วิเคราะห์ 4 ทางเลือกของ แพทองธาร-เพื่อไทย เพื่อออกจากวิกฤต “คลิปเสียงหลุด”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

แพทองธาร แถลงยืนยัน “รัฐบาลและกองทัพ” เป็นหนึ่งเดียวกัน หลังประชุมฝ่ายความมั่นคงและต่างประเทศที่ทำเนียบรัฐบาล 19 มิ.ย.

Article Files

    • Author, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
    • Role, ผู้สื่อข่าว.

รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทย (พท.) เคลื่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤต หลังมีการปล่อยคลิปเสียงสนทนาระหว่างผู้นำ 2 ประเทศ ไทย-กัมพูชา ความยาว 17.06 นาที จุดกระแสเรียกร้อง-กดดันให้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) แสดงความรับผิดชอบ ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมา “ขออภัย” ประชาชนที่ทำให้ไม่สบายใจ และยืนยันว่า “รัฐบาลและกองทัพเป็นหนึ่งเดียวกัน”

ในระหว่างสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อ 15 มิ.ย. แพทองธาร บอกกับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ผู้ที่เธอเรียกว่า “uncle” (อา) ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของเธอ “สั่นคลอนที่สุดแล้ว” และเรียกแม่ทัพภาพที่ 2 ว่า “คนของฝั่งตรงข้าม”

“ให้ท่านฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย เพราะว่าตอนนี้คนในประเทศไทยเขาไล่เราไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว”

“รัฐบาลสั่นคลอนที่สุดแล้วค่ะตั้งแต่อิ๊งเป็นนายกฯ มา ก็คือเรื่องกัมพูชานี่แหละ”

อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเป็นบิดาของ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน ยอมรับว่า เป็นคนอัดคลิปเองและปล่อยคลิปเสียงดังกล่าวเอง โดยที่คนปลายสายไม่มีทางล่วงรู้เลยว่าการพูดคุยที่เธอบอกว่าเป็น “private dialog” (บทสนทนาส่วนตัว) จะถูกอัดคลิปเสียงไว้และปล่อยออกมา และก่อให้เกิดแรงสะเทือนขั้นสุดแก่รัฐบาลมากกว่าที่เป็นมา

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Terminate of ได้รับความนิยมสูงสุด

“จะได้เข้าใจจุดประสงค์ว่าจริง ๆ เราจะทำเพื่อให้เกิดสันติภาพ ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นหนึ่งในการทำให้ reputation (คะแนนความนิยม) เพิ่มขึ้น” แพทองธาร แถลงช่วงหนึ่งเมื่อ 18 มิ.ย.

ที่มาของภาพ : FACEBOOK/Samdech Hun Sen

สมเด็จฮุน เซน โพสต์ภาพถ่ายคู่กับ ทักษิณ ชินวัตร โดยระบุว่า “แม้ว่าท่านจะเจ็บป่วย แต่ยังมีความเป็นพี่น้อง” หลังมาเยี่ยมอดีตนายกรัฐมนตรีไทย ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อ 21 ก.พ. 2567

ครอบครัวชินวัตรกับตระกูลฮุนคบหาและมีความสัมพันธ์แนบแน่นไม่ต่ำกว่า 40 ปี สมเด็จฮุน เซน นับถือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ผู้มีอาวุโสสูงกว่า 3 ปี เป็นประหนึ่ง “พี่ชาย” และยังเป็น “แขกวีไอพี” คนแรกที่เดินทางเข้าเยี่ยม ทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หลังได้ออกจาก รพ.ตำรวจ เมื่อ ก.พ. 2567

แม้ผู้นำรัฐบาลไทยวัย 38 ปี ออกมาชี้แจงว่า เป็น “เทคนิคในการพูดหลังไมค์” “เทคนิคในการเจรจา” แต่อาจไม่สามารถเรียกความเชื่อถือ-ศรัทธา-ไว้วางใจให้กลับคืนมาได้ สารพัดแรงกดดันพุ่งเข้าใส่ตัวเธอ ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบ

ถึงตอนนี้ นายกฯ คนที่ 3 จากตระกูลชินวัตรและเครือข่ายอำนาจ มีทางเลือกอะไรบ้างเพื่อพาตัวเองออกจากวิกฤตการเมือง แต่ละแนวทางมีผลดี-ผลเสีย-ผลที่ตามมาอย่างไร .วิเคราะห์ผ่านบทความนี้

ทางเลือกที่ 1: ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

วิธีนี้เป็นหนึ่งในทางลงของนายกฯ เจนวาย ที่นักการเมืองและนักรัฐศาสตร์บางส่วนเห็นว่าเป็น “ตัวเลือกที่ดีที่สุด” และน่าจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ได้ หาก แพทองธาร เอ่ยคำ “ขอโทษ” แล้วประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกฯ

กลุ่มที่ออกมาเสนอแนวทางนี้คือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งมี สส. อยู่ 19 คน โดยเป็นพรรคการเมืองแรกที่ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกฯ ประกาศลาออก โดยวิจารณ์การดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงว่าอ่อนแอ ขาดประสบการณ์และชั้นเชิงการเจรจา อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงกับประเทศ แสดงถ้อยคำดูหมิ่นศักดิ์ศรีกองกำลังด้านความมั่นคงของประเทศที่ปกป้องรักษาอธิปไตย

“การเป็นผู้นำที่ไม่มีประสบการณ์ในเรื่องความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่เวทีให้มือสมัครเล่นมาซ้อมมือ และสุดท้ายก็เกิดเรื่องที่ทำร้ายความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศขึ้น นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าประเทศไทยมีผู้นำที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่ความเสียเสียเปรียบและอ่อนแอ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน” แถลงการณ์ของพรรค พปชร. เมื่อ 18 มิ.ย. ระบุตอนหนึ่ง

ที่มาของภาพ : PR SENATE

พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา บอกว่า ความรู้สึกของประชาชนและข้าราชการทหาร คิดได้ว่า “นายกฯ ไม่มีความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน” กับการสนทนาที่เกิดขึ้น และมองว่าแม่ทัพภาค 2 เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง มองว่าแบบนี้ไปไม่ได้แล้ว

อีกกลุ่มคือสมาชิกวุฒิสภา (สว.) “สีน้ำเงิน” นำโดย พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา ประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคง ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้นายกฯ ลาออกจากตำแหน่งและยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันที

“บัดนี้ความอดทนของคนในชาติได้สิ้นสุดลงแล้ว จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากผู้นำรัฐบาลที่ด้อยความสามารถ ขาดประสิทธิภาพ ขาดภาวะผู้นำ ประเทศชาติขาดความเป็นปึกแผ่น ไร้ศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิ” แถลงการณ์ของ กมธ.ทหารฯ วุฒิสภาเมื่อ 19 มิ.ย. ระบุ

พล.อ.สวัสดิ์ ยังบอกด้วยว่า กมธ. ไม่อาจปล่อยให้ “บุคคลที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับประเทศไทย” บริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้แม้แต่วินาทีเดียว จึงจําเป็นต้องยื่นถอดถอน แพทองธาร ออกจากตําแหน่งนายกฯ จากกรณีขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ผลที่อาจตามมา:

หากนายกฯ อุ๊งอิ๊งยอมลุกจากเก้าอี้จริง คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดเดิมต้องอยู่รักษาการต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ โดยสภาผู้แทนราษฎรต้องประชุมเพื่อลงมติเลือกนายกฯ คนที่ 32 โดยผู้ได้รับเลือกต้องมีคะแนนเห็นชอบมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรือ 248 เสียง จาก สส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ทั้งหมด 495 คน

ในการโหวตเลือกประมุขฝ่ายบริหารคนใหม่ ต้องเลือกจากแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีของพรรคการเมืองที่แจ้งไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง 2566 โดยพรรคการเมืองนั้น ๆ ต้องมี สส. ไม่น้อยกว่า 5% ของ สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา หรือ 25 คนขึ้นไป (ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 159) ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่ 6 คน จาก 5 พรรคการเมือง ได้แก่

