รัฐบาลไทยแพ้สงครามข้อมูลข่าวสารกัมพูชาแล้วหรือไม่ และต้องแก้เกมอย่างไร

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพมหานครแสดงป้ายไฟ LED เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนฝ่ายไทยในเหตุความขัดแย้งกับกัมพูชาล่าสุด

Article Details

    • Author, จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
    • Role, ผู้สื่อข่าว.

เมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างกองทัพของไทยและกัมพูชาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่มีใครสงสัยเลยว่าฝ่ายไทยได้เปรียบทางการทหารมากกว่า หากดูจากทรัพยากรและงบประมาณทางทหาร

แต่เมื่อดูบทบาทการอธิบายความขัดแย้งที่เกิดขึ้นต่อนานาชาติ รัฐบาลไทยกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าตามหลังอีกฝ่ายอยู่เสมอ

.พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยกันวิเคราะห์ว่าฝ่ายใดได้เปรียบกว่าในสมรภูมิข้อมูลข่าวสารครั้งนี้ และความเพลี่ยงพล้ำที่เกิดขึ้นในแนวรบด้านนี้ ส่งผลกระทบอย่างไรต่อการต่อสู้ของแต่ละฝ่ายบนเวทีโลก

ฝ่ายใดปักธงเรื่องเล่า (tale) ในพื้นที่นานาชาติได้ก่อน ?

วันที่ 24 ก.ค. เป็นวันแรกที่เกิดการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาตั้งแต่ช่วงเช้า ทั้งไทยและกัมพูชา ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเปิดฉากยิvก่อน

.พบว่าในเวลาประมาณ 09.00 น. พล.ท.มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาแถลงการณ์ผ่านสื่อของสำนักโฆษกของสำนักรัฐมนตรีกัมพูชาโดยทันทีว่า “ไทยเปิดฉากยิvก่อน” ทำให้ประเทศกัมพูชาต้องปกป้องเขตอำนาจอธิปไตยโดยทันที พร้อมกับชี้ว่า “ไทยคือผู้รุกราน” และทยอยออกแถลงการณ์สองภาษาตามมาทันที

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

of ได้รับความนิยมสูงสุด

ข้อความดังกล่าวถูกรายงานในสื่อภาษาเขมรและภาษาอังกฤษภายในประเทศกัมพูชา รวมไปถึงโดยสื่อต่างประเทศ

การเผยแพร่ข้อมูลทางการของกัมพูชาที่สื่อนานาชาติสามารถติดตามได้นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าหลัก ๆ คือ เพจเฟซบุ๊กของสมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี, สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา, และสำนักโฆษกคณะรัฐมนตรีของกัมพูชา ซึ่งเพจหลังสุดยังทำช่องทางสื่อสารผ่าน messenger channel ของเฟซบุ๊ก ยิvเนื้อหาตรงไปยังผู้ติดตามได้ทันที

ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนเหนือพื้นที่พิพาทหลายจุด ผู้ส่งสารหลักของฝ่ายกัมพูชาอยู่ที่เพจเฟซบุ๊กของสำนักโฆษกคณะรัฐมนตรี ขณะที่ของไทยนั้นตรงกันข้าม เพราะท่อของข้อมูลข่าวสารกระจัดกระจายอยู่ในหลายหน่วยงาน

ย้อนกลับไปช่วงกลางเดือน มิ.ย. นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร มีคำสั่งแต่งตั้งศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา (ศบ.ทก.) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเป็นภาษาไทยและอังกฤษ โดยศูนย์ดังกล่าวประกอบไปด้วยกระทรวงกลาโหม, ผู้นำ 4 เหล่าทัพ, กระทรวงมหาดไทย, สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.), กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.), กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงแรงงาน, และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์

