แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/fwvf | ดู : 10 ครั้ง
ปมกระแสข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชายังคงระอุอย่างต่อเนื่อง-นับต

ปมกระแสข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชายังคงระอุอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การปะทะที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อ 28 พ.ค.2568 เป็นต้นมา และดูทีท่าน่าจะหาข้อสรุปไม่ได้ง่ายๆ

โดยเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2568 ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความบนสื่อโซเชียลมีเดีย ยืนยันจุดยืนก่อนการประชุมประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่ 6 และนับเป็นการประชุมครั้งแรกในรอบ 12 ปี โดยจะยังร่วมมือกับฝ่ายไทยในการปักปันเขตแดนผ่านกลไก JBC

อย่างไรก็ตาม กัมพูชายืนยันว่าในการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิ.ย.2568 จะไม่มีการพูดคุยเรื่องข้อพิพาทเขตแดนของปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย (ในจังหวัดสุรินทร์) และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต (จ.อุบลราชธานี) เพราะว่าสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภากัมพูชา มีมติเอกฉันท์ส่งเรื่องไปให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ หรือคนไทยเรียกชื่อเล่นว่า ‘ศาลโลก’) และกำลังรอท่าทีของไทยในการประชุม JBC จะร่วมกับกัมพูชาส่งเรื่องข้อพิพาท 4 เขตไปยังศาลโลกหรือไม่ หรือต่อให้ประเทศไทยไม่ยอมรับ ทางกัมพูชาจะดำเนินการยื่นฟ้องที่ศาล ICJ ฝ่ายเดียวในวันที่ 15 มิ.ย.2568

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันนอนยันมาโดยตลอดว่า ประเทศไทยจะหารือข้อพิพาทเขตแดน ผ่านกลไกระบบทวิภาคีอย่าง JBC ควบคู่กับคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และใช้บันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ปี 2543 (MOU43) ซึ่งถือเป็นสนธิสัญญาที่ 2 ประเทศได้ร่วมตกลง และมีผลผูกพันทางกฎหมาย

เมื่อต่างฝ่ายต่างยืนยันการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทดินแดนออกเป็น 2 แนวทางไม่ตรงกัน ทำให้ยากที่จะคาดเดาบทสรุปของแก้ไขปัญหาว่าเป็นอย่างไร หรือกรณีที่กัมพูชา แจ้งว่าจะยื่นเรื่องขึ้นศาลโลกฝ่ายเดียว จะทำให้ศาลโลกมีอำนาจในการพิจารณาปัญหาข้อพิพาทเขตแดนได้หรือไม่ และประเทศไทยจะต้องทำอย่างไร หากยังยืนยันว่าจะแก้ไขปัญหาด้วยกรอบทวิภาคีต่อไป

ประชาไท หอบหิ้วสารพัดคำถาม ร่วมพูดคุยกับ ผศ.ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ อาจารย์ประจำศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศและศูนย์กฎหมายแพ่ง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มาร่วมวิเคราะห์และไขข้อข้องใจในหลายประเด็น กระบวนการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศมีกี่แนวทาง เหตุผลที่กัมพูชาพยายามยื่นเรื่องขึ้นศาลโลกทั้งที่มีวิธีการระงับข้อพิพาทอื่นๆ และการยื่นฟ้องศาลโลกทางเดียวสามารถเป็นไปได้หรือไม่

อาจารย์ธนภัทร ยังได้ร่วมแสดงความคิดเห็น โดยเชื่อว่าสุดท้ายกระบวนการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี หรือ JBC ยังมีประสิทธิผลมากกว่า เนื่องจากการเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ชายแดนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไข ดีกว่าให้ศาลโลกที่ใช้ทรัพยากรทั้งด้านงบประมาณ และระยะเวลาที่สูงมาก

อาจารย์นิติศาสตร์ ยังร่วมแลกเปลี่ยน และมีข้อเสนอถึงรัฐบาลไทย หากยังต้องการใช้กลไก JBC ในการแก้ไขปัญหาพิพาท โดยเฉพาะข้อเสนอด้านการสื่อสารที่ต้องชัดเจน และมีเอกภาพ เพื่อลดการยอมรับอำนาจศาลโลกโดยไม่ตั้งใจ ระมัดระวังเรื่องวาทกรรมชาตินิยม และต้องไม่ลืมเตรียมพร้อมข้อมูลและหลักฐานล่วงหน้า หากไทยถูกบีบให้สู้ในศาลโลก

ธนภัทร ชาตินักรบ

กลไกระงับข้อพิพาทมีกี่แนวทาง ?