  • พรรคเพื่อไทย ที่มี สส. 141 คน: ชัยเกษม นิติสิริ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นแคนดิเดตที่เหลืออยู่คนสุดท้ายของพรรค
  • พรรคภูมิไทยไทย มี สส. 69 คน: อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค
  • พรรครวมไทยสร้างชาติ มี สส. 36 คน: พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค
  • พรรคประชาธิปัตย์ มี สส. 25 คน: จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ
  • พรรคพลังประชารัฐ มี สส. 19 คน (หลังเลือกตั้งมี สส. 40 คน ก่อนที่กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะแยกพรรคไป): พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค

อย่างไรก็ตามชื่อของ พล.อ.ประวิตร ยังมีข้อถกเถียงทางกฎหมายที่ตีความได้ 2 แนวทาง โดยนักกฎหมายรายหนึ่งให้ความเห็นกับ.ว่า หากยึดตามเอกสารความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 88 ที่ให้พรรคการเมืองแจ้งชื่อนายกฯ ในบัญชี เพราะต้องการให้ประชาชนรู้ล่วงหน้าว่าจะเสนอใครเป็นนายกฯ ก่อนวันเลือกตั้ง และเมื่อพรรคนั้น ๆ ได้ สส. เกิน 5% ก็ถือว่าแคนดิเดตมีคุณสมบัติได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ ได้ “กฎหมายไม่ได้เขียนว่าต่อมาภายหลังเสียงหายไป แล้วจะหมดสิทธิ คล้ายกับกรณี สส.บัญชีรายชื่อที่แม้พรรคต้นสังกัดถูกยุบไป หรือมีการย้ายพรรค แต่ สส. คนนั้นก็ไม่ขาดสมาชิกภาพ” ส่วนการตีความอีกแนวทางคือ ให้ยึดวันที่สภาโหวตเลือกนายกฯ คือเฉพาะแคนดิเดตที่มาจากพรรคที่มี สส. เกิน 5% ของสภาเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสได้รับการเสนอชื่อชิงเก้าอี้นายกฯ ได้

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

3 แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย – เศรษฐา ทวีสิน, แพทองธาร ชินวัตร, ชัยเกษม นิติสิริ (จากซ้ายไปขวา) – ขึ้นรถแห่หาเสียงภายหลังสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ และจับสลากเบอร์พรรค เมื่อ 4 เม.ย. 2566

หากเลือกแนวทางนายกฯ ลาออก พรรค พท. ต้องเผชิญความเสี่ยงจากภาวะ “ขาลอย” ทันที แต่ถ้าตกลงกันได้ว่าจะเสนอชื่อใครเป็นนายกฯ คนใหม่ ก็จะใช้เวลาไม่นานนักในการตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ถ้าย้อนไปดูการรับไม้ต่อนายกฯ จากรัฐบาล “เศรษฐา” มาถึงรัฐบาล “แพทองธาร” ใช้เวลา 24 วัน (14 ส.ค.-6 ก.ย. 2567) ก่อนได้ ครม. ชุดใหม่บริหารราชการแผ่นดิน

  • ใช้เวลา 2 วันในการเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ หลังจาก เศรษฐา ทวีสิน พ้นเก้าอี้นายกฯ ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 14 ส.ค. 2567
  • ใช้เวลาอีก 4 วันในขั้นตอนทูลเกล้าฯ และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกฯ เมื่อ 18 ส.ค. 2567
  • ใช้เวลาเกือบ 3 สัปดาห์ในการตรวจสอบคุณสมบัติ ครม. ก่อนนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม. เมื่อ 4 ก.ย. 2567
  • ใช้เวลาอีก 2 วัน นายกฯ นำ ครม. เข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่เมื่อ 6 ก.ย. 2567 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ ครม. รักษาการต้องพ้นไป

ทางเลือกที่ 2: ยุบสภา

ด้วยโฉมหน้าค่าตาของแคนดิเดตนายกฯ ที่เหลืออยู่ ทำให้หลายฝ่าย รวมถึงผู้นำฝ่ายค้านในสภามองว่า “ไม่ใช่ทางออก ไม่ใช่รัฐบาลที่ดีที่สุด” ที่จะนำประเทศผ่านพ้นวิกฤตการณ์ทางการเมืองทั้งในประเทศและระหว่างประเทศไปได้ จึงมีข้อเสนอให้นายกฯ ประกาศยุบสภา เพื่อคืนอำนาจในการตัดสินใจให้ประชาชนคนไทย