ทว่า เมื่อเกิดการปะทะขึ้นในวันที่ 24 ก.ค. ทาง ศบ.ทก. ยังคงเริ่มถ่ายทอดสดรายงานสถานการณ์ประจำวันในช่วงเที่ยงวัน เริ่มจากการให้รายละเอียดเหตุการณ์ว่ากัมพูชาเป็นผู้เริ่มเปิดฉากยิvก่อนในบริเวณจุดใด และส่งผลให้เป้าพลเรือนของไทยได้รับผลกระทบบ้าง เพื่อเน้นย้ำว่าเหตุใดไทยจึง “จำเป็นต้องตอบโต้”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ร้านสะดวกซื้อของปั๊มน้ำมัน ปตท. ใน อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้รับความเสียหายจากจรวด BM-21 ของกัมพูชา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 8 คน รวมถึงเด็ก

ในเวลาเดียวกัน ฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนไหวไปยังสหประชาชาติแล้ว โดยสมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี ส่งจดหมายถึงนายอาซิม อิฟติคาร์ อาหมัด ประธานคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อขอให้เปิดประชุมอย่างเร่งด่วน

รายงานช่วงเที่ยงวันของ ศบ.ทก. ยังซ้ำซ้อนกับข้อมูลที่กองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 รายงานผ่านเพจเฟซบุ๊กของตัวเองตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 09.00 น. และทั้งสองหน่วยงานก็ทยอยอัพเดทสถานการณ์แทบจะรายชั่วโมง ทำให้สื่อในประเทศไทยส่วนใหญ่ติดตามการรายงานของกองทัพมากกว่า ศบ.ทก. ของรัฐบาล

ก่อนหน้านี้ นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิเคราะห์การเมืองได้ให้ความเห็นในรายการพักการเมืองของจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ว่า สาเหตุที่ทำให้รัฐบาลแถลงช้า “ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่กองทัพกับรัฐบาล feed ข้อมูลกันไม่ได้” แม้รัฐบาลพยายามยืนยันว่ามีความเป็นเอกภาพกับกองทัพก็ตาม

ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมความสับสนของข้อมูลตัวเลขผู้อพยพ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิต ที่ตัวแทนรัฐบาล, กระทรวงสาธารณสุข, และกระทรวงมหาดไทยแถลงไม่ตรงกัน ซึ่งสะท้อนถึงท่อของข้อมูลที่ยังไม่สอดคล้องกัน แม้กำลังเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ

ที่มาของภาพ : Getty Photos

การรวมตัวกันของชาวกัมพูชานับร้อยคน หน้าอาคารรัฐสภาในนครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 27 ก.ค.

พร้อมกันนี้ ชุมชนชาวกัมพูชาทั้งในและต่างประเทศก็ช่วยกันเคลื่อนไหวในสื่อสังคมออนไลน์ “ประณามการรุกรานของไทย” ซึ่งเป็นข้อความเดียวกันกับที่รัฐบาลของกัมพูชาพยายามสื่อสาร

การรวมตัวกันของชาวกัมพูชา หน้าอาคารรัฐสภาในนครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ถือเป็นชุมชนชาวกัมพูชานอกประเทศกลุ่มแรก ๆ ที่ช่วยกันส่งเสียงประณามประเทศไทยและระบุว่า “กัมพูชาต้องการสันติ แต่ประเทศไทยต้องการสงคราม” และภาพดังกล่าวถูกนำเสนอในสื่อต่างชาติหลายสำนักด้วย เช่น AFP และ MSN

ขณะนั้นทางรัฐบาลไทยได้เริ่มขยับ “ประณามว่ากัมพูชาเปิดฉากยิvก่อน” เพื่อบอกว่ากัมพูชาต่างหากที่เป็นผู้เริ่มความขัดแย้ง รวมถึง “ประณามการโจมตีเป้าพลเรือนในไทยโดยฝ่ายกัมพูชา” ซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาลและย่านที่อยู่อาศัยของประชาชน