ธนภัทร กล่าวว่า เบื้องต้น การระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศทำได้หลายวิธี อ้างอิงตามกฎบัตรของสหประชาชาติ ข้อที่ 33 มีการกำหนดรายละเอียดช่องทางในการระงับข้อพิพาทไว้เยอะมาก ประกอบด้วย

  • กรอบเจรจาแบบทวิภาคี คุยกันสองฝ่ายแล้วจบ อันนี้ง่ายสุด
  • ให้คนกลาง หรือบุคคลที่ 3 เข้ามาไกล่เกลี่ย
  • การประนีประนอม หรือพูดคุยหารือในกรอบที่ใหญ่ขึ้น เช่น กลไกระดับภูมิภาค หรือกลไกความร่วมมือพหุภาคีต่างๆ อย่างกลไกของ ‘อาเซียน’
  • ให้อนุญาโตตุลาการเข้ามาตัดสิน คือการตั้งคนภายนอกเข้ามาตัดสินข้อพิพาท หรือการฟ้องที่สถาบันอนุญาโตตุลาการต่างๆ
  • ท้ายที่สุดถึงจะเป็นกระบวนการยุติธรรมทางศาลระหว่างประเทศ

วิเคราะห์ 4 ประเด็น ทำไม ‘กัมพูชา’ ยื่นศาลโลก

เมื่อเป็นแบบนี้เราจะเห็นว่ากระบวนการศาลฯ มักถูกใช้เป็นกลไกสุดท้าย ดังนั้น คำถามก็คือทำไมกัมพูชาถึงอยากให้ข้อพิพาทปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ เป็นคนพิจารณาในรอบนี้

ธนภัทร เผยว่าเขาลองวิเคราะห์ภาพกว้างๆ ในมุมมองส่วนตัว เบื้องต้นมีประมาณ 4 ประเด็น ประกอบด้วย

ประเด็นที่ 1 กัมพูชาอาจจะอยากได้คำตัดสินที่เป็นผลทางกฎหมาย หมายความว่า ‘ผลทางกฎหมาย’ คือต้องเป็นคำตัดสินที่มีสภาพผูกพัน หรือมีสภาพบังคับทางกฎหมาย ไม่ใช่แค่ว่าการพูดคุยเจรจาแล้วจบ หรือแม้ว่าจะมีการเจรจาจริง แต่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ก็ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ก็จะเป็นเรื่องที่เสียเวลา

ประเด็นที่ 2 กลไกที่ใช้คือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่ประเทศไทยพยายามใช้ แต่กัมพูชาอาจจะมองว่าเป็นกลไกที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง เพราะว่ากลไก JBC มีมานานแล้ว แต่พอมีมานาน และไม่มีการขยับขยายหรือว่าตกลงอะไรกันได้เลย ทำให้กัมพูชามองว่ากลไกนี้อาจจะไม่ได้ผล และประกอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 28 พ.ค.2568 ทำให้กัมพูชามองว่าอาจจะถึงเวลาที่จะต้องยกระดับการระงับข้อพิพาทระหว่างกันขึ้นไปอีก 1 สเต็ป

ประเด็นที่ 3 กัมพูชาอาจจะมองว่าตอนยื่นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกรณีปราสาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2505 และศาลฯ มีคำพิพากษาออกมาแล้วหนหนึ่ง วินิจฉัยว่าตัวปราสาทตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา

หลังจากนั้น เมื่อปี 2556 มีการยื่นให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาอีกครั้งหนึ่ง และเขาก็รู้สึกว่าเขาชนะอีกครั้ง ซึ่งในความเป็นจริงเขาไม่ได้ชนะ เพียงแต่ศาลโลกเอาคำพิพากษาฉบับเดิมมาตีความว่า สิ่งที่คุยเมื่อปี 2505 มีคำวินิจฉัยว่าอย่างไรเท่านั้น

“ตรงนี้เหมือนในแง่ของภาพลักษณ์มากกว่า ในอดีตเขาเคยชนะ ดังนั้น ถ้าปัจจุบันเขาจะอ้างถึงคือข้อพิพาทเขตแดนในอดีต เขาอาจจะได้ฐานเสียงจากพลเมืองและประชาชนของเขา” ธนภัทร กล่าว

ประเด็นที่ 4 คือ เขามั่นใจในหลักฐานที่จะใช้ยื่นศาลฯ รอบนี้ คือเอกสารตั้งแต่สมัยที่กัมพูชาเคยตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส และเอกสารจำนวนมากเป็นการตกลงกันระหว่าง ‘สยาม’ และ ‘ฝรั่งเศส’ ในนามของกัมพูชา เขาเชื่อว่าจะสามารถนำเอาเอกสารจากสมัยยุคอาณานิคมมาใช้ในการยื่นศาลครั้งนี้ได้ โดยเฉพาะตัวแผนที่ 1: 200,000 ที่จัดทำโดยฝรั่งเศส อาจจะทำให้เขาได้เปรียบ

“ต้องบอกว่าแผนที่ 1: 200,000 มันเคยถูกปัดตกไปในกรณีเขาพระวิหารเมื่อปี 2505 แต่ในปี 2556 ที่ศาลมีคำพิพากษาตีความอีกรอบ แล้วดันไปอ้างถึงตัวแผนที่ฉบับเดิมทั้งที่ศาลในอดีตเคยปัดตกไป ดังนั้น เขา (กัมพูชา) เลยมองว่าแผนที่ฉบับนี้อาจมีผลในอนาคต และอาจจะใช้เป็นฐานในการฟ้อง โดยมีแบ็กอัปข้างหลังเป็นฝรั่งเศส” ธนภัทร กล่าว

(ซ้าย) ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พบปะ (ขวา) เอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส (ภาพจากประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส)

ศาลรับพิจารณาหรือไม่ หากกัมพูชายื่นฝ่ายเดียว

จากกรณีที่มีการถกเถียงว่าหากกัมพูชายื่นฟ้องศาลโลกกรณี 3 ปราสาท บวก 1 พื้นที่ เพียงฝ่ายเดียว โดยที่ไทยไม่ได้ประกาศยอมรับอำนาจศาลนั้น ศาลโลกจะสามารถรับวินิจฉัยกรณีนี้ได้หรือไม่

ธนภัทร เกริ่นให้ฟังก่อนว่าโดยปกติการนำเรื่องขึ้นอยู่ศาลโลกทำได้โดยทางเลือกปกติ 3 วิธี และทางเลือกเสริม 2 วิธี

  • การให้ความยินยอมล่วงหน้า ตามข้อกำหนดธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มาตรา 36(2) คือการให้ความยินยอมโดยอัตโนมัติล่วงหน้าว่า หากมีข้อพิพาทเกี่ยวกับสนธิสัญญาหรือกฎหมายระหว่างประเทศ ศาลจะมีเขตอำนาจพิจารณาทันทีโดยไม่ต้องตกลงกันเป็นรายกรณีไป ในอดีตประเทศไทยเคยให้ความยินยอมไว้ แต่มาถอนออกในช่วงคดีเขาพระวิหาร เมื่อปี 2505 ทำให้ช่องทางนี้ใช้ไม่ได้แน่นอน
  • การตกลงเฉพาะเรื่อง หมายความว่า รัฐพิพาท 2 ประเทศเกิดทะเลาะกัน และหาข้อยุติไม่ได้ ทั้ง 2 ประเทศเลยตัดสินใจส่งเรื่องไปให้ศาลโลกพิจารณา กรณีนี้สามารถทำได้ และกัมพูชาพยายามใช้วิธีการนี้อยู่ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าเขาพยายามส่งหนังสือมาคุยกับไทยว่า ให้ไทยไปศาลโลกเถอะเพื่อที่จะเจรจา แต่ก็ขึ้นอยู่กับฝั่งไทยว่าจะตัดสินใจไปหรือไม่
  • การให้ความยินยอมผ่านสนธิสัญญา เกิดจากกรณีที่ไทยเคยไปเซ็นสนธิสัญญาไว้ในอดีต และสนธิสัญญาฉบับนั้นระบุข้อความว่า ‘ถ้ามีข้อพิพาทระหว่างกัน ให้นำเรื่องขึ้นศาลโลกพิจารณา’ ซึ่งในประเด็นนี้ประเทศไทยค่อนข้างรัดกุม เพราะว่าประเทศไทยจะทำข้อสงวนว่า ‘ไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลก’ ไว้ในสนธิสัญญาประเภทนี้ เว้นเสียแต่ว่า สนธิสัญญาบังคับเลยว่าถ้าจะเข้าร่วมสนธิสัญญาต้องยอมรับขอบเขตอำนาจของศาลโลก ซึ่งไทยก็แค่ไม่เข้าร่วมสนธิสัญญาเท่านั้น ทำให้ช่องนี้ใช้ไม่ได้เช่นกัน

2 ช่องทางพิเศษขึ้นศาลโลก

ตามวิธีการที่กล่าวมาข้างต้น ธนภัทร เชื่อว่า วิธีการที่ 2 เป็นไปได้มากที่สุด แต่ว่าไทยก็คงไม่ยอม อย่างไรก็ตาม ยังมีทางเลือกพิเศษอีก 2 ทางด้วยกัน ในการนำเรื่องขึ้นศาลโลก

  1. “Discussion board Prorogatum” (ฟอรัมโปรโรกาทัม) เป็นการฟ้องไปก่อน ประเทศไทยไม่ยินยอมไม่เป็นไร แต่ถ้ายินยอมภายหลัง ศาลโลกก็มีขอบเขตอำนาจในการพิจารณา ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเวลายื่นฟ้องศาลระหว่างประเทศ สิ่งแรกที่จะพิจารณาคือศาลมีขอบเขตอำนาจหรือเปล่า ถ้าศาลไม่มีเขตอำนาจ คดีก็จะตกไป

