
1 ชม. ในห้องพิจารณาคดีศาลฎีกาฯ ไต่สวนนัดแรกกรณี “ชายชั้น 14”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
- Writer, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
- Position, ผู้สื่อข่าว.
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการไต่สวน “คดีชั้น 14” โดยมีผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครคนปัจจุบันขึ้นไต่สวนเป็นปากแรก และยังมีคำสั่งให้หมายเรียกพยานรวม 20 ปากมาไต่สวน 3 นัดแรก จากนัดไต่สวนทั้งหมด 6 นัดในเดือนหน้า
ห้องพิจารณาคดีที่ 1 ภายในศาลฎีกาฯ สนามหลวง เต็มไปด้วยผู้คนตั้งแต่เช้า เนื่องจากวันนี้ (13 มิ.ย.) ศาลนัดพร้อมหรือนัดไต่สวนคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 หรือที่รู้จักในชื่อ “คดีชั้น 14”
ภายในห้องแบ่งเก้าอี้ออกเป็น 6 แถว แยกที่นั่งของฝ่ายโจทก์ จำเลย พยาน สื่อมวลชน และผู้สังเกตการณ์
ฝ่ายโจทก์คือ อัยการสูงสุด (อสส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) มาศาล
ฝ่ายจำเลยคือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มาศาล แต่แต่งตั้งนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความผู้รับมอบอำนาจ เข้าร่วมกระบวนพิจารณาแทน
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
End of ได้รับความนิยมสูงสุด
ศาลฎีกาฯ ตั้งองค์คณะ 5 คน เพื่อไต่สวนการบังคับโทษจำคุกแก่นายทักษิณ เมื่อครั้งเป็นนักโทษเด็ดขาดชาย (น.ช.) โดยเขาถูกส่งตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 ในระหว่างเดือน ส.ค. 2566-ก.พ. 2567
การเปิดศาลไต่สวนคดีนี้เกิดขึ้น “เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า อาจมีการบังคับตามคำพิพากษาที่ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้ ศาลย่อมมีอำนาจในการไต่สวน และมีคำสั่งตามที่เห็นสมควร”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
เวลา 09.10 น. เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ร่วมคณะมาพร้อมกับนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้รับแจ้งให้ออกจากห้องพิจารณา คงเหลือเจ้าหน้าที่อยู่กับเขาเพื่อคอยช่วยหยิบจับ-หาเอกสารเพียง 1 คน ไม่นานหลังจากนั้น ผบ.เรือนจำ วัย 54 ปีก็ย้ายไปนั่งประจำที่ที่ “คอกพยาน”
เมื่อทุกฝ่ายพร้อม ผู้พิพากษาทั้ง 5 คนก็ออกนั่งบัลลังก์ในเวลา 09.40 น.
ต่อไปนี้คือบรรยากาศและสาระสำคัญที่.สรุปได้ ตลอดระยะเวลา 1 ชม. ที่ร่วมรับฟังการไต่สวนพยานปากแรกคดีชั้น 14
เรียกประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศของทักษิณ
แม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่งเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงให้ศาลทราบตามคำสั่งก่อนหน้านี้แล้ว แต่ศาลระบุว่า “มีคำถามต้องถามเพิ่ม” และยังอธิบายสาเหตุที่ต้องให้เจ้าหน้าที่เรือนจำคนอื่น ๆ ออกจากห้องไป เพราะศาลไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ถามจะเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่เหล่านั้นหรือไม่ จึงอนุญาตให้เฉพาะคนที่มาช่วยเหลือพยานเท่านั้น
ก่อนเบิกความต่อศาล นายมานพ ชมชื่น กล่าวสาบานตนว่าจะให้การด้วยความสัตย์จริง
