
‘ศาลปกครองกลาง’ ยกคำร้อง ‘สภาผู้บริโภค’ ยื่นขอ ‘ไต่สวนฉุกเฉินฯ’ เพิกถอนประกาศหลักเกณฑ์ประมูลคลื่นฯ ‘กสทช.’
………………………….
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. นายวศิน พิพัฒนฉัตร ทนายความเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่า จากกรณีที่สภาผู้บริโภคได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลางเป็นครั้งที่สอง เพื่อขอให้มีการไต่สวนฉุกเฉิน และทุเลาการบังคับใช้ประกาศ กสทช. เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากลย่าน 2100 และ 2300 MHz
โดยให้เหตุผลว่า การที่มีผู้ประกอบการโทรคมนาคมเพียง 2 รายใหญ่ คือ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทรู) และบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (เอไอเอส) ที่แสดงความจำนงเข้าร่วมประมูลฯ ซึ่งสะท้อนถึงการแข่งขันที่จำกัด และเสี่ยงต่อการผูกขาดในกิจการโทรคมนาคมนั้น
ล่าสุดช่วงบ่ายของวันนี้ (18 มิ.ย.) ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉินฯ โดยระบุว่า ไม่มีกรณีเร่งด่วนที่ศาลจะไต่สวนฉุกเฉินตามคำขอ ประกอบกับศาลได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ทำคำชี้แจงต่อศาล ซึ่งจะครบกำหนดใน 20 มิ.ย.2568 นี้ เพื่อที่ศาลจะได้มีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวต่อไป
สำหรับกรณีคลื่น 2100 MHz ปัจจุบันบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค (เอดับบลิวเอ็น) ในเครือเอไอเอส ถือครองคลื่น 15 MHz และมีสัญญาร่วมใช้งานกับบริษัทในเครือ และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือเอ็นที (NT) อีก 15 MHz ซึ่งใบอนุญาตของเอ็นที จะสิ้นสุดในวันที่ 3 ส.ค.2568 หาก NT ไม่เข้าร่วมประมูล บริษัทจะไม่สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องได้ และส่งผลให้เอไอเอสที่ประมูลคลื่นนี้ต่อเพื่อรักษาคุณภาพบริการ โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากมีโครงข่ายรองรับอยู่แล้ว
ในขณะที่คลื่น 2300 MHz ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การให้บริการของดีแทค ได้กลายเป็นที่ทรูใช้งานเพียงรายเดียวหลังควบรวมกับดีแทค และยังมีข้อตกลงร่วมกับเอ็นที ทำให้ทรูต้องประมูลเพื่อคงคุณภาพบริการด้วยเหตุผลเดียวกัน
นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ดัชนีความกระจุกตัวของตลาด (HHI) ของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 4,803 ซึ่งถือว่าสูงมาก สะท้อนถึงการแข่งขันที่ลดลงอย่างชัดเจน ดังนั้น กสทช. ควรกำหนดให้บริษัทเหล่านี้เป็นผู้ที่มีอำนาจเหนือตลาดที่อาจเข้าเกณฑ์ตามประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณากำหนดผู้มีอำนาจเหนือตลาดในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2557
ทั้งนี้ หากผู้ประกอบธุรกิจที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดแล้ว จะต้องถูกกำกับราคาที่ให้บริการตามข้อ 5 ของประกาศ กสทช. เรื่อง อัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรคมนาคมสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงภายในประเทศ พ.ศ.2555 คือ สามารถเก็บค่าบริการในอัตราได้ไม่เกิน Ninety nine สตางค์ต่อนาที สำหรับค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
“การที่คลื่นความถี่สำคัญของประเทศถูกครอบครองโดยเอกชนเพียง 2 ราย ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้บริโภคขาดทางเลือก ยังส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูล การทำธุรกรรม และการเรียนรู้ล้วนต้องพึ่งพาระบบการสื่อสาร หากมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเป็นต่างชาติ หรือเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ระบบล่มหรือถูกโจมตีทางไซเบอร์ รัฐอาจไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันที ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
สภาผู้บริโภคจึงขอให้ผู้บริโภคร่วมติดตามและจับตาการพิจารณาคดีครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโครงสร้างตลาดโทรคมนาคมไทยในระยะยาว โดยมีความคาดหวังว่าศาลปกครองจะตระหนักถึงผลกระทบจากการประมูลที่มีผู้เข้าร่วมเพียงสองราย ในขณะที่หลักเกณฑ์คุ้มครองผู้บริโภคยังไม่เพียงพอต่อการสร้างความเป็นธรรมในตลาด การถือครองคลื่นโดยเอกชนไม่กี่รายอาจกระทบต่อบริการสาธารณะและความไว้วางใจของผู้บริโภคในระยะยาว” นายโสภณกล่าว
@‘ตุลาการผู้แถลงคดี’ชี้ควรเพิกถอนประกาศ‘ปธ.กสทช.’