“มันมีประเด็นนิดหนึ่งที่ว่า ถ้าสมมติว่ากัมพูชายื่นฟ้อง และประเทศไทยตัดสินใจว่าไม่ได้มีการแสดงออกอะไร แต่ยื่นคำให้การไปยังศาล หรือแต่งตั้งทนายไปสู่กลไกการศาล มันอาจจะพอถือได้ว่าเป็นการให้ความยินยอมโดยอัตโนมัติหรือโดยปริยายไปเลย อันนี้อันตรายมากๆ แต่ถ้าเราไม่ยินยอม ให้เราพูดให้ชัดว่าเราไม่ยินยอม แล้วศาลจะไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณา” อาจารย์นิติศาสตร์ ระบุ

ธนภัทร เผยว่า นับตั้งแต่ที่ศาลโลกตั้งขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน มีการพิจารณาคดีไปแล้ว 190 กว่าคดี แต่มีเพียงประมาณ 10% หรือไม่ถึง 20 คดีเท่านั้นที่มีการใช้ช่องทางนี้ และเกือบ 20 คดีมีแค่ประมาณ 2 คดีที่ฟ้องสำเร็จ หนึ่งในนั้นคือคดีที่ฝรั่งเศสถูกฟ้อง โดยฝรั่งเศสยื่นคำให้การและตั้งทนายความมาสู้คดี ทั้งนี้ ฝรั่งเศสได้ส่งหนังสือไปยังศาลโลกยืนยันให้ศาลมีอำนาจในการพิจารณาคดีเป็นรายกรณีในภายหลัง

ธนภัทร ระบุต่อว่า ช่องทางเสริมที่ 2 ที่กำลังจับตาดูอยู่ว่าเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน คือถ้าจำกันได้ในคดีของปราสาทเขาพระวิหาร ปี 2505 และหลังจากนั้นเราไม่ยินยอมแล้ว แต่กัมพูชายื่นฟ้องได้ใหม่อีกครั้งในปี 2554 และศาลมีคำตัดสินในปี 2556 ภาพอาจจะเหมือนกัมพูชายื่นฟ้องใหม่ แต่ในความเป็นจริงเป็นการยื่นผ่านแผนกหนึ่งของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คือการตีความคำพิพากษาศาลเดิม

สมมติ ศาลโลกมีคำตัดสินในคดีหนึ่งในอดีต แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ศาลโลกเขียน เขียนว่าอย่างไร ซึ่งกรณีนี้ยื่นได้ต่อให้ไม่ได้รับการยินยอมเขตอำนาจศาลแล้ว เพราะถือว่ามันย้อนหลังไปเอาคำพิพากษาในอดีต

ดังนั้น กัมพูชา อาจจะยื่นให้ศาลตีความคำพิพากษาอีกครั้งว่า ฉันไม่แน่ใจว่าคำพิพากษาเขาพระวิหารเดิมมันตีความอย่างไร เขาก็อาจจะใช้ช่องทางนี้ยื่นอีกครั้งอันเดิมได้ ซึ่งคำพิพากษาเดิมอาจจะมีประเด็นเรื่องพื้นที่ที่เขาทะเลาะกันคือ 3 ปราสาท 1 พื้นที่ มันถูกระบุในคำพิพากษาเดิมของปราสาทเขาพระวิหารหรือไม่ ซึ่งตัวเชื่อมในเรื่องนี้คือแผนที่ 1:200,000 แต่จากการไปดูรายละเอียดคำพิพากษาแล้ว ไม่มีการระบุถึงพื้นที่ตรงสามเหลี่ยมมรกต หรือ 3 ปราสาทเลย ดังนั้น คิดว่ากัมพูชาไม่น่าจะใช้ช่องทางนี้ได้ แต่อย่างไรก็ดี ก็ต้องจับตาดูต่อไปว่าทางกัมพูชาจะใช้ช่องทางใดในการยื่นศาลโลก

ระวังการให้ความเห็นต่อสาธารณะ

ธนภัทร ระบุว่า ถ้ารัฐบาลต้องการยืนยันว่าไม่รับอำนาจของศาลโลก มีเรื่องที่ต้องพึงระวังคือการให้ความเห็นในที่สาธารณะของคน 3 กลุ่มนี้ ประกอบด้วย 1. ประมุขของรัฐ  2. นายกรัฐมนตรี หรือหัวหน้าฝ่ายบริหาร และ 3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนอกจาก 3 กลุ่มนี้ ยังมีเอกอัครราชทูตที่ได้รับมอบหมายอำนาจให้ไปปฏิบัติหน้าที่ หรือรัฐมนตรีที่มีการแต่งตั้งเฉพาะเรื่อง