กลุ่มที่ออกมาชูแนวทางนี้เป็นหลัก หนีไม่พ้น “พรรคสีส้ม” โดยแกนนำตั้งแต่รุ่น 1-3 ให้ความเห็นตรงกัน

ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ปัจจุบันเป็นเลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของเขา เรียกร้องให้นายกฯ ยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศได้ตัดสินใจกันใหม่ว่าต้องการให้ใครเป็นรัฐบาล เพื่อแก้วิกฤตการเมืองในระยะสั้นทั้งของประเทศและทั้งของพรรคเพื่อไทยเอง “เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงทางตัน และเพื่อไม่ให้สถานการณ์เดินไปจนเข้าทางพวกจ้องรัฐประหาร ดังนั้นนายกฯ โปรดแสดงภาวะผู้นำ ยุบสภาเถิดครับ ไม่มีอะไรใหญ่กว่าประชาชน”

“นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่เกิดขึ้นยากที่สุด” ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้ความเห็นในรายการเจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์ โดยอ้างถึง 2 ปัจจัยคือ พรรค พท. ไม่พร้อมลงสมัครรับเลือกตั้งในเวลานี้ และ “ผู้กำกับการแสดง” ไม่ต้องการให้เกิดการเลือกตั้งเร็ว

ที่มาของภาพ : กองโฆษก พรรคประชาชน

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เปิดแถลงข่าว 19 มิ.ย. ยืนยันว่าการยุบสภาเป็นทางออกที่ดีที่สุด

ด้าน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) และผู้นำฝ่ายค้านในสภา นำทีมแถลงจุดยืนของพรรค เรียกร้องให้นายกฯ ใช้อำนาจในการยุบสภา โดยชี้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น “ความชอบธรรมสุดท้ายที่ แพทองธาร ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการบริหารราชการแผ่นดินหมดสิ้นแล้ว” หลังก่อนหน้านี้มีการตั้งรัฐบาล “ตระบัดสัตย์ข้ามขั้ว” และไม่สามารถแก้ปัญหาใหญ่ให้ประเทศได้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

หัวหน้าพรรค ปชน. เน้นย้ำว่า กลไกการปฏิวัติรัฐประหารไม่ใช่ทางออกแน่นอน ขณะเดียวกันบริบททางการเมือง เสียงสภา รวมถึงแคนดิเดตนายกฯ ที่มีอยู่ หากกางออกมาดูทั้งหมด จะเห็นว่าอาจมีหลายส่วนที่ต้องตั้งคำถาม “ดังนั้นสิ่งที่เป็นทางออกให้กับประเทศจริง ๆ คือการยุบสภา เปิดโอกาสให้ทุกพรรคนำเสนอนโยบายของตัวเอง เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ออกไปใช้สิทธิใช้เสียงของเขา ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจเลือกรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง”

หากพรรค พท. ยังอยู่ในอำนาจต่อไป หัวหน้าพรรคสีส้มประกาศว่าพร้อมใช้กลไกทุกอย่างในสภา เช่น การลงมติในทุกเวที เพื่อกดดันให้นายกฯ ยุบสภาโดยเร็ว

หากมีการยุบสภาจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกับการเลือกตั้งปี 2557 ที่การเลือกตั้งเป็นโมฆะและเกิดการยึดอำนาจหรือไม่? ณัฐพงษ์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า บริบทในตอนนี้กับตอนนั้นต่างกัน สำหรับพรรค ปชน. ไม่มีทางที่จะคัดค้านการเลือกตั้งแน่นอน ยืนยันเดืนหน้ามุ่งสู่การเลือกตั้ง

ผลที่อาจตามมา:

หาก แพทองธาร เลือกใช้อาวุธที่นายกฯ ถือไว้คนเดียวในมืออย่างการยุบสภา อาจจะกลายเป็นฝ่ายที่บาดเจ็บเสียเอง เพราะโอกาสที่พรรค พท. จะหวนคืนสู่ทำเนียบรัฐบาลได้อีกดูจะริบหรี่ยิ่ง เนื่องจากกระแสนิยมที่กำลังตกต่ำ อีกทั้งเพิ่งผ่านความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2566 มา โดยที่พรรค พท. ถูกวิจารณ์ว่ายังไม่ได้สร้าง “รูปธรรม” ในการผลักดันนโยบายหลัก ๆ ตามที่หาเสียงเอาไว้ภายใต้คำขวัญ “คิดใหญ่ ทำเป็น”

อย่างไรก็ตามหากนายกฯ ประกาศยุบสภาจริง ต้องใช้เวลาราว 5 เดือนเศษ จึงจะได้ ครม. ชุดใหม่ โดยขั้นตอนเริ่มจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 45-60 วันภายหลังมี พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร และ กกต. มีเวลา 60 วันในการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง และเมื่อมีการประกาศรับรอง สส. อย่างเป็นทางการครบ 95% แล้วก็เปิดประชุมสภาครั้งแรกภายใน 15 วัน เพื่อเลือกประธานและรองประธานสภาทั้ง 2 คน ก่อนเข้าสู่กระบวนการเลือกนายกฯ และจัดตั้ง ครม. ต่อไป

ถ้าย้อนไปดูกรณีล่าสุด เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศยุบสภาเมื่อ 20 มี.ค. 2566 ก็ใช้เวลา 170 วันก่อนที่ ครม. “เศรษฐา” จะเข้าถวายสัตย์ฯ เรียบร้อย (20 มี.ค.-5 ก.ย. 2566) โดยระหว่างนี้ ครม. “ประยุทธ์” ยังทำหน้าที่รักษาการต่อไป อย่างไรก็ต้องหมายเหตุเอาไว้ว่า ในการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง 2566 มีความพยายามจัดตั้งรัฐบาล 2 ชุด และโหวตต้องโหวตเลือกนายกฯ 3 รอบ แบ่งเป็น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล 2 รอบ และ เศรษฐา ทวีสิน จากพรรค พท. 1 รอบ โดยที่ สว. มีอำนาจร่วมโหวตเลือกนายกฯ กับ สส. ด้วย

ทางเลือกที่ 3: พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว

ที่มาของภาพ : สำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

อนุทิน ชาญวีรกูล ยืนให้กำลังใจนายกฯ ขณะแถลงข่าวกรณี “คลิปหลุด” เมื่อ 18 มิ.ย. โดยถือเป็นครั้งสุดท้ายที่หัวหน้าพรรค ภท. จะเป็น “วอลเปเปอร์” ให้นายกฯ ก่อนนำพรรคถอนตัวจากรัฐบาลในค่ำวันเดียวกัน

เป็นธรรมดาที่นักเลือกตั้งจะไวต่อกระแสสังคมและความรู้สึกของประชาชน และมักแสดงบทบาทที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีเสียงเรียกร้องจากคนทั้งในโลกออนไลน์และออนกราวด์ให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล

พรรคอันดับ 2 ของรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย (ภท.) ได้จังหวะเปิด “เกมรุกกลับ” ค่ำวันที่ 18 มิ.ย. ด้วยการออกแถลงการณ์ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล โดยให้ 8 รมต. ของพรรคยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง มีผล 19 มิ.ย. หลังเกิดกรณี “คลิปเสียงหลุด” ทั้งที่ก่อนหน้านี้ พรรค ภท. ส่อเค้าตกที่นั่งฝ่ายค้านอยู่แล้ว หลังจากไม่อาจบรรลุดีล “2 แลก 1” ที่พรรค พท. เสนอเก้าอี้ 1 รมว.สาธารณสุข กับ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้แลกกับการคืนเก้าอี้ รมว.มหาดไทย ให้พรรคแกนนำรัฐบาล แต่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย พ่วงหัวหน้าพรรค ภท. ไม่รับข้อเสนอ และยอมรับว่า “ต่างคนต่างไป”

แถลงการณ์ของพรรค ภท. ยังเรียกร้องให้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบต่อการทำให้ประเทศไทย ต้องเสียเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรีของชาติ ประชาชน และกองทัพ ทว่าไม่มีการระบุว่า แพทองธาร ต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างไร

ความเคลื่อนไหวของพรรคสีน้ำเงินกลายเป็นแรงกดดันให้พรรคร่วมฯ ที่เหลือ โดยเฉพาะพรรคที่มีแนวคิดฝ่ายอนุรักษนิยมต้องตัดสินใจ-แสดงจุดยืนอย่างหนึ่งอย่างใด

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. ยังไม่ให้รายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับมติพรรค โดยพยายามหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์สื่อ เมื่อ 19 มิ.ย.

วันนี้ (19 มิ.ย.) มีการประชุมคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) 3 พรรคการเมือง ที่มีเสียงรวมกัน 71 เสียง และยึดครองเก้าอี้ รมต. รวมกัน 7 ตัว ได้แก่ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มี 36 สส. มี รมต. 4 คน แต่แบ่งเป็น 2 ขั้วอำนาจภายในพรรคคือ ขั้วหัวหน้าพรรค+เลขาธิการพรรค กับ “กลุ่ม 18” ภายใต้การนำของ สุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ และรองหัวหน้าพรรค, พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มี 25 สส. มี รมต. 2 คน, พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) มี 10 สส. มี รมต. 1 คน

แต่ทั้ง 3 พรรคยังไม่มีการเปิดเผยมติพรรคอย่างเป็นทางการ มีเพียง “แหล่งข่าว” ที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อทำหน้าที่กระจายข่าวสารให้แก่สื่อ ซึ่งสรุปใจความได้ตรงกันว่า ณ วันนี้ยังไม่มีพรรคใดถอนตัวจากรัฐบาลเพิ่มเติม

พรรค รทสช. ไม่มีการสื่อสารใด ๆ มีเพียงคำกล่าวของ พีระพันธุ์ สารีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่บอกเพียงว่า “มติให้ผมนำไปเรียนท่านนายกฯ ก่อน” โดยไม่ได้ขยายความว่าจะไป “เรียนนายกฯ” ว่าอะไร

ด้านพรรค ปชป. มีข้อความแจ้งกับสังคมเพียงว่า “ให้รอแถลงการณ์” และ “เป็นมติร่วม”

เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “ให้รอแถลงการณ์ ถือว่าชัดเจนที่สุดแล้ว” แต่จนถึงเวลา 22.30 น. ก็ยังไม่ปรากฏเงาของเอกสารแต่อย่างใด

ส่วนที่มีกระแสข่าวต่อรองเก้าอี้ รมต. นั้น เขา “ขอยืนยันด้วยความสัตย์จริงว่า พรรค ปชป. ไม่เคยต่อรองเรื่องตำแหน่ง”

อย่างไรก็ตาม เดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สุข ในฐานะเลขาธิการพรรค ปชป. ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่ามติของที่ประชุม กก.บห. เป็นเอกฉันท์แล้วหรือไม่ว่าจะอยู่ร่วมรัฐบาลต่อ โดยยอมรับว่า “ใช่ครับ แต่ว่าเงื่อนไขต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรคเป็นผู้พูดคุย”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

พรรคประชาธิปัตย์ใช้เวลาประชุมยาวนาน โดยมี เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม 19 มิ.ย.

ในส่วนของ ชทพ. วราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ระบุว่า “การตัดสินใจยังมีข้อมูลไม่ครบถ้วน” เนื่องจากเหตุเพิ่งเกิดเมื่อ 24 ชม. ที่ผ่านมา สมาชิกพรรคได้มอบหมายให้หัวหน้าพรรคเป็นตัวแทนพูดคุยหารือกับนายกฯ ในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น และมีแนวทางอย่างไร

“วันนี้ยังไม่ถอน (จากการร่วมรัฐบาล) และจะขอไปพูดคุยก่อนว่าแนวทางการทำงานจะเป็นอย่างไร” หัวหน้าพรรค 10 เสียงกล่าว

แต่สำหรับ 2 พรรคการเมืองที่ถูกมองว่าเป็น “พันธมิตรใกล้ชิด” ของเพื่อไทย หัวหน้าพรรคได้ออกมาประกาศชัดเจนว่ายังร่วมรัฐบาลต่อไป

พรรคกล้าธรรม (กธ.) ที่มี สส. 26 เสียง ยังไม่เรียกประชุมพรรค โดยให้เหตุผลว่า สส. อยู่ในพื้นที่ดูแลประชาชนในช่วงปิดสมัยประชุมสภา อย่างไรก็ตาม นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ให้สัมภาษณ์ว่ายังสนับสนุนนายกฯ อยู่ และพร้อมยืนอยู่ข้างคนไทยและกองทัพ

ไม่ต่างจาก พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชาติ (ปช.) ซึ่งมี 9 สส. ที่ยืนยันว่า “เป็นรัฐบาลอยู่” และเห็นว่า “รัฐบาลต้องไปต่อ ถ้าลาออกต้องมีการปรับ รมต. เพราะคนที่จะเอารัฐบาลออกก็คือสภา…” โดยหลังจากนี้รัฐบาลคงมีมาตรการให้ประชาชนเชื่อมั่นออกมา

ผลที่อาจตามมา:

หากพรรคร่วมฯ เลือกเดินตามรอยพรรค ภท. จะทำให้รัฐบาล “แพทองธาร” ซึ่งเหลือเสียงในสภา 261 เสียงหลังการถอนตัวของพรรคสีน้ำเงิน และเกินกึ่งหนึ่งของสภาไปเพียง 13 เสียง ต้องกลายสภาพจาก “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” เป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ทันที

ในส่วนของ ครม. ที่เหลืออยู่ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ และอาจมีการเกลี่ยโควตา รมต. กันใหม่ให้สอดคล้องกับองค์ประกอบและสัดส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลที่เปลี่ยนแปลงไป และหาเสียง “งูเห่า” มาเติมเป็นครั้งคราวในการลงมติสำคัญ ๆ แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาว่ารัฐบาลเหลือเสียงเท่าไรกันแน่

ท่ามกลางภาวะระส่ำระสายที่เกิดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรวมเสียงตั้งรัฐบาลแข่งขึ้นมา แม้ แพทองธาร ยังไม่ลาออกจากตำแหน่งนายกฯ ก็ตาม และเกิดการช่วงชิงกันเป็น “หัวหอกใหม่ของฝ่ายอนุรักษนิยม”

ทางเลือกที่ 4: นายกฯ อยู่ในตำแหน่งต่อไป

นี่คือทางเลือกที่คนไกลตัวนายกฯ และคนนอกเพื่อไทย เห็นตรงกันว่า “นายกฯ น้อย” ไม่ควรเลือกมากที่สุด ทว่าถ้าดูท่าทีและความเคลื่อนไหวของ แพทองธาร ในรอบ 24 ชม. ที่ผ่านมา จะทำให้เห็นคำตอบว่าเธอเลือกแล้วที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป และต้องทำอย่างมียุทธศาสตร์

วันนี้ (19 มิ.ย.) แพทองธาร เรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคงและกระทรวงการต่างประเทศ ก่อนเปิดแถลงข่าว “ขออภัย” ประชาชนคนไทยที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ กรณีมีคลิปเสียงการสนทนาของเธอกับผู้นำกัมพูชาออกมา โดยบอกว่าได้ทำความเข้าใจกับทางกองทัพเรียบร้อยแล้ว ทางกองทัพได้รับฟังและบอกว่าวันนี้เราต้องร่วมมือกันผนึกกำลังกันเอาไว้

“วันนี้ทุกภาคส่วนได้สรุปว่ามันเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ นี่คือภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ภัยเล็ก ๆ ของประชาชน” นายกฯ แถลงข่าวโดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพหรือตัวแทนร่วมอยู่ข้างหลัง