จากนั้นศาลเริ่มกระบวนการด้วยการสอบถามข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับตัวพยาน ในจำนวนนี้คือช่วงเวลาที่เข้ารับตำแหน่ง ซึ่งตรงกับ 20 พ.ย. 2567 (ภายหลังเกิดกรณีชั้น 14 แล้ว) อำนาจหน้าที่รับผิดชอบ รวมถึงขั้นตอนการปฏิบัติของเรือนจำหลังรับตัวนายทักษิณเมื่อ 22 ส.ค. 2566 โดยศาลให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการรับมอบ “ประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศ” ก่อนสั่งให้ส่งเอกสารนี้ให้ศาลภายใน 15 วัน
ศาล: ตอนนี้มีเอกสารประวัติการรักษาจากต่างประเทศอยู่ที่เรือนจำไหม
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: ไม่มีเอกสาร
ศาล: ไปไหนหมด
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: ผมเพิ่งมารับตำแหน่ง
ศาล: ศาลจะให้เรือนจำไปตรวจสอบ ถ้ามีให้ส่งมาที่ศาล ถ้าไม่พบก็ให้แจ้งมาด้วย

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
เขียนใบส่งตัวล่วงหน้า
ศาลซักต่อถึงการตรวจร่างกายของจำเลยว่าใครคือผู้ตรวจร่างกาย บันทึกผลอย่างไร และใครส่งตัวจำเลยไปรักษายังสถานพยาบาลนอกเรือนจำ ซึ่งนายมานพขอตอบตามเอกสาร ระบุว่า พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ คือผู้ตรวจร่างกายและประเมินให้ความเห็นไว้ว่า สามารถส่งตัวจำเลยไปรักษาต่อเนื่องใน รพ. ที่มีศักยภาพสูงกว่าในเวลาปกติได้ โดยเขียนไว้ในใบรับรองว่า “ผู้ต้องขังมีอาการความดันสูง เป็นโรคหัวใจ โรคกระดูกทับเส้นประสาท และอยู่ในกลุ่ม 608 ซึ่งสามารถดูอาการที่เรือนจำได้ แต่หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถส่งตัวไปรักษายัง รพ.ภายนอกได้”
ศาล: เป็นการเขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้าหรือ
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: เขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า ถ้าเกิดกรณีฉุกเฉินก็ส่งตัวได้
ศาล: ตอนที่พยานเข้ารับตำแหน่ง ผบ.เรือนจำแล้ว มีกรณีการเขียนและใช้ใบส่งตัวไว้ล่วงหน้าหรือไม่
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: ส่วนใหญ่จะเป็นพัศดีเวร ไม่ได้มาถึง ผบ.
ศาล: ไม่มีรายงานมาเลยหรือ
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: ไม่มี
ศาล: แต่การเขียนใบส่งตัวล่วงหน้าถือเป็นเรื่องปกติหรือไม่
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: ผมไม่ได้ตาม หมอจะเขียนเอาไว้

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
จากนั้นศาลถามต่อถึงบทบาทการรักษาผู้ป่วยของสถานพยาบาลในเรือนจำ กับทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งนายมานพอธิบายว่า สถานพยาบาลในเรือนจำมีเพียงพยาบาล 1 คนที่ต้องดูแลผู้ต้องขัง 4,000 คน ไม่มีแพทย์ประจำและวินิจฉัยโรคเบื้องต้น ส่วนทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ คืออีกส่วนที่แยกออกไป เป็นเหมือน “แม่ข่าย” มีแพทย์ประจำ โดยมีรั้วติดกับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ห่างไปราว 300 ม. แม้เป็น รพ. แต่ยังถือว่าเป็นเรือนจำ เพราะมีลูกกรง ไม่เหมือน รพ.ทั่วไป และไม่รับรักษาบุคคลภายนอก รับเฉพาะผู้ต้องขังเท่านั้น
ในช่วงที่เขามาเป็น ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีทั้งการส่งผู้ต้องขังไปรักษาที่ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ และ รพ.ภายนอก เช่น กรณีเป็นผู้ป่วยมะเร็งต้องให้คีโม “แต่ส่วนใหญ่ไป รพ.ราชทัณฑ์ก่อนทุกกรณี จากนั้นก็ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ ซึ่งต้องขออนุญาตจาก ผบ.เรือนจำ หรือพัศดีก่อนแล้วแต่กรณี”
แล้วกรณีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคนอื่น ๆ เคยส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำหรือไม่ ศาลถามต่อ นายมานพปฏิเสธว่าไม่ทราบ
ศาลถาม “เขาป่วยเป็นอะไรกันแน่”
ศาลพยายามซักต่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันส่งตัวนายทักษิณออกจากเรือนจำ ไปที่ รพ.ตำรวจ
ศาล: ก่อนส่งตัวไป รพ. เขาป่วยเป็นอะไรกันแน่
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: ผมขอตอบตามเอกสาร วันที่ 22 ส.ค. 2566 จากการตรวจติดตามอาการ พบว่า นายทักษิณมีอาการความดันโลหิตสูง ค่าออกซิเจนในเลืoดต่ำ นอนไม่หลับ ประกอบกับมีอาการแน่นหน้าอก
ศาล: อาการแบบนี้ส่ง รพ. ในเวลาปกติตามเวลาราชการไม่ได้หรือ
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: ไม่ได้ เพราะเราต้องรักษาชีวิตผู้ป่วยไว้ก่อน
ศาล: ในเมื่อสถานพยาบาลเรือนจำไม่มีแพทย์ แล้วแพทย์วินิจฉัยทางไหนถึงให้ส่งตัวไป รพ. นอกเรือนจำ
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: พยาบาลได้โทรประสานปรึกษาแพทย์ประจำทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ เพื่อปรึกษาว่าอาการเป็นแบบนี้ ๆ
ศาล: แสดงว่าคืนนั้นไม่มีการส่งตัวไป ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ก่อน
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: ใช่ครับ
ศาล: ถ้าเอาตามที่พยานพูดคือมีการเขียนใบส่งตัวเอาไว้ล่วงหน้า แล้วอาการมันตรงกับใบส่งตัวพอดี
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: ผมไม่ทราบ
ศาล: วันนั้นหมอเขียนว่าป่วยด้วยโรคอะไร
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: ไม่ทราบ เพราะผมไม่เห็นใบส่งตัว
ศาล: การส่งตัวตามมาตรา 55 ของ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พยานเข้าใจความหมายว่าอย่างไร
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ (นิ่งคิดพักใหญ่): เมื่อมีคนป่วย ให้ตรวจจากแพทย์ก่อนส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำ
ศาล: แต่ผู้ป่วยกรณีนี้ไม่ได้ไปทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ก่อน
ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ: ตอบตามเอกสาร ใช่ครับ

ที่มาของภาพ : Reuters
เรียกเอกสารเบิกค่าอยู่เวรจาก “ผู้คุม” คนชั้น 14
ศาลยังสอบถาม ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วยว่าจบนิติศาสตร์มาหรือไม่ ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้จบสาขานี้มา ก่อนที่ศาลจะตั้งคำถามว่า ตั้งแต่เป็น ผบ.เรือนจำ มีการส่งตัวผู้ต้องขังป่วยไปรักษาตัวนอกเรือนจำโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบ้างหรือไม่ หรือใช้กฎกระทรวงปี 2563 ซึ่งออกตามความใน พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ และพยานทราบความแตกต่างของการอาศัยอำนาจตามกฎหมายแต่ละฉบับหรือไม่
นายมานพเบิกความว่า การส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกสถานที่อาศัยกฎกระทรวง และไม่ทราบความหมายของคำว่า “โรคเฉพาะด้าน” ที่ระบุไว้ในกฎกระทรวงว่าหมายถึงโรคอะไรกันแน่ อาจเป็นโรคจิต โรคมะเร็ง แต่ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
นอกจากนี้ยังมีคำถามเรื่องการควบคุมตัวนายทักษิณขณะอยู่ที่ รพ.ตำรวจ ซึ่งนายมานพชี้แจงว่า มีเจ้าหน้าที่เป็นผู้คุม 4 นาย สลับกันเฝ้า 2 กะคือ เวลา 08.30-16.30 น. และเวลา 16.30-08.30 น. โดยมีหลักฐานการเข้าเวรในสมุดบันทึกประจำวัน และเอกสารการเบิกค่าอยู่เวร ศาลจึงสั่งให้ส่งเอกสารให้ศาลภายใน 15 วัน
ศาลยังยกระเบียบราชทัณฑ์ที่ห้ามมิให้ผู้ต้องขังอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ต้องขังอื่นมาสอบถาม นายมานพระบุว่า เคยมีกรณีการแยกห้องควบคุมตัวบ้าง เช่น เป็นวัณโรค โรคติดต่อร้ายแรง โรคจิต
เรียกไต่สวนพยานเพิ่ม 20 ปาก
การไต่สวนของศาลเสร็จสิ้นในเวลา 40 นาที โดยมีผู้พิพากษา 3 คนผลัดกันซักถาม
จากนั้นนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ได้แถลงขออนุญาตซักถามพยานเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง 10 คำถาม โดยศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้ถามเพียง 4 ข้อ เพราะบางคำถามเป็นการ “ซักค้านศาล” และบางคำถามปรากฏในเอกสารชี้แจงของผู้เกี่ยวข้องที่ส่งต่อศาลแล้ว อีกทั้งยังมีพยานที่ศาลจะเรียกเข้ามาไต่สวนอยู่แล้ว โดยใช้เวลา 20 นาที
สำหรับคำถามของทนายฝ่ายจำเลยที่ศาลไม่อนุญาตให้ถาม อาทิ เคยมีกรณีผู้ต้องขังป่วยที่ส่งตัวไปรักษาภายนอกเรือนจำ โดยไม่ไปทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ก่อนหรือไม่ ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นการ “ซักค้านศาล” การรับตัวผู้ต้องขังเมื่อ 22 ส.ค. 2566 ที่มีการตรวจสอบร่างกาย พิมพ์ลายนิ้วมือ ซักประวัติ และมาพร้อมหมายจำคุกของศาล ถือเป็นการยืนยันว่าผู้ต้องขังได้รับการบังคับโทษแล้วใช่หรือไม่ ซึ่งศาลบอกว่า “ศาลจะเป็นคนวินิจฉัยเอง”
จากนั้น นายวิญญัติยื่นแถลงขอเสนอพยานบุคคลเพื่อประกอบการแสวงหาข้อเท็จจริงของศาล โดยศาลให้ส่งคำร้องเป็นเอกสารเพื่อให้ศาลพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้เขายังขอปรึกษาและขอความกรุณาจากศาลไม่นัดไต่สวนในเดือน ก.ค. ในวันเดียวกับวันที่นายทักษิณต้องไปขึ้นศาลอาญา คดีกระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่ศาลบอกว่า “เป็นเรื่องที่ทนายจำเลยต้องไปบริหารจัดการ เพราะศาลไม่ได้พูดถึงจำเลยเลย อยากมาก็มา ไม่มาก็ไม่มา” การนัดต้องเอาวันที่ผู้พิพากษาทั้ง 5 คนสะดวกตรงกัน อีกทั้งห้องพิจารณาของศาลฎีกาฯ ก็ไม่ได้มีมาก

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ภายหลังเสร็จสิ้นการไต่สวนพยานปากแรก ศาลได้อ่านรายงานกระบวนพิจารณา โดยนัดไต่สวน 6 นัด ในวันที่ 4, 8, 15, 18, 25, 30 ก.ค. เวลา 09.00 น. พร้อมระบุชื่อพยานที่จะเรียกมา
4 ก.ค. เป็นกลุ่มแพทย์และพยาบาลที่เกี่ยวข้อง ในจำนวนนี้มี พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ ซึ่งถูกแพทยสภาลงโทษด้วยการว่ากล่าวตักเตือน รวมอยู่ด้วย
8 ก.ค. เป็นเจ้าหน้าที่พัศดีและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ อาทิ นายสัญญา วงศ์หินกอง พัศดีเวรประจำเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่ขณะส่งตัวนายทักษิณไป รพ.ตำรวจ
15 ก.ค. เป็นผู้บริหารทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ และผู้บริหารเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในจำนวนนี้มีนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนปัจจุบัน นายนัสที ทองปลาด อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายปราโมทย์ ทองศรี อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ด้วย
นอกจากนี้ศาลยังให้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ส่งรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กรณีชั้น 14 และมติที่ประชุมแพทยสภาเมื่อ 12 มิ.ย. ให้ศาล และสั่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่งใบเบิกค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เข้าเวรควบคุมตัวนายทักษิณที่ รพ.ตำรวจ และประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศที่ราชทัณฑ์ระบุไว้ว่ามีอยู่ แต่ยังหาไม่พบ มายังศาลภายใน 15 วัน
ยก 2 เหตุผล ทักษิณไม่มาศาล
ภายหลังเสร็จสิ้นการไต่สวนโดยเวลารวม 1 ชม. นายวิญญัติเดินออกจากห้องพิจารณาคดี โดยกล่าวกับทนายความอาวุโสที่มาร่วมรับฟังการไต่สวนนัดแรกว่า “เดี๋ยวผมขอโทรรายงานท่านก่อน”
จากนั้นนายวิญญัติให้สัมภาษณ์ว่า เดิมรู้สึกเหมือน “คนตาบอดคลำช้าง” ไม่รู้เลยว่าศาลจะมีกระบวนพิจารณาอย่างไร แต่วันนี้มีความชัดเจนหลายส่วน เมื่อศาลให้ไต่สวนหลายนัด ก็เป็นเรื่องที่ศาลกำลังแสวงหาความจริง ไม่ได้รับฟังกระแสสังคม
อย่างไรก็ตามเขาปฏิเสธจะให้ความเห็นว่าแนวทางทางไต่สวนของศาลฎีกาฯ ในวันนี้เป็นคุณหรือโทษแก่จำเลย แต่ “ขอให้ขีดเส้นใต้ว่านายทักษิณเป็นนักโทษเด็ดขาดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ถึงผ่านการพิจารณาอภัยโทษ จึงได้รับการพิจารณาปล่อยตัว”
ส่วนที่ศาลเรียกเอกสารมติแพทยสภาเมื่อ 12 มิ.ย. ที่สั่งลงโทษ 3 แพทย์รักษาอดีตนายกฯ นั้น นายวิญญัติบอกว่า เป็นเรื่องหมอกับหมอก็ว่ากันไป แต่ยืนยันว่าเป็นคนละประเด็นกับที่ศาลไต่สวน เนื่องจากแพทยสภาไม่เคยปฏิเสธว่านายทักษิณไม่ได้ป่วย มีเพียงเรื่องอาการวิกฤติหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่ประเด็น เพราะในกฎหมายไม่มีคำนี้

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
เช่นเดียวกับการเรียกเอกสารประวัติการรักษาตัวของนายทักษิณในต่างประเทศ ซึ่งทนายความอดีตนายกฯ ระบุว่า “มีแน่นอน” แต่ถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลสุขภาพที่ต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ใครจะเอามาเปิดเผยไม่ได้ และนายทักษิณก็ไม่ยินดีที่จะเปิดเผยหรือให้ใครคัดลอกสำเนา แต่ได้ยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และแพทย์ที่ทำการตรวจร่างกายแล้ว แพทย์บันทึกไว้ในประวัติผู้ป่วย ก่อนคืนประวัติให้เจ้าของ
“ตอนนี้เมื่อศาลต้องการเห็นประวัติและร้องขอให้กรมราชทัณฑ์ส่งให้ ก็ต้องรอดูทางกรมราชทัณฑ์ ซึ่งศาลไม่ได้เรียกจากจำเลย แต่เรียกจากกรมราชทัณฑ์ แต่หากเรียกจากฝ่ายผม ก็ต้องส่งให้ แต่ท่านทักษิณก็สงวนสิทธิ์ไม่ส่งได้” นายวิญญัติกล่าว
ส่วนที่ศาลไม่ได้เอ่ยถึงจำเลย แสดงว่าจะไม่เห็นนายทักษิณปรากฏตัวที่ศาลฎีกาฯ ตลอดการไต่สวนคดีชั้น 14 ใช่หรือไม่ คำตอบจากนายวิญญัติคือ การมาปรากฏตัวหรือไม่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะมอบหมายให้ทนายความทำหน้าที่แทนได้ แต่ถ้ามาปรากฏตัวจะมี 2 ด้านคือ ต้องดูว่าศาลออกหมายเรียกให้มาหรือไม่ และคนจะขยายผลทางการเมืองหรือไม่ และต้องเพิ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ศาลอีก ดังนั้นการมาหรือไม่มา ไม่ใช่ประเด็น
ที่มา BBC.co.uk