ดังนั้น เพื่อป้องกันการสื่อสารที่อาจจะนำไปสู่การยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโดยไม่ตั้งใจ อาจารย์นิติศาสตร์ จึงมองเรื่องข้อเสนอการสื่อสารของรัฐบาล ต้องมีไม่กระจัดกระจาย และมีเอกภาพออกมาจากคนๆ เดียว

“การพูดควรจะออกมาจากคนเดียว หมายถึงไม่ควรสื่อสารหลากหลาย นายกฯ พูดอะไรไป จะมีผลผูกพันกับประเทศได้ ซึ่งถ้ามันเป็นเนื้อหาลักษณะนี้ เขาน่าจะต้องระวังมากขึ้นแล้วว่า ‘ฉันจะแต่งตั้งทนายไปสู้คดี’ เป็นถ้อยคำที่ค่อนข้างสุ่มเสี่ยง ไม่จำเป็นต้องเป็นถ้อยแถลงความทั่วไป พูดต่อสื่อแบบมีไมค์มาจ่อสัมภาษณ์ แล้วถ่ายออกไป อันนี้ก็อาจจะมีผล” อาจารย์นิติศาสตร์ กล่าว

ธนภัทร กล่าวย้ำว่า นอกจากการระวังเรื่องการสื่อสารยอมรับเขตอำนาจศาลโดยไม่ตั้งใจ แนะนำว่าให้ทำเอกสารส่งไปศาลโลกก็ได้ เพื่อบอกว่าเราไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลอย่างเป็นรูปธรรม

แพทองธาร ชินวัตร (ที่มา: เฟซบุ๊ก Ing Shinawatra)

ชี้แจงเหตุผลให้ชัด ทำไมไม่ไปศาลโลก

ต่อประเด็นที่ว่าถ้าหากประเทศไทยดึงดันปฏิเสธไม่ไปเข้าร่วมกระบวนการพิจารณาข้อพิพาทของศาล ICJ แบบนี้จะกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศหรือไม่ อาจารย์นิติศาสตร์ มองว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการสื่อสารของไทยในการให้เหตุผลไม่รับอำนาจศาลโลก ยกตัวอย่าง ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยไม่พูดอะไรเลย หรือก็คือใช้วิธีนิ่งเฉย ข้อดีของวิธีการนี้คือทำให้เราลดความเสี่ยงในการยอมรับอำนาจศาลโดยปริยายหรือโดยไม่ตั้งใจ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ว่าท่าทีเราเป็นอย่างไร แต่ข้อเสียของมันก็มีเหมือนกัน เช่น กัมพูชาอาจจะเอาเรื่องที่ไทยนิ่งเฉย ไปบอกประชาคมโลกว่าไทยไม่มีความจริงใจในการเข้าร่วมกลไกแบบสันติวิธี ซึ่งกัมพูชาพยายามพูดเรื่องนี้อยู่พอสมควร รวมถึงที่ไปเวทีสหประชาชาติช่วงที่ผ่านมา แต่ไทยใช้วิธีการเงียบกริบ เหมือนไม่มีกรอบในการตั้งรับ ดังนั้น ไทยควรจะยืนยันว่า การแก้ไขปัญหาในระดับทวิภาคีมันเพียงพอในการแก้ไขปัญหา

“อันหนึ่งที่ผมว่าไทยทำดีมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่มันหายไป คือเหตุผลที่เราไม่ไปศาลโลกเพราะว่าเราคิดว่าเราจะใช้กลไกผ่านกรอบทวิภาคีที่เรามีอยู่แล้ว เช่น JBC หรือความร่วมมือชายแดนต่างๆ อันนี้เราพูดต่อสิ เหตุผลที่เราไม่ไปศาลโลก เพราะเราจะใช้กลไกระงับข้อพิพาทที่เป็นกรอบความร่วมมือแบบทวิภาคีมากกว่า แบบนี้มันอาจจะดีกว่ากับการที่เราแบบเฉยๆ ไปเลย หรือว่าเราไม่ทำอะไรเลย” ธนภัทร กล่าว

‘ศาลโลก' ควรเป็นกลไกสุดท้าย

สำหรับอาจารย์จากธรรมศาสตร์ มองว่า การใช้กลไกแบบทวิภาคีที่เปิดโอกาสให้คนในพื้นที่เข้าไปมีส่วนร่วม น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า หรือดีกว่าที่จะไปขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งใช้งบประมาณ และทรัพยากรทุกอย่างมากเกินไป

