่พุ่งสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยหันไปหาทางเลือกอื่นที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงอย่างถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อชะลอภาวะโลกร้อนและปรับปรุงคุณภาพอากาศ”

ที่มาของภาพ : Alamy
เมื่อปี 2021 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ปรับเปลี่ยนเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพอากาศ โดยปรับลดค่าเฉลี่ยของฝุ่น PM2.5 ที่ควรจะเป็นในแต่ละปี ให้ต่ำลงมาถึงครึ่งหนึ่งของระดับที่เคยแนะนำในอดีต ซึ่งหมายความว่าองค์การอนามัยโลกเข้มงวดกวดขันกับปัญหาอนุภาคฝุ่นละเอียดมากขึ้น “แต่ 99% ของประชากรโลก ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีมลภาวะทางอากาศสูงเกินกว่าเกณฑ์ใหม่นี้” หลัว ก่านเฟิง นักวิจัยระดับหลังปริญญาเอก ขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยมะเร็ง (IARC) ที่เมืองลียงของฝรั่งเศสกล่าว
งานวิจัยล่าสุดของ IARC ประมาณการว่า ในปี 2022 มีผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมาถึง 194,000 รายทั่วโลก ที่ล้มป่วยเนื่องจากได้รับฝุ่น PM2.5 โดยพบมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ประเทศจีน
จำนวนของผู้ป่วยมะเร็งปอดจากมลภาวะทางอากาศในอนาคต อาจพุ่งสูงขึ้นอีกในบางประเทศอย่างเช่นอินเดีย ซึ่งในตอนนี้องค์การอนามัยโลกระบุว่า แดนภารตะเป็นชาติที่มีมลภาวะทางอากาศในระดับสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก โดยในกรุงนิวเดลีมีค่าเฉลี่ยของ PM2.5 สูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อตารางเมตร ซึ่งมากกว่าระดับมาตรฐานขององค์การอนามัยโลกถึง 20 เท่า
ในส่วนของสหราชอาณาจักร รายงานของ IARC ระบุว่า มีผู้ป่วยมะเร็งปอดชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา 1,100 คน ในปี 2022 โดยคนกลุ่มนี้ล้มป่วยเนื่องจากได้รับมลภาวะทางอากาศ “แต่ใช่ว่าทุกคนในกลุ่มนี้ จะเป็นผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ไปเสียทั้งหมด” แฮร์เรียต รัมเกย์ นักระบาดวิทยาที่เป็นสมาชิกทีมวิจัยของ IARC กล่าว เธอยังบอกว่ามะเร็งปอดชนิดอะดีโนคาร์ซิโนมา พบได้ในคนที่สูบบุหรี่เป็นประจำเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้นิยมสูบบุหรี่มีก้นกรอง “แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เรายังไม่ทราบชัดและต้องศึกษาต่อไป ตัวอย่างเช่นคำถามที่ว่า คุณต้องได้รับมลพิษทางอากาศนานแค่ไหน ถึงจะป่วยเป็นมะเร็งปอดได้”
นพ.วิกกิกล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า ความก้าวหน้าทางการแพทย์ทำให้วิธีรักษามะเร็งปอดในกลุ่มคนที่ไม่สูบบุหรี่ กำลังพัฒนาไปไกลขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น “ผมคาดการณ์ได้ว่า ในอนาคตมะเร็งชนิดนี้จะสามารถพบได้ทั่วไปมากที่สุด ทั้งที่ในอดีตผู้คนคิดว่ามันคือโรคของชายแก่สิงห์อมควันเท่านั้น อุบัติการณ์ของโรคดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของมันในวัฒนธรรมประชานิยมไปอย่างสิ้นเชิง แต่น่าเสียดายที่ความเข้าใจผิด คิดว่าผู้ป่วยมีส่วนรับผิดชอบในการทำร้ายสุขภาพของตนเอง ยังคงแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน”
สำหรับมาร์ธาที่ป่วยมะเร็งปอดเพราะยีน EGFR กลายพันธุ์ เธอได้รับยายับยั้งการทำงานของยีนดังกล่าวมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว “แน่นอนว่ามันไม่ใช่วิตามิน” มาร์ธากล่าว เธอบอกว่ายามีผลข้างเคียงที่รุนแรงหลายอย่าง ทั้งอาการอ่อนเพลียเหนื่อยล้าเรื้อรัง ปวดกล้ามเนื้อ และก่อปัญหาโรคผิวหนัง แต่การบริหารความเสี่ยงให้เกิดสมดุลระหว่างข้อดีและข้อเสียของยา เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีพอสมควรนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เสมอไป
“อย่างไรก็ตาม ยานี้ใช้ได้ผลนะ ส่วนที่คนมองกันว่าโรคนี้เป็นแล้วจะต้องเสียชีวิตเท่านั้น ความคิดแบบนี้กำลังเปลี่ยนไป และนั่นถือเป็นสิ่งที่ดี” มาร์ธากล่าว
ที่มา BBC.co.uk