เมื่อข้อความดังกล่าวไม่สามารถช่วงชิงความได้เปรียบในพื้นที่นานาชาติได้ทัน เรื่องเล่าหลักในสื่อต่างประเทศในเวลาต่อมาจึงเป็นการรายงานว่า “ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เปิดฉากยิvก่อน”

ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ปัจจุบันเป็นนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศประจำศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต บอกกับ.ว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตามเกมสงครามข้อมูลข่าวสารไม่ทันนั้นมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย และในขณะเดียวกันบทบาทเชิงรุก (proactive) ของทางกัมพูชาเองก็มีความสามารถทำให้ไทย “รู้สึกว่าตามไม่ทัน” และต้องรับบทเป็นฝ่ายแก้ข่าวอยู่ตลอดเวลา

นักวิชาการจาก ม.เกียวโต มองว่ากัมพูชาชิงนำเสนอและสร้างเรื่องเล่า (tale) ของตนเองอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยมักเน้นสร้างความเห็นอกเห็นใจและสอดรับกับหลักการสากล เช่น หลักสิทธิมนุษยชน หรือกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเน้นย้ำว่าประเทศของตนนั้นเป็น “เหยื่อ” และเป็น “ฝ่ายถูกกระทำ” ซึ่งสื่อให้เห็นว่าบทบาทการทูตสาธารณะของกัมพูชาทำงานได้อย่างคล่องตัวมาก

“การสื่อสารที่รวดเร็วนี้ทำให้กัมพูชาสามารถกำหนดวาระการพูดคุยและสร้างความประทับใจแรกให้กับนานาชาติได้ก่อน เมื่อเรื่องเล่าของกัมพูชาได้รับการเผยแพร่และยอมรับในวงกว้างแล้ว การสื่อสารจากฝ่ายไทยที่ออกมาภายหลังมักจะกลายเป็น ‘เชิงรับ (reactive)' โดยอัตโนมัติ”

นอกจากนี้ มันยังมีอิทธิพลต่อการรายงานของสื่อต่างชาติ ซึ่งมักอ้างอิงและขยายความจากเรื่องเล่าแรก ๆ ที่ได้รับรู้ และยิ่งทำให้เรื่องเล่าดังกล่าวแพร่หลายเข้าไปอยู่ในความเข้าใจของสาธารณชน รวมถึงผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกได้ด้วย

สิ่งนี้เรียกว่า “การกำหนดกรอบการรับรู้เริ่มต้น (preliminary perception)” ทำให้การตีความสถานการณ์เบื้องต้นมักจะอิงอยู่กับเรื่องเล่าของฝ่ายนั้น ๆ ไม่ว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดจะซับซ้อนกว่านั้นเพียงใดก็ตาม และนั่นคือ “ความได้เปรียบอย่างมหาศาล” ในทัศนะของ ศ.ดร.ปวิน

ในอีกทางหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผู้นี้ยังมองว่าเรื่องเล่าที่ถูกปักลงบนพื้นที่นานาชาติได้ก่อน ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือบั่นทอนความน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายได้ด้วย เนื่องจากไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะชี้แจงอย่างไร ก็มักเกิดจะถูกพิจารณาด้วยความกังขาว่ากำลัง “แก้ตัว” หรือไม่

“การมี tale ที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงกดดันต่ออีกฝ่ายในเวทีการทูต ไม่ว่าจะเป็นในสหประชาชาติ การประชุมระดับภูมิภาค หรือการเจรจาทวิภาคี ทำให้ประเทศคู่ขัดแย้งต้องตกอยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบหรืออธิบายการกระทำของตน” ศ.ดร.ปวิน กล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ผศ.ดร.สุรัชนี ศรีใย เห็นว่ากัมพูชาชนะสมรภูมิสงครามข้อมูลข่าวสารไปแล้ว จากบทบาทเชิงรุกในการสื่อสารต่อนานาชาติ เช่น การช่วงชิงนำคณะผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่ชายแดนของตนเองได้ก่อน

ด้าน ผศ.ดร.สุรัชนี ศรีใย นักวิจัยอาคันตุกะ สถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ของสิงคโปร์ ให้สัมภาษณ์กับ.ว่า รัฐบาลไทย “สอบตก” ทั้งทางด้านการทำสงครามข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารสาธารณะ พร้อมกับเห็นว่ากัมพูชาชนะไปแล้วในสมรภูมินี้

เธอตั้งข้อสังเกตว่าการสื่อสารของกัมพูชาผ่านกระบวนการคิดมาอย่างดี มีการวางกลยุทธ์ด้านการสื่อสารทางการเมืองมาตั้งแต่แรกว่าต้องการมุ่งเป้าไปที่การสื่อสารกับชุมชนนานาชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำหนดกรอบเรื่องเล่าบนเวทีโลกให้เป็นไปตามเรื่องเล่าของทางฝั่งกัมพูชาอย่างแข็งแรง

“อย่างเช่นเรื่องใครเป็นคนยิvก่อน จริง ๆ แล้วในกรณีนี้มันเป็นเรื่องพิสูจน์ได้ยาก เพราะหลักฐานอาจไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น แต่เขาก็มองเห็นช่องในความ blurry (ความพร่ามัว) ของข้อมูลเพื่อบอกว่า ‘ฝ่ายไทยเป็นผู้เปิดฉากยิvก่อน' และทำให้เกิดปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารกันระหว่างฝ่ายกัมพูชากับชาวเน็ตของไทยที่ทนไม่ได้ในเวลาต่อมา เพราะรอให้รัฐบาลทำงานไม่ไหวแล้ว”

เธอยังเห็นว่าฝ่ายกัมพูชาเองไม่ได้สนใจเลยว่าข้อมูลที่นำมาสื่อสารนั้นเป็นข้อมูลที่ผิดหรือบิดเบือนหรือไม่ แต่ต้องการแค่ผลลัพธ์ให้การสื่อสารว่า “ไทยคือผู้รุกราน” สำเร็จตามเป้าหมายก็เพียงพอ

ยกตัวอย่างเช่น การรายงานข่าวว่ากัมพูชายิv F-16 ของไทยตก เพื่อเน้นย้ำภาพตอบโต้ผู้รุกรานทางอากาศ และการเผยแพร่ข่าวปลอมที่ระบุว่าไทยใช้สารเคมีในการสู้รบ ซึ่งต่อมาพิสูจน์ทราบว่าเป็นภาพข่าวการพ่นสารเคมีดับไฟป่าในต่างประเทศ เป็นต้น

“ผิดถูกไม่รู้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง แต่มันทำให้เห็นว่าเขามีสายบัญชาการด้านข่าวสารที่ชัดเจนและแข็งแรง” เธอกล่าว และเสริมว่าปัจจุบันกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศยังไม่มีข้อครอบคลุมถึงบริบทการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (knowledge operation) ในความขัดแย้งทางอาวุธ (arm battle) ทำให้การกำกับดูแลประเด็นนี้ยังเป็นปัญหา

ปัญหาการช่วงชิงเรื่องเล่าของไทยบนเวทีโลกอยู่ตรงไหน ?

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ไทยและกัมพูชาบรรลุข้อตกลงหยุดยิvเมื่อวันที่ 28 ก.ค. โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม ประธานอาเซียนเป็นตัวกลาง

การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หยิบยกมาตรการภาษีมาขู่ ส่งผลให้ไทยและกัมพูชาเข้าสู่โต๊ะเจรจาที่มีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเจรจา โดยมีตัวแทนของมหาอำนาจจากจีนและสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ด้วย

ท้ายที่สุด ทั้งสองฝ่ายได้ข้อตกลง 3 ประการ และหนึ่งในนั้นคือการหยุดยิvทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไขในช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค.

จากนั้น กองทัพบกของไทยรายงานว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิvและเปิดแนวปะทะทั่วทิวเขาพนมดงรักหลายจุดด้วยกัน ซึ่งกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้

.พบว่าหากพิจารณาการสื่อสารของฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาในวันที่ 29 ก.ค. นั้น แตกต่างกันอย่างโดยสิ้นเชิง

ฝ่ายกัมพูชาออกแถลงการณ์เพียงแค่ 2 ครั้งในช่วงก่อนเที่ยง ครั้งแรกในช่วงเวลาประมาณ 07.00 น. เพื่อบอกว่าในคืนที่ผ่านมาไม่มีเสียงปืนดังขึ้นเลย และในเวลาประมาณ 11.00 น. เพื่อรายงานความคืบหน้าการตกลงกันระหว่างแม่ทัพภาคของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงประการที่สองที่เกิดขึ้นในมาเลเซีย

พร้อมกันนี้ รัฐบาลกัมพูชายังเผยแพร่ปฏิกิริยาผู้นำต่างประเทศที่ชื่นชมการตกลงหยุดยิvของทั้งสองฝ่าย ในทำนองว่านานาชาติและประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ กำลังสนับสนุนกัมพูชาซึ่งยืนยันว่า “ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิv”

ตัดภาพกลับมาที่ไทย การแถลงข่าวนั้นกระจัดกระจายตลอดทั้งวัน เริ่มต้นจากการให้ข่าวโดยกองทัพบก ตามมาด้วยคำสัมภาษณ์ของรักษาการนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย รวมถึงนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อด้วยการให้ข่าวโดยคณะโฆษกของรัฐบาล ตามมาด้วยการแถลงข่าวโดยตัวแทนคณะรัฐมนตรี จากนั้นก็มีการแถลงโดย ศบ.ทก. ในช่วงเที่ยง และตามมาด้วยการแถลงโดยกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งหากมองภาพรวมสิ่งที่แต่ละฝ่ายออกมาแถลง ก็พบว่าเป็นข้อมูลชุดเดียวกัน แตกต่างกันเพียงแค่รายละเอียดที่แต่ละฝ่ายจะดำเนินการเพื่อตอบโต้กัมพูชาอย่างไร

ในห้วงเวลานั้น มีความพยายามจากหลายฝ่ายแนะนำว่ารัฐบาลไทยควรเชิญทูต ผู้ช่วยทูตทหารและสื่อจากประเทศต่าง ๆ มาดูสถานการณ์บริเวณชายแดน เพื่อพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายละเมิดข้อตกลงอย่างไรบ้าง แต่สุดท้ายแล้วกัมพูชากลับช่วงชิงจังหวะนี้ได้ก่อน และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไทยถูกมองว่าเดินตามหลังกัมพูชาหนึ่งก้าวเสมอ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ฝ่ายไทยเชิญทูต ผู้ช่วยทูตทหาร และสื่อต่างชาติมาฟังและดูข้อเท็จจริงจากฝั่งไทยเมื่อวันที่ 1 ส.ค.

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งถึงกับทำภาพติดแฮชแท็กว่า TruthFromThailand ซึ่งมีข้อความระบุว่า “รัฐบาลไทยช้าขนาดนี้ คุณคิดเหรอว่าเราเป็นฝ่ายเริ่มสงครามนี้ก่อน ?” โดยภาพนี้ถูกแชร์ต่อออกไปมากกว่า 1,300 ครั้ง

ด้าน นายปองกูล สืบซึ้ง หรือนักร้องที่คนไทยรู้จักกันในชื่อว่า ป๊อบ ปองกูล ก็ออกมาโพสต์ตั้งคำถามกับการตอบโต้ข่าวสารของรัฐบาลว่าเหตุใดกลับ “เย็นชืด” และ “นิ่งเงียบ” ซึ่งโพสต์ดังกล่าวได้รับการแชร์ต่อมากกว่า 8,700 ครั้ง

“ในขณะที่ทหารหลายนายเข้าเสี่ยงชีวิต ทางรัฐบาลปล่อยให้มีช่องว่างในการสื่อสาร ปล่อยให้ข่าวสารและเหตุการณ์ต่าง ๆ ไหลผ่านไปโดยไม่มีคำอธิบายทั้งต่อในประเทศและต่างประเทศ”

พร้อมกันนี้ นักร้องคนดังกล่าวยังโพสต์ข้อความเป็นภาษาไทยและอังกฤษที่ถูกแปลด้วยแช็ตจีพีที (ChatGPT) เพื่อช่วยอธิบายว่า “กัมพูชาต่างหากที่เป็นผู้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิv” โดยเขาบอกว่า “ไม่ต้องมีแล้วรัฐบาล ให้เพื่อนรัก ChatGPT ทำงานเดือนละ 600 บาท” ก็พอ

ในวันที่ 31 ก.ค. รักษาการนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย ออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 31 ก.ค. ว่า รัฐบาลไม่ได้สื่อสารถึงนานาชาติล่าช้า และที่ผ่านมาทางกระทรวงการต่างประเทศก็ยื่นหนังสือแจงหรือประท้วงต่อนานาชาติมาโดยตลอด เมื่อไทยเห็นว่ากัมพูชากระทำการละเมิดเรื่องใดบ้าง

ศ.ดร.ปวิน เห็นว่าการสื่อสารของทีมไทยมีปัญหาจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความไม่เป็นเอกภาพและความสอดคล้องกันของสาร ความล่าช้าในการตอบสนองและแก้ไขข้อมูล หรือการสื่อสารที่ไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของนานาชาติ ซึ่งทำให้เห็นว่าไทยยังขาดการทูตสาธารณะเชิงรุก (proactive public diplomacy)

“ไทยมักจะเน้นการสื่อสารแบบดั้งเดิมหรือการตอบโต้เป็นหลัก มากกว่าการสร้างความสัมพันธ์เชิงรุกกับสื่อต่างชาติ gain tanks องค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคมในต่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจพื้นฐานและความน่าเชื่อถือไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดวิกฤต การสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ที่ดีไว้ก่อนจะช่วยให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ฝ่ายไทยจะมีช่องทางและผู้ที่พร้อมรับฟังสารจากเรามากขึ้น”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

กรณีคลิปเสียงระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และ สมเด็จฮุน เซน นำไปสู่การนัดชุมนุมโดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “รวมพลังแผ่นดิน” เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา

นักวิชาการจาก ม.เกียวโต ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่ากรณีคลิปเสียงหลุดระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร และสมเด็จฮุน เซน ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่ง “ผลกระทบอย่างมหาศาลต่อความชอบธรรมและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยในสายตาประชาชนอย่างไม่ต้องสงสัย”

ศ.ดร.ปวิน มองว่ากรณีฉาวดังกล่าวทำให้รัฐบาลอยู่ในสถานะ “ทำอะไรก็ไม่ดีพอ” ส่งผลกระทบต่อพลังการสื่อสารและการแสดงออกจุดยืนบนเวทีโลก เนื่องจากรากฐานสำคัญในการดำเนินนโยบายทั้งภายในและภายนอกประเทศซึ่งต้องได้ความชอบธรรมและความเชื่อมั่นจากประชาชนนั้นได้ “สั่นคลอน” ไปแล้ว

“เมื่อประชาชนไม่เชื่อมั่นในแหล่งที่มาของข้อมูลหรือในความจริงใจของรัฐบาล การสื่อสารใด ๆ ที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริง การสร้างความเข้าใจ หรือการแสดงท่าที ก็มักจะถูกตั้งคำถาม ถูกมองด้วยความกังขา หรือถูกมองในแง่ลบได้ง่าย นี่เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการบริหารจัดการวิกฤต ไม่เพียงแต่ในมิติภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ภายนอกด้วย เพราะความแตกแยกหรือการขาดความเชื่อมั่นภายในประเทศอาจถูกฉายให้เห็นในเวทีระหว่างประเทศ ทำให้เสียงของประเทศไทยดูอ่อนแอลง และเป็นช่องว่างที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถนำไปใช้โจมตีหรือบิดเบือนได้ง่ายขึ้น” ศ.ดร.ปวิน ระบุ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

รักษาการนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย ยืนยันอยู่เสมอว่ารัฐบาลกับกองทัพทำงานอย่างเป็นเอกภาพ

ถึงแม้สารและแฮชแท็กของกองทัพจะถูกปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่อีกข้อสังเกตหนึ่งที่ ผศ.ดร.สุรัชนี เห็นคือ ปฏิบัติการข่าวสารของกองทัพของไทยนั้นยังมีลักษณะพยายามระดมการสนับสนุนจากสาธารณะด้วย เพื่อทำให้เห็นว่าปฏิบัติการทางทหารนั้นเกิดขึ้นอย่างชอบธรรมและได้รับการสนับสนุนจากประชาชน

“เราต้องพูดกันตามตรงว่าในบริบทการเมืองไทยที่ผ่านมา กองทัพไม่ได้มีภาพลักษณ์ที่ดีขนาดนั้นในสายตาประชาชน เพราะเรามีรัฐประหารหลายรอบ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มีแนวคิดสนับสนุนทหารเท่าไรนัก ขนาดมีประเด็นไทย-กัมพูชาขึ้นมาในตอนแรก กระแสสนับสนุนทหารก็ยังไม่ค่อยมาเลย แต่พอมีกรณีคลิปเสียงหลุดระหว่างฮุน เซน กับนายกฯ ของเรา ประชาชนก็เริ่มเห็นแล้วว่ารัฐบาลไม่น่ามีประสิทธิภาพ และบทบาทของทหารก็เริ่มโดดเด่นมากขึ้นหลังจากนั้น ในฐานะผู้ปกป้องพิทักษ์อธิปไตย” ผศ.ดร.สุรัชนี กล่าว

นักวิชาการจากสถาบันของสิงคโปร์ฉายภาพสมรภูมิข่าวสารตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. อีกครั้งเพื่ออธิบายว่าบทบาทการสื่อสารที่นำโดยรัฐบาลหายไปจากสมรภูมินี้อย่างไร

จากการเก็บข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ เธอพบว่าในช่วงแรกที่เกิดการปะทะ กองทัพภาคที่ 2 คือองค์กรหลักที่เริ่มใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (knowledge operation) ในลักษณะการระดมข้อมูล (knowledge mobilization) ด้วยการเชิญชวนให้ประชาชนช่วยกันโพสต์ข้อความที่ติดแฮชแท็กว่า ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด, กัมพูชายิvก่อน, และ CambodiaOpenedfire เพื่อใช้ประโยชน์จากวาทกรรมเหล่านี้ในแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายของรัฐ

เธอยังเห็นว่าทางกองทัพยังร่วมมือกับเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ (influencer) ต่าง ๆ ในไทย เพื่อช่วยกันส่งต่อข้อมูลจากกองทัพและช่วยแปลข้อมูลดังกล่าวออกเป็นหลายภาษาเพื่อสื่อสารกับนานาชาติด้วย จึงกลายเป็นว่าผู้ที่ทำหน้าที่ในปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารจึงนำโดยกองทัพและชาวเน็ตไทยไปโดยปริยาย

นักวิชาการผู้นี้ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดบทบาทของรัฐบาลถึงดูเหมือนว่า “ถูก pull encourage (ดึงออกไปอยู่ด้านหลัง)” เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชา

กระทั่งในวันที่ฝ่ายไทยเชิญทูต ผู้ช่วยทูตทหาร และสื่อต่างชาติมาฟังและเห็นข้อเท็จจริงจากฝั่งไทยเมื่อวานนี้ (1 ส.ค.) เธอก็เห็นว่ากองทัพยังคงรับบทบาทนำในการให้ข้อมูลและอธิบายกับนานาชาติ แม้จะเห็นการปรากฏตัวของนายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยก็ตาม

“เราประหลาดใจมากเลยว่าหลังการหยุดยิvเกิดขึ้นแล้ว เหตุใดเมื่อเชิญทูตมาแล้ว รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศไม่ step up (ก้าวขึ้นมา) เพื่อรับไม้ต่อจากทหาร เพราะจริง ๆ แล้วหน้าที่ตรงนี้ไม่ใช่ของทหาร และจากมุมมองของชุมชนนานาชาติ เขาก็ไม่ได้ label (ให้น้ำหนัก) กับสิ่งที่ military portion (ฝ่ายกองทัพ) พูด” ผศ.ดร.สุรัชนี กล่าว

สายเกินไปหรือไม่ที่รัฐบาลไทยจะแก้เกมในสงครามข้อมูลข่าวสาร ?

ผศ.ดร.สุรัชนี บอกกับ.ว่า ยังไม่สายเกินไปที่รัฐบาลจะแก้มือในสมรภูมินี้ โดยแนะนำว่าไทยอาจต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนว่าจะพยายามตอบโต้ข้อมูล (counter knowledge) ในโลกสื่อสังคมออนไลน์ หรือจะมุ่งเน้นการตอบโต้บนเวทีนานาชาติอย่างสหประชาชาติ

“เหตุผลคือรัฐบาลไทยไม่สามารถดำเนินการทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้ในตอนนี้ เนื่องจากขาดศักยภาพ” เธอกล่าว และเสริมว่าหากกำหนดทิศทางได้แล้ว คำถามต่อมาคือเรื่องเล่าหรือวาทกรรมที่ประเทศต้องการจะสื่อคืออะไร และจุดยืนของไทยอยู่ตรงไหนในความขัดแย้งนี้

ด้าน ศ.ดร.ปวิน บอกกับ.ว่า การแก้เกมสงครามข้อมูลข่าวสารในครั้งนี้ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและจริงจัง มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและต่อเนื่อง เนื่องจากมันเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความพยายามในระยะยาว ไม่ใช่อาศัยแค่การตอบโต้เป็นครั้งคราวเท่านั้น

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ความขัดแย้งล่าสุดทำให้ประชาชนนับแสนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องอพยพออกจากชุมชนของตัวเอง

นักวิชาการจาก ม.เกียวโต แนะนำว่ารัฐบาลควรจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการทูต การสื่อสาร และกฎหมาย โดยมีอำนาจในการตัดสินใจและประสานงานได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบโต้ข้อมูลเท็จและเผยแพร่ข้อเท็จจริงในทันทีที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ และต้องมั่นใจว่าสารที่ออกไปมีความสอดคล้องกันเป็น “เสียงเดียว” ของประเทศ

“ทุกการสื่อสารต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ชัดเจน มีหลักฐานสนับสนุน และอ้างอิงถึงกฎหมายระหว่างประเทศ หลักมนุษยธรรม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ tale ของไทย การแสดงความจริงใจและความโปร่งใสจะเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด” ศ.ดร.ปวิน กล่าว

อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญรายนี้แนะนำเพิ่มเติมคือ รัฐบาลจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนภายในประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีคลิปเสียงหลุดที่เกิดขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วการสนับสนุนจากประชาชนยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความชอบธรรมและการสร้างพลังเสียงบนเวทีโลก

“หากไทยสามารถแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ และการดำเนินการที่โปร่งใสและรวดเร็วได้อย่างสม่ำเสมอ ก็ยังมีโอกาสที่จะสร้างความเข้าใจและปรับสมดุลของ tale ในเวทีโลกได้ และสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือในระยะยาว” นักวิชาการจาก ม.เกียวโต กล่าวกับ.