ธนภัทร มองว่า การยื่นเรื่องไปศาลโลกมีปัญหาเยอะ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายสูง และการใช้ระยะเวลาที่นานมากในการตัดสินคดี ถ้าสังเกตจากทีมกฎหมายของกัมพูชาเรียกว่าแทบจะขนมาทั้งประเทศ งบประมาณจ้างทนายความค่อนข้างสูง ใช้ระยะเวลานาน ถ้าดูจากคดีเขาพระวิหารเมื่อปี 2556 ไทยจ้างทนายความจากต่างประเทศ ต้องใช้เวลาในการทำคดีที่ยาวนาน หลายคดีใช้เวลาเกิน 2-3 ปี ดังนั้น คิดว่าอาจจะใช้กลไกระงับข้อพิพาททีละสเต็ปก่อนดีไหม

ธนภัทร กล่าวว่า การใช้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ข้อดีของการพูดคุยกันในระดับกรอบทวิภาคี คือ 2 ประเทศสามารถตกลงกันบนความเข้าใจบริบทในพื้นที่ร่วมกันได้ หรือกรณีที่เรายังไม่สามารถตกลงแก้ไขข้อพิพาทเรื่องเขตแดน หรือก็คือยังไม่สามารถปักปันเส้นเขตแดนที่ชัดเจน เราอาจจะไปเจรจาในกลุ่มเล็กที่เป็นมิติความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น การค้าเศรษฐกิจชายแดน สาธารณสุข การศึกษา เป็นต้น เพราะเราต้องไม่ลืมว่าคนชายแดนเขาไป-มาหาสู่กัน ใช้บริการโรงพยาบาล การศึกษา และมีเศรษฐกิจชายแดนร่วมกัน หรือถ้ารู้สึกว่ากลไก JBC ยังใช้แก้ไขไม่ได้ เราจะขยับมาใช้กรอบกลไกอาเซียน ให้เข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยกันได้หรือไม่ เพราะว่าอย่างน้อยประธานอาเซียนก็น่าจะมีความเข้าใจบริบทพื้นที่มากกว่า ดีกว่าไปทะเลาะกันที่ศาลโลก

ถ้าสมมติขยับอีกหน่อย กรอบอาเซียนยังไม่สำเร็จ เราสามารถแต่งตั้งคนกลางจากนอกภูมิภาค เป็นบุคคลที่ 3 หรือองค์การระหว่างประเทศ เข้ามาคุยกันได้หรือไม่ เช่น เลขาธิการองค์การสหประชาชาติเข้ามาช่วยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หรือตอนนี้ก็มีบางประเทศเริ่มเสนอตัวเป็นคนกลางระงับข้อพิพาท

“คนชายแดนต้องรู้ดีกว่าคนกุมนโยบายอยู่ที่กระทรวงอยู่แล้ว เราไปฟ้องศาลโลก เรามอบนโยบายให้กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศเองก็ไม่ได้รู้เรื่องชายแดนดีกว่าคนในพื้นที่ ไม่สามารถพูดได้ทุกอย่าง ก็ต้องเป็นคนนอกอยู่ในยุโรป ซึ่งถ้าสังเกตเคสเมื่อปี 2556 (เขาพระวิหาร) ทนายความเป็นฝรั่งหมดเลย เขาต้องมาคลุกอยู่กับเรานานแค่ไหน เจ้าหน้าที่ที่เป็นคนทำนโยบายกระทรวงส่วนกลาง แทนที่เขาจะทำงานหลัก ต้องมาทำงานเรื่องนี้ ถ้าชั่งน้ำหนักข้อได้เปรียบเสียเปรียบต่างๆ ผมยังคิดว่ากลไกด้านทวิภาคีมันน่าจะเวิร์กกว่า” ธนภัทร ย้ำ

การประชุม JBC ที่โรงแรมโซฟิเทล พนมเปญ ครั้งที่ 6 เมื่อ 14 มิ.ย.2568 (ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ)

เสนอรัฐบาลต้องชัดเจน-จริงจัง ระวังเรื่องชาตินิยม

อาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีข้อเสนอถึงรัฐบาล 3 ประเด็น คือ ข้อเสนอด้านกฎหมาย ข้อเสนอด้านการทูต และข้อเสนอด้านการสื่อสาร

ข้อที่ 1 ข้อเสนอด้านกฎหมายที่ต้องเอาใช้ชัดว่าเราจะจัดการข้อพิพาทอย่างไร อย่างเช่น ไทยยืนยันให้ชัดเจนว่าจะไม่ขึ้นศาลโลก โดยอาจจะออกแถลงการณ์ หรือออกจดหมายทางการทูต เพื่อป้องกันการยินยอมโดยปริยาย

นอกจากความชัดเจน รัฐบาลต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้าทั้งด้านเอกสาร หลักฐาน และข้อมูล เพื่อเตรียมรับมือหากเราโดนบีบให้เข้าสู่กระบวนการระงับข้อพิพาทแบบใดก็ตาม ซึ่งถ้าไม่เตรียมตัวเลย อาจเดือดร้อน

ข้อที่ 2 คือข้อเสนอทางการทูต สมมติว่าไม่ขึ้นศาลโลก และเลือกใช้เวทีระดับภูมิภาค อย่างการหารือผ่านกลไก JBC รัฐบาลก็ต้องจริงจังและต่อเนื่อง และค่อยๆ ยกระดับกรอบเจรจาการแก้ไขปัญหาขึ้นไปทีละสเต็ป

อาจารย์นิติศาสตร์ มองว่า สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ วาทกรรมที่ยั่วยุหรือเกี่ยวข้องกับชาตินิยม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาเราเห็นบทบาทความเคลื่อนไหวจากฝั่งกองทัพ เพราะเรื่องนี้เป็นประเด็นอ่อนไหว และอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในวงกว้าง การทะเลาะพื้นที่ชายแดน มันไม่ได้หมายความว่าทุกพื้นที่ต้องทะเลาะเหมือนกันหมด หรือต้องปิดชายแดนขังตัวเองอยู่ในประเทศอย่างเดียว

“ผมไม่เห็นด้วยกับการที่กองทัพ หรือหน่วยงานในสังกัดกองทัพทำภาพ ‘มีม’ ขึ้นมา ทำให้เพิ่มยอดเอนเกจเมนต์ เราต้องระวังมากๆ มันอาจจะนำไปสู่การยั่วยุ ซึ่งจะส่งผลกระทบอื่นๆ ตามมา” อาจารย์นิติศาสตร์ ให้ความเห็น

การสื่อสารสาธารณะต้องรวมศูนย์

“อันนี้สำคัญมาก และเป็นสิ่งที่ประเทศไทยค่อนข้างขาด และ ณ ปัจจุบันก็ยังขาดอยู่ แต่กัมพูชาเขาชัดมาก (เรื่องการสื่อสาร) เราต้องสื่อสารชัดเจน มีระบบ เป็นเอกภาพ ซึ่งตอนนี้เราไม่มีอะไรเลยสักอย่าง”

ธนภัทร กล่าวว่า ข้อที่ 3 คือเป็นข้อเสนอเรื่องการสื่อสารต่อสาธารณชน มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องบูรณาการการทำงานเหมือนช่วงโควิด-19 ทำเป็นกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งในการที่จะสื่อสาร โดยอาจมอบหมายให้ทีมโฆษก หรือกระทรวงการต่างประเทศ รับผิดชอบ เช่น ประเด็นเรื่องชายแดนทั้งหมดต้องมาจากอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิให้ความเห็น หรือฝ่ายทหารไม่ต้องพูด ให้ทุกอย่างมันเป็นเสียงเดียว

นอกจากนี้ อาจารย์นิติศาสตร์ เสนอให้รัฐบาลการสื่อสารอย่างเป็นระบบ จัดทำเอกสารสรุปสถานการณ์ในรอบวัน โดยสื่อสารทั้งประชาชน และสื่อมวลชน และจัดทำเป็นแบบ 2 ภาษา คือภาษาไทย และอังกฤษ เพื่อป้องกันการแปลความหมายผิดพลาด หรือไม่ตรงกัน ซึ่งอาจเป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

สุดท้ายคือการสื่อสารในพื้นที่ระดับชุมชน หรือท้องถิ่น เพื่อให้พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ ป้องกันเรื่องวาทกรรมต่างๆ และความตื่นตระหนกในพื้นที่

การถ่ายทอดสดออนไลน์ การแถลงข่าวสรุปสถานการณ์ของของกระทรวงการต่างประเทศ ประจำวันที่ 14 มิ.ย.2568 (ที่มา: เฟซบุ๊ก กระทรวงการต่างประเทศ Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand)

ใจเย็นไม่ผลีผลาม

ธนภัทร ฝากทิ้งท้ายว่า รัฐบาลต้องมีความใจเย็นในการดำเนินการ มันไม่ควรเร่งขั้นตอนทุกอย่างมากเกินไป ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ทั้งผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ ประชาชน หรือผู้ที่รับฟังข่าวสารจากโซเชียลมีเดีย พอเขาเห็นอะไรปุ๊บ มันช้า ทุกฝ่ายบอกว่ามันช้าไปหมดเลย แต่ว่ากระบวนการมันต้องช้า ซึ่งก็ต้องขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ และต้องหลีกเลี่ยงการยั่วยุการปะทะที่จะส่งผลในระดับภาพใหญ่

“ที่สำคัญ ผมคิดว่าปัญหาทั้งหมดจะไม่เกิดเลย ถ้าเราได้รับการสื่อสารที่มันชัดเจน เป็นสเต็ปเราจะทำอะไร ใครเป็นผู้มีอำนาจ ควรจะคุยกับใคร ไม่ควรจะเกิดกรณีที่นักข่าวเอาไมค์ไปยื่นสัมภาษณ์ สถานการณ์เป็นแบบนี้ อีกฝ่ายโต้มาแบบนี้ และเราจะตอบสนองอย่างไร นายกฯ ต้องชัดเจนคือเรื่องไหนไม่ทราบก็บอกไม่ทราบ เรื่องนี้มอบหมายให้ใครเป็นผู้รับผิดชอบหรือถามผู้ปฏิบัติงานคนนี้ได้เลย หรือระหว่างนี้เอารัฐมนตรีหรือคนที่สามารถตอบคำถามได้มาอยู่ข้างตัว เพื่อลดภาพด้านลบที่เกิดขึ้นต่อประชาชน และอีกเรื่องที่อยากฝากคือการสื่อสารต้องให้เป็นระบบ ทุกวันสี่โมงเย็นถึงห้าโมงเราจะอัพเดทสถานการณ์ หรือถ้ามีเหตุด่วนก็ให้มีแถลงการณ์พิเศษ กระทรวงการต่างประเทศ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งทีมมอนิเตอร์สถานการณ์ 24 ชม.” ธนภัทร ทิ้งท้าย

ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )

ผู้เรียบเรียง

ให้คะแนนความพอใจของคุณ :

0 / 5 คะแนน 0

คุณให้คะแนน:

แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/fwvf | ดู : 10 ครั้ง
  1. np300-navara-at-️-honda-jazz-cr.เเฟนเพจ-(feed- NP300 Navara AT VS. Honda Jazz - จากแฟนเพจ
  2. recordsdata-:-เฉลิมชัย-แจงข่าวดี-ประกาศแล้ว-3-กรม-:-ทธ-ทน-ทบ. Recordsdata : เฉลิมชัย แจงข่าวดี ประกาศแล้ว 3 กรม : ทธ. ทน. ทบ.
  3. อ่านจดหมายต่อหน้าคณะทูต-เล่านาทีbm-21ตก-8-ครอบครัวขอความเป็นธรรม-|-ลุยชนข่าว-|-1สค.68 อ่านจดหมายต่อหน้าคณะทูต เล่านาทีBM-21ตก 8 ครอบครัวขอความเป็นธรรม 1ส.ค.68
  4. เลขาธิการวุฒิสภา-ประกาศ-15-รายชื่อผู้สมัคร-กกต.-คุณสมบัติผ่าน-ไม่มีลักษณะต้องห้าม เลขาธิการวุฒิสภา ประกาศ 15 รายชื่อผู้สมัคร กกต. คุณสมบัติผ่าน-ไม่มีลักษณะต้องห้าม
  5. ภูมิธรรม-สั่งลุยเพิกถอนที่ดินเขากระโดง-ฟันคกกม-61-ทำไม่ครบตามคำสั่งศาลปค. ภูมิธรรม สั่งลุยเพิกถอนที่ดินเขากระโดง ฟันคณะกรรมการม. 61 ทำไม่ครบตามคำสั่งศาลปค.
  6. แผ่นดินไหวขนาด-17-ตเวียงเหนือ-อปาย-จ.แม่ฮ่องสอน-2025-08-01-23:58:36-ตามเวลาประเทศไทย-|-  -regionบริเวณศูนย์กลา แผ่นดินไหวขนาด 1.7 ต.เวียงเหนือ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน 2025-08-01 23:58:36 ตามเวลาประเทศไทย |    Regionบริเวณศูนย์กลา
  7. เปิดหลักฐานกับsะเบิด-pmn-2-ที่ช่องบกและรอบปราสาทตาควาย-ข่าว เปิดหลักฐานกับsะเบิด PMN-2 ที่ช่องบกและรอบปราสาทตาควาย ข่าว
  8. ราคาลำไยดิ่งชาวสวนเวียงหนองล่องปล่อยผลทิ้งวอนรัฐเร่งช่วย-htt ราคาลำไยดิ่งชาวสวนเวียงหนองล่องปล่อยผลทิ้งวอนรัฐเร่งช่วย htt
  9. 1-สค-68-เวลา-1854-น-ถ.สุขุมวิท-ขาเข้า-บีทีเอส-พร้อมพงษ์-|-2025-08-01-12:06:00 1 ส.ค. 68 เวลา 18.54 น. ถ.สุขุมวิท ขาเข้า บีทีเอส พร้อมพงษ์- 2025-08-01 12:06:00
  10. ออมสิน-ขอบคุณความทุ่มเทของทีมไทยแลนด์-ปิดดีล-tariff-charge19%-กับสหรัฐอเมริกา ออมสิน ขอบคุณความทุ่มเทของทีมไทยแลนด์ ปิดดีล Tariff Charge19% กับสหรัฐอเมริกา
  • No recent comments available.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *


Share via
Click to Hide Advanced Floating Content
Send this to a friend