วันเดียวกัน (18 มิ.ย.) ศาลปกครองกลางนัดพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ 1921/2566 ซึ่งเป็นคดีที่นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ยื่นฟ้อง ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และคณะกรรมการ กสทช. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ต่อศาลฯ เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใน 2 ประเด็น ได้แก่
1.ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำสั่งหรือประกาศหรือคำวินิจฉัยผลการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) รวมทั้งการกระทำทางปกครองที่เกี่ยวเนื่องทั้งหมดโดยมีผลย้อนหลังนับตั้งแต่เริ่มต้น และ
2.ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ออกระเบียบหรือประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ ในการคัดเลือกหรือการประเมินความรู้ความสามารถเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. รวมถึงดำเนินการคัดเลือกหรือสรรหาเลขาธิการ กสทช. ใหม่ให้ชอบด้วยกฎหมาย
รายงานข่าวแจ้งว่า ในการพิจารณาของศาลฯในวันนี้ ตุลาการผู้แถลงคดี ได้แถลงต่อองค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง โดยคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี สรุปสาระสำคัญได้ 2 ประเด็น คือ 1.เห็นควรให้เพิกถอน ประกาศของประธาน กสทช. เกี่ยวกับการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. เพราะเป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจ และไม่ชอบด้วยกฎหมาย และ กสทช. ไม่ได้ให้สัตยาบันต่อประกาศของประธาน กสทช. ดังกล่าว
และ 2.เห็นควรให้ยกฟ้อง กรณี กสทช. ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการออกประกาศ เนื่องจากศาลฯไม่อาจก้าวล่วงหรือบังคับให้ กสทช. ออกประกาศหรือกำหนดระยะเวลาให้ออกประกาศฯได้ เพราะเป็นดุลพินิจของ กสทช.
ทั้งนี้ ในการพิจารณาพิพากษาคดีในศาลปกครองนั้น ถือหลักถ่วงดุลการใช้อำนาจระหว่างตุลาการ โดยกำหนดให้มีตุลาการเจ้าของสำนวนคนหนึ่ง ซึ่งแต่งตั้งจากตุลาการในองค์คณะที่พิจารณาพิพากษาคดีนั้น เป็นผู้ดำเนินการแสวงหาและรวบรวมข้อเท็จจริง และมีตุลาการอีกคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้อยู่ในองค์คณะ เรียกว่า “ตุลาการผู้แถลงคดี” เป็นผู้ทำหน้าที่ตรวจสอบ และถ่วงดุลการทำหน้าที่ของตุลาการเจ้าของสำนวนและองค์คณะ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดี จะไม่ใช่คำพิพากษา เพราะคำตัดสินขององค์คณะเท่านั้นที่จะถือเป็นคำพิพากษา แต่กฎหมายกำหนดให้ศาลปกครอง ต้องพิมพ์เผยแพร่คำพิพากษาขององค์คณะและคำแถลงการณ์ของตุลาการผู้แถลงคดีต่อสาธารณะด้วย
สำหรับรายละเอียดของคดีหมายเลขดำที่ 1921/2566 นั้น ผู้ฟ้องคดี (นางสุรางคณา) เป็นผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ตามประกาศประธาน กสทช. เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ลงวันที่ 17 มี.ค.2566
ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ส.ค.2566 ประธาน กสทช. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ได้มีหนังสือ แจ้งผลการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ให้ผู้ฟ้องคดีทราบว่าไม่ได้รับการคัดเลือกเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช.
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ตามประกาศประธาน กสทช. ดังกล่าว เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่โดยไม่สุจริต และมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองกลาง โดยสรุปประเด็นตามคำฟ้อง ได้ดังนี้
(1) การดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากได้กระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ เพราะการคัดเลือกหรือประเมินความรู้ความสามารถเพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นอำนาจของ กสทช. ที่จะออกระเบียบหรือประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ตามมาตรา 58 (3) มิใช่อำนาจของประธาน กสทช.
(2) การดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากได้กระทำโดยไม่สุจริต เนื่องจากการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ กสทช. ในครั้งนี้ ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์และกรอบการให้คะแนนเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกสามารถใช้ดุลพินิจอย่างอิสระและเปิดกว้างเพียงใดก็ได้ ก่อให้เกิดการใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจ ทำให้ผลการพิจารณาเกิดความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดีและผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกรายอื่นที่ไม่ได้รับการคัดเลือก จึงเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อหลักธรรมาภิบาลและเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต
(3) การดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (ประธาน กสทช.) เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากมีลักษณะเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
กล่าวคือ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีหนังสือชี้แจงหลักเกณฑ์และการดำเนินกระบวนการคัดเลือกบุคคลเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. มีข้อความทำนองว่า ตำแหน่งเลขาธิการ กสทช. ต้องได้รับการยอมรับจากบุคคลภายในองค์กรด้วย จึงเห็นว่าการใช้เหตุผลในลักษณะดังกล่าวย่อมเป็นประโยชน์แก่บุคคลภายใน กสทช. มากกว่าบุคคลภายนอก ทำให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่มีโอกาสที่จะได้รับการคัดเลือก จึงเป็นการใช้ดุลพินิจในลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดีและผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือกซึ่งไม่ได้เป็นบุคลากรภายใน กสทช.
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )