เอกสารและแผนที่สำคัญ 3 ฉบับที่ควรศึกษา ในการทำความเข้าใจข้อพิพาทชายแดนไทย – กัมพูชา

ที่มาของภาพ : ICJ/Nationwide Library of Australia

แผนที่ระวางดงรัก มาตราส่วน 1:200,000 ที่กัมพูชาใช้อ้างสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหาร แต่ทางการไทยไม่ยอมรับ

การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือเจบีซี (Joint Boundary Price – JBC) ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา สิ้นสุดไปเมื่อ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา หลังใช้เวลาในการหารือ 2 วัน ทว่าภายหลังการประชุมทั้งสองฝ่ายออกมาเปิดเผยรายละเอียดในการหารือที่ไม่ตรงกัน

เรื่องสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญากำหนดเขตแดนระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ที่กัมพูชาระบุว่าไทยยอมรับแล้ว ร้อนถึงฝั่งไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศต้องออกแถลงการณ์ช่วงกลางดึกคืนวันอาทิตย์ (15 มิ.ย.) เพื่อยืนยันว่าในที่ประชุมดังกล่าวไม่ได้มีการหารือในกรณีนี้

กระทรวงการต่างประเทศของไทยตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบข้อซักถามสื่อเมื่อ 16 มิ.ย. ยืนยันว่าในที่ประชุมเห็นชอบที่จะให้นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ซึ่งจะถือเป็นการทำแผนที่ร่วมกัน โดยไม่ได้เกี่ยวกับแผนที่ฉบับมาตราส่วน 1:200,000 และ 1:50,000 ฉบับก่อนหน้าที่ทั้งสองฝ่ายอ้างถึง

ก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยพิเศษ จะมีขึ้นในช่วงเดือน ก.ย. 2568 นี้ .ชวนทำความเข้าใจแผนที่และเอกสารฉบับต่าง ๆ ที่แต่ละฝ่ายยึดถือในการนำมาอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่เขตแดนพิพาท

แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 (ระวางดงรัก)

ความพยายามของกัมพูชาในการจะให้ไทยยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 มีมาตั้งแต่กรณีข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร ที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างอิงแผนที่นี้ในการยื่นคำฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) เมื่อปี 2502 โดยกล่าวหาไทยว่ายึดครองดินแดนส่วนหนึ่งซึ่งมีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 มีหลายระวาง ซึ่งส่วนที่กัมพูชาขอให้ศาลโลกวินิจฉัยในเวลานั้น คือ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรัก โดยขอให้ศาลฯ วินิจฉัยสถานะของแผนที่ดังกล่าวว่ามีผลผูกพันต่อไทย

นายเชิดชู รักตะบุตร อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เคยเขียนไว้ในหนังสือ “คดีปราสาทพระวิหาร ปี ค.ศ. 1962 และ 2013: ข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง” ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2565 ระบุว่าในขณะนั้น ทางกัมพูชาได้แนบ “แผนที่ภาคผนวก 1 มาตราส่วน 1:200,000” ไปกับคำฟ้องด้วย โดยอ้างว่ามาจากการที่ “คณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส” ตามอนุสัญญาสยามฝรั่งเศส ฉบับลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2447 (ค.ศ. 1904) ได้ทำการสำรวจพื้นที่จริง ในบริเวณปราสาทพระวิหารระหว่างปี 2447-2450 ขณะที่ไทยต่อสู้ว่าคณะกรรมการผสมฯ ไม่เคยเห็นและไม่เคยรับรองแผนที่ฉบับนี้ เพราะได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ไปก่อนที่จะได้รับผลการสำรวจบริเวณเทือกเขาดงรัก

อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ยังระบุว่าข้อต่อสู้ของฝ่ายไทยในขณะนั้น ได้อ้างข้อบทข้อ 1 ของสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 ที่ใช้ “สันปันน้ำ” แบ่งเขตแดนระหว่างสยามกับฝรั่งเศส โดยฝ่ายไทยอ้างว่าสันปันน้ำที่แท้จริงตามสภาพทางภูมิศาสตร์ทำให้ปราสาทอยู่ในเขตไทย และแผนที่ระวางดงรัก มาตราส่วน 1:200,000 ที่กัมพูชาอ้างถึงนั้นไม่สอดคล้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม ในคำพิพากษาของศาลยุติธรรรมระหว่างประเทศเมื่อ 2505 ที่วินิจฉัยให้อธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชานั้น ศาลอ้างถึงการที่ไทยไม่เคยยกข้อโต้เถียงเรื่องแผนที่ดังกล่าวขึ้นมาเลยนับตั้งแต่หลังช่วงปี 2452 จนกระทั่งถึงการเจรจาในปี 2501 ซ้ำยังผลิตแผนที่ที่แสดงว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเขตกัมพูชา และไม่ได้แก้ไขแม้จะมีโอกาสหลายครั้ง จึงถือว่าไทยได้ยอมรับและยังคงยอมรับแผนที่ฉบับดังกล่าว

ในหนังสือบันทึกคดีปราสาทพระวิหารของข้าราชการ กต. รายนี้ กล่าวถึงการพิจารณาของศาลโลกช่วงหนึ่งว่า ศาลโลกได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งคือ การเสด็จเยือนปราสาทพระวิหารของข้าราชการเชื้อพระวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ของไทย (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ อ้างอิง ศรีศักร วัลลิโภดม : บทบรรณาธิการวารสารเมืองโบราณ ปีที่ 34 ฉ.1 ม.ค.-มี.ค. 2551) ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการจากข้าหลวงของฝรั่งเศส โดยมีการชักธงฝรั่งเศสในบริเวณดังกล่าว แต่ฝ่ายไทยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ และเมื่อคณะฝ่ายไทยเดินทางกลับมายังกรุงเทพฯ แล้วยังได้ส่งภาพถ่ายให้ฝ่ายฝรั่งเศส และใช้ข้อความที่ดูประหนึ่งว่ายอมรับฐานะ “ประเทศเจ้าภาพ” ของฝรั่งเศส ศาลจึงถึงว่าสยามยอมรับโดยปริยาย (tacit recognition) ต่ออำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารของกัมพูชาภายใต้อารักขาของฝรั่งเศส

“หากพบว่ามีข้อผิดพลาดที่สำคัญก็อาจทักท้วงได้ในเวลาอันสมควร แต่ฝ่ายไทยก็ไม่ได้ทำการทักท้วง จึงต้องถือว่าเป็นการยอมรับโดยไม่มีการทักท้วง” ส่วนหนึ่งของคำพิพากษาที่เชิดชูแปลลงบนหนังสือของเขา ระบุ

28 เม.ย. 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศขอให้ตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารอีกครั้ง หลังเกิดการปะทะกับฝั่งไทยบริเวณชายแดนหลายครั้ง ก่อนที่ศาลจะพิพากษาในปี 2556 ชี้ขาดเป็นเอกฉันท์โดยอาศัยการตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ตัดสินให้ไทยต้องถอนทหารบริเวณ “ยอดเขาพระวิหาร” ซึ่ง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น บรรยายสรุปต่อสื่อมวลชนว่า ศาลโลกพิจารณาเฉพาะประเด็นอธิปไตยเหนือตัวปราสาทพระวิหารและขอบเขตของบริเวณใกล้เคียงปราสาท แต่ไม่รับพิจารณาประเด็นเส้นเขตแดน และศาลโลกไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ผูกพันไทย

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ICJ วินิจฉัยให้อธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา เมื่อปี 2505 ซึ่งฝั่งไทยระบุว่าศาลไม่ได้พิจารณาประเด็นเส้นเขตแดน

จากการยึดถือเส้นแบ่งเขตแดนคนละเส้น ทำให้เอกสาร “ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบ เกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหาร และการเจรจาเขตแดนไทย – กัมพูชา” ของกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่เผยแพร่เมื่อปี 2554 ระบุว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ทางกัมพูชาใช้ประกอบการอ้างสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหารนั้น ล้ำดินแดนไทยเข้ามา 3,000 ไร่ หรือ 4.6 ตารางกิโลเมตร

ขณะที่ทางกัมพูชาก็ใช้แผนที่ฉบับดังกล่าวอ้างสิทธิ์ในพื้นที่พิพาทเสมอมา

แม้กระทั่งในกรณีข้อพิพาทล่าสุดที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ซึ่งสำนักข่าว Khmer Events รายงานเมื่อ 15 มิ.ย. ว่า นายฬำ เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักกิจการชายแดน ในฐานะประธานเจบีซี ฝ่ายกัมพูชา อ้างว่าทั้งไทยและกัมพูชายินยอมที่ใช้แผนที่มาตรา 1:200,000 ตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม ค.ศ. 1907 เพื่อดำเนินการรังวัดและปักปันเขตแดน

อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศของไทยออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่าไม่เป็นความจริง

แผนที่ L7017/L7018 (แผนที่มาตราส่วน 1:50,000)

เอกสาร “ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบ เกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหาร และการเจรจาเขตแดนไทย – กัมพูชา” ของกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่เผยแพร่เมื่อ พ.ศ. 2554 ได้เปรียบเทียบแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 (ระวางดงรัก) กับแผนที่ L7017 และ L7018 พบว่า เส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ทำให้พื้นที่เขตแดนของไทยหายไป

อย่างไรก็ตาม ในเอกสารดังกล่าวไม่ได้ระบุที่มาที่ไปของแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ทั้งสองฉบับนี้ แต่อธิบายเพียงเหตุที่ทำให้แผนที่ทั้ง 2 มาตราส่วนไม่สามารถทาบกันได้สนิท เพราะใช้วิธีการจัดทำที่แตกต่างกัน

เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า แผนที่ L7017/L7018 จัดทำโดยใช้พื้นผิวของรูปทรงกระบอก (Mercator Projection) ซึ่งจะแสดงระยะทางที่ถูกต้อง แต่ขนาดของภูมิประเทศจะคลาดเคลื่อน ในขณะที่แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยใช้ลักษณะคล้ายหัวหอม (Sinusoidal Projection) จะแสดงขนาดภูมิประเทศถูกต้อง แต่ระยะทางคลาดเคลื่อน

ที่มาของภาพ : กระทรวงการต่างประเทศ

เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศที่เผยแพร่เมื่อปี 2554 อธิบายเหตุที่ทำให้แผนที่ทั้ง 2 มาตราส่วนไม่สามารถทาบกันได้สนิท เพราะใช้วิธีการจัดทำที่แตกต่างกัน

แล้ว L7017 และ L7018 คืออะไร และมาจากไหน ?

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ หรือ GISTDA อธิบายว่าทั้งสองตัวเลขนี้คือ “หมายเลขประจำชุด” (Series Amount) ของแผนที่ ซึ่งกำหนดตามมาตรฐานสากลของประเทศสหรัฐอเมริกา โดย

  • ตัวอักษร L หมายถึง ภูมิภาคหนึ่งของทวีปเอเชีย ซึ่งตรงกับของประเทศไทย
  • เลข 7 หมายถึง กลุ่มของมาตราส่วนที่กำหนดไว้แน่นอน คือ ใช้กับแผนที่มาตราส่วนระหว่างมาตราส่วน 1:70,000 ถึง 1:35,000
  • เลข 0 หมายถึง ตัวเลขแสดงส่วนย่อยของภูมิภาค เช่น ภูมิภาค 0 มีตัวเลขแสดงส่วนย่อยของไทยกำหนดขอบเขตไว้แน่นอนเป็นเลข 0
  • เลข 17 หรือเลข 18 เป็นตัวเลขที่แสดงว่าแผนที่ชุดนั้นจัดทำเป็นครั้งที่เท่าใดในภูมิภาค เช่น ครั้งที่ 17 หรือครั้งที่ 18

รศ.ดร.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุไว้ในบทความเรื่อง “Thailand Mapped กำเนิดเมืองไทยจากแผนที่” บนเว็บไซต์นิวแมนดาลา (Novel Mandala) ว่าแผนที่หมายเลข L7017 นั้น ปรับปรุงขึ้นมาจากแผนที่ L708 ซึ่งทำขึ้นโดยหน่วยแผนที่ทหารของสหรัฐฯ (US Army Contrivance Carrier) ท่ามกลางข้อตกลงกับรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อปี 2494

โดยแผนที่ L708 จัดทำแล้วเสร็จในปี 2512 (ค.ศ. 1969) นับเป็นแผนที่มาตรฐานที่มีมาตราส่วน 1:50,000 ฉบับแรกของไทย ก่อนที่จะถูกนำมาปรับปรุงเป็นแผนที่ L7017 ในอีกหลายปีถัดมา

ที่มาของภาพ : Kingdom of Cambodia/ICJ

ราชอาณาจักรกัมพูชาระบุกับศาลโลกว่าแผนที่หมายเลข L7017 มาตราส่วน 1:50,000 เป็นแผนที่ที่ไทยใช้อยู่ฝ่ายเดียว (unilateral scheme)

อย่างไรก็ดี ในเอกสารจากทางการไทยและทางการกัมพูชาที่ยื่นประกอบการพิจารณาคดีของศาลโลกนั้น ไม่พบว่ามีการอ้างถึงแผนที่หมายเลข L7018 แต่มีข้อถกเถียงกันเรื่องแผนที่หมายเลข L7017

ในคำชี้แจงของราชอาณาจักรกัมพูชาที่ให้ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือไอซีเจ เมื่อวันที่ 8 มี.ค. 2555 เพื่อประกอบคำร้องขอตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหาร กัมพูชาระบุถึงแผนที่หมายเลข L7017 ไว้ว่า ไทยได้ส่งสำเนาแผนที่ฉบับดังกล่าวแนบมาในบันทึกช่วยจำ (aide-memoire) ที่ส่งถึงกัมพูชาเมื่อ 17 พ.ค. 2550 เพื่อโต้แย้งแผนที่ที่ทางกัมพูชาใช้ประกอบการยื่นขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

“ประเทศไทยยังจัดทำแผนที่ฉบับใหม่เป็นครั้งแรก (แผนที่หมายเลข L7017) โดยใช้มาตราส่วน 1:50,000 ซึ่งแสดงเส้นเขตแดนโดยรอบปราสาทและบริเวณใกล้เคียง” ส่วนหนึ่งในคำชี้แจงของกัมพูชาต่อศาลโลกที่มีการเผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษ ระบุ

เอกสารดังกล่าวระบุต่อไปว่าแผนที่ฉบับใหม่นี้ “ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงต่อข้อตกลงก่อนหน้านี้ที่สรุปโดยผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคจากฝ่ายไทยและกัมพูชา ผู้ซึ่งทำงานด้านการปักปันเขตแดนตาม MoU 2543 บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543”

จากเอกสารฉบับนี้ ทางการกัมพูชายังอธิบายต่อไปว่า มีหลายครั้งที่ตัวแทนของภาคีได้ตกลงกันเกี่ยวกับแผนที่ที่จะใช้เพื่อการปักปันเขตแดน ซึ่งมีการอ้างถึงแผนที่หมายเลข L708, L7011 และ L7016 ที่จัดทำโดยหน่วยงานของสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้มีการกล่าวถึงแผนที่หมายเลข L7017 แต่อย่างใด

ขณะที่ในคำอธิบายเพิ่มเติมจากราชอาณาจักรไทย ที่ส่งให้กับศาลโลก เมื่อ 21 มิ.ย. 2555 ตอบโต้กรณีที่กัมพูชาระบุถึง “แผนที่ลับ” โดยบอกว่าไทยเพิ่งเผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2550 นั้น หมายถึงแผนที่ฉบับไหน เพราะไทยไม่มีแผนที่ที่ตีพิมพ์ในปีดังกล่าว ก็เลยสันนิษฐานว่าแผนที่ที่กัมพูชาอ้างถึงนั้น น่าจะหมายถึงแผนที่หมายเลข L7017 จัดพิมพ์ครั้งที่ 2 แผ่นระวางที่ 5937 IV ที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหารมาตั้งแต่ปี 2521 แล้ว

ราชอาณาจักรไทยยังระบุในคำอธิบายเพิ่มเติมต่อศาลโลกอีกว่า แผนที่ L7017 ไม่ใช่แผนที่ลับ โดยแม้จะมีการระบุบนแผนที่ไว้ว่า “จำกัด” (Restricted) แต่ก็เป็นแผนที่ที่มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง และไทยยังได้มอบให้กับกัมพูชาไปแล้วตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งเส้นที่ปรากฎในแผนที่ชุดนี้ก็เป็นเส้นที่กัมพูชารับรู้มาตั้งแต่ปี 2505 โดยเป็นเส้นที่ลากตามแนวรั้วลวดหนามในปี 2505 ตามมติคณะรัฐมนตรีของไทย

MoU 2543

ข้อพิพาททางเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาดำเนินมาหลายทศวรรษ ก่อนที่จะมีการจัดตั้ง “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา” ในปี 2540 เพื่อเป็นกลไกหลักในการเจรจา สำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนทางบก จากข้อมูลในเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อปี 2554

ก่อนที่ในปี 2543 ทั้งสองฝ่ายจะลงนามร่วมกันใน “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก” หรือที่คนทั่วไปคุ้นเคยในชื่อ “MoU 2543” โดยตัวแทนผู้ลงนามฝั่งไทยคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ที่ในขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และตัวแทนฝั่งกัมพูชาคือนายวาร์กิม ฮง ในฐานะที่ปรึกษารัฐบาล ผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน

รายละเอียดในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ระบุว่าไทยและกัมพูชาจะร่วมกันสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกให้เป็นไปตามเอกสาร 3 ส่วน ได้แก่

  • อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1893 ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1904
  • สนธิสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดน แนบท้ายสนธิสัญญา ฉบับลงวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907
  • แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ. 1907 กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีคณะกรรมาธิการจัดทำเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชา ที่เรียกว่า “คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม” ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลของแต่ละฝ่าย เพื่อ “สำรวจและจัดทำหลักเขตแดน” ให้เป็นไปตามเอ็มโอยูฉบับนี้

ทั้งนี้ ในเอ็มโอยูฉบับดังกล่าวยังระบุให้ “หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน… งดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน” เพื่ออำนวยความสะดวกให้การสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผล

อย่างไรก็ตาม ในเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศที่เผยแพร่เมื่อปี 2554 ระบุว่านับแต่มีการจัดทำเอ็มโอยู 2543 ฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดเอ็มโอยูนี้หลายครั้ง เช่น “ก่อสร้างรุกล้ำเขตแดนไทยในบางพื้นที่” และ “ฝ่ายกัมพูชายังได้ดำเนินกิจกรรมอื่น ๆ ในบริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายไทยระบุว่าถูกกัมพูชาใช้แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ในการอ้างสิทธิ์

แผนที่ฉบับใหม่ ? จากการหารือของเจบีซี

ที่มาของภาพ : Thai Files Pix

นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ในฐานะประธานคณะเจบีซี ฝ่ายไทย เปิดเผยว่าจะมีการทำ “แผนที่ใหม่” และจัดทำหลักเขตแดนเพิ่มเติมระหว่างไทยและกัมพูชา

15 มิ.ย. กระทรวงการต่างประเทศของไทยออกแถลงการณ์หลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย – กัมพูชา หรือเจบีซี ครั้งที่ 6 ที่กรุงพนมเปญ ระบุว่าทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการนำเทคโนโลยี LiDAR (การสำรวจด้วยโดรนยิvเลเซอร์) มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อความรวดเร็วในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน โดยฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา สมัยพิเศษ ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงเดือน ก.ย. 2568

รายละเอียดการหารือในที่ประชุมชัดเจนขึ้นในการแถลงข่าวของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา ที่ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ในฐานะประธานเจบีซี ฝ่ายไทย ระบุว่า จะมีการ “ทำแผนที่ฉบับใหม่” ตามขั้นตอนการทำงานของเจบีซี ซึ่งกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ปี 2546 แล้ว

นายประศาสน์ ไล่เรียงขั้นตอนการทำงานของเจบีซีว่าประกอบไปด้วยการตรวจหาหลักเขตแดนที่มีการปักไว้ตั้งแต่ปี 2462-2463 ซึ่งมีการปักหลักเขตไปแล้ว 74 หลัก โดยปัจจุบันเห็นชอบกันทั้งสองฝ่ายแล้ว Forty five หลัก ส่วนอีก 29 หลักยังเห็นต่างกันซึ่งต้องหารือกันต่อ

นอกจากนี้ จะต้องมีการถ่ายภาพทางอากาศเพื่อปักหลักเขตเพิ่มเติมให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งเรียกว่า Photo Contrivance (แผนที่ภาพถ่าย) จากนั้นทั้งสองฝ่ายจึงต้องมานั่งคุยกันว่าจะเดินสำรวจกันในแนวสันเขาแนวทางไหน โดยหากเห็นพ้องต้องกันจึงจะปักหลักเขตเพิ่มให้ถี่ขึ้น และจัดทำเป็นแผนที่ฉบับใหม่

ทั้งนี้ประธานเจบีซี ฝ่ายไทย ยืนยันว่าแผนที่ฉบับที่จะจัดทำนี้ ไม่เกี่ยวกับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 หรือ 1:50,000 ที่ทั้งสองฝ่ายกล่าวอ้างก่อนหน้า แต่ว่าจะเป็น “แผนที่ใหม่” ซึ่งจะมีผลในการนำมาใช้เจรจาร่วมกัน

“เรื่องแผนที่ 1:200,000 ที่เป็นข่าวว่าผมไปตกลงหรือเขาพูดในที่ประชุมนะครับ ไม่มีพูดเลย เราไม่ได้พูดเรื่องนี้ แล้ว photo scheme ที่ว่านี่ มันไม่เกี่ยวกับ 1:200,000 หรือ 1:50,000 เลย มันเป็นแผนที่ทางอากาศมาใหม่ ซึ่งอาจจะมาตรา 1:50,000 แต่อันนี้มันสองข้างทำร่วมกัน” นายประศาสน์ ระบุในการแถลงข่าว