ผู้นำรัฐบาลรายนี้ยังกล่าวด้วยว่า รัฐบาลและกองทัพขอแสดงความรับผิดชอบในการปกป้องอธิปไตยที่เราดูแลร่วมกัน และยืนยันว่า “ทางรัฐบาลและกองทัพเป็นหนึ่งเดียวกัน อยากให้พี่น้องประชาชนเป็นหนึ่งเดียวกับเราด้วยเพื่อสามัคคีในประเทศชาติ ปกป้องอธิปไตยของเราไว้ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสู้กันเอง”

ถ้าพิจารณาจากมุมของ แพทองธาร การปล่อยมือจากอำนาจดูจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักสำหรับพรรค พท. ตัวเธอ รวมถึงบิดาของเธอ ซึ่งมีทั้ง “คดี 112” ในศาลอาญา และ “คดีชั้น 14” ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ผลที่อาจตามมา:

การเลือกไปต่อของ แพทองธาร ยากจะคาดเดาว่าเธอจะไปได้นานแค่ไหนอย่างไร เพราะนอกจากต้องเผชิญกับแรงเสียดทานในสภาจากเสียงของรัฐบาลที่ลดลง ยังต้องประสบกับวิบากกรรมทางคดีมากมาย เพราะเพียงวันเดียวมีทั้งนักการเมือง นักกิจกรรมการเมือง นักร้อง(การเมือง) ยื่นคำร้องผ่านองค์กรอิสระต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.), คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ), ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ตรวจสอบ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการถอดถอนนายกฯ หญิงออกจากตำแหน่ง

ข้อกล่าวหาที่นักเคลื่อนไหวเหล่านี้ระบุตรงกันคือ แพทองธาร มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์, ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นนายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) หรือไม่

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

คปท. นัดชุมนุมที่ทำเนียบฯ ในช่วงที่นายกฯ กำลังประชุมอยู่ภายใน เมื่อ 19 มิ.ย.

นายกฯ คนที่ 3 จากตระกูลชินวัตร ยังต้องเตรียมรับมือกับการชุมนุมขับไล่ของมวลชนนอกสภา ซึ่งเดิมอาจมีจำนวนไม่มากนัก แต่ “คลิปเสียง” ที่ออกมาปลุกกระแสความไม่พอใจรัฐบาลเพื่อไทยให้ลุกลามขึ้น

ผู้ชุมนุมที่เรียกตัวเองว่า เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เคลื่อนประชิดรั้วทำเนียบฯ ทันที เรียกร้องให้ประชาชน “ออกมาแสดงพลังรักชาติ ปกป้องแผ่นดิน” ตั้งแต่วันนี้ (19 มิ.ย.) และยังนัดหมายชุมนุมใหญ่โดยปักหลักพักค้าง 21-24 มิ.ย. เพื่อกดดันให้นายกฯ แพทองธาร และ ครม. ลาออกทั้งคณะ

แพทองธาร เป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยบริหารราชการแผ่นดินมาแล้ว 9 เดือน

เธอเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของ ทักษิณ นายกฯ คนที่ 23 และเป็นหลานของ ยิ่งลักษณ์ นายกฯ คนที่ 28 ทั้งคู่ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมือง มีมวลชนขนาดใหญ่มาชุมนุมขับไล่ยาวนาน แม้ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ เลือกออกจากวิกฤตด้วยประกาศยุบสภา แต่ไม่ทำให้ความโกรธแค้นของผู้คนบนถนนเบาบางลง สุดท้าย 2 พี่น้องตระกูลชินวัตรต้องพ้นจากอำนาจเพราะรัฐประหารปี 2549 และ 2557 ตามลำดับ

กับกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดกับ “คลิป 2 ผู้นำ” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ในประเทศที่เกิดขึ้น โดยขอให้คนไทยเชื่อมั่นในกองทัพบก “ที่มีจุดยืนในการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพร้อมทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างสุดความสามารถภายใต้กลไกที่มีอยู่”

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. คือผู้ถ่ายทอดสารจาก ผบ.ทบ. โดยผู้นำของทัพบกเน้นย้ำว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในห้วงเวลานี้คือ “คนไทยต้องสามัคคี” ร่วมกันปกป้องอธิปไตยจากผู้ไม่หวังดี โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

กองทัพบกขึ้นป้ายให้กำลังใจ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในการทำหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย.