
“การรัฐประหาร มันเป็นการที่ทําให้ประเทศหยุดชะงัก” ฟังเสียงผู้ร่วมชุมนุมขับไล่นายกฯ อยากเปลี่ยนรัฐบาล แต่รัฐประหารยังไม่ใช่ทางเลือก

ที่มาของภาพ : BBC Thai
Article Records
-
- Writer, วศินี พบูประภาพ
- Characteristic, ผู้สื่อข่าว.
“เขา นายก ไปพูดกับฮุน เซน ว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้าม” ขนงนาฎ ยิ้มศิริ หนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. แสดงความไม่พอใจในตัวนายกรัฐมนตรี เมื่อกล่าวถึงคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ คนที่สามจากตระกูลชินวัตร กับ สมเด็จฮุน เซน ซึ่งถูกเผยแพร่ออกมาทางโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.
คลิปความยาว 9 นาทีเศษซึ่งนายกรัฐมนตรียอมรับว่าเป็นคลิปจริง ถูกปล่อยออกมาในเวลาราวบ่ายสองของวันที่ 18 มิ.ย. ก่อนที่คลิปตัวเต็มความยาว 17.06 นาทีจะถูกปล่อยออกมาในช่วงค่ำวันเดียวกัน ในคลิปดังกล่าว นายกรัฐมนตรีของไทยใช้สรรพนามเรียกอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาว่า “uncle” (อา) โดยมีล่ามที่เรียกขานว่า “พี่ฮวด” คอยแปลภาษาให้
หลังคลิปเสียงดังกล่าวถูกเผยแพร่ เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ได้ประกาศผ่านเฟซบุ๊กในวันเดียวกัน เรียกระดมพลชุมนุม ณ ทำเนียบรัฐบาล ในวันพฤหัสบดีที่ 19 มิ.ย.
พิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่าย คปท. แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเวลา 11.00 น. วานนี้ว่า นายกรัฐมนตรี “ดูถูกแม่ทัพนายกองผู้ปกป้องอธิปไตยของประเทศ” เท่ากับเป็นการ “เอาความลับของประเทศไทยไปขายให้กับกัมพูชา” พร้อมเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล รวมถึงให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งทันทีเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
.ลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมการชุมนุมของ คปท. ณ สะพานชมัยมรุเชฐ สถานที่เดียวกับพื้นที่ซึ่งกลุ่ม คปท. จับจองจัดกิจกรรมมาตั้งแต่ปลายปี 2567
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue discovering outได้รับความนิยมสูงสุด
Quit of ได้รับความนิยมสูงสุด
ในวันชุมนุมวาระนี้ ทางเดินเท้าทิศตะวันออกถูกคลุมด้วยเต๊นท์ขนาดใหญ่ พร้อมด้วยเวทีและเครื่องเสียงในลักษณะกึ่งถาวร แต่ที่ต่างออกไปคือมีข้อความเพิ่มเติมในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกรณี “คลิปเสียง” และข้อความให้กำลังใจทหาร เช่น “saveแม่ทัพภาค 2” หรือ “รัฐบาลไทยหัวใจแขมร์ออกไป!”

ที่มาของภาพ : BBC Thai
ไม่พอใจคำพูดนายกฯ “ทหารไม่ใช่พวกเรา”
“แม่ทัพภาค2 ไม่ใช่พวกเรา แล้วนายกฯ พวกใคร” ราเชษฐ์ บินมาลา ผู้ชุมนุมจากจังหวัดนครสวรรค์ ที่เดินทางมายังหน้าทำเนียบรัฐบาลบอกกับ. “เราคือคนไทย เราคือพลเมืองไทย นายกฯ เป็นผู้นําของเรา แต่นายกบอกว่าแม่ทัพภาค 2 ไม่ใช่พวกของเรา”
จุดร่วมของผู้ชุมนุมทุกคนที่.ได้สัมภาษณ์ คือการระบุว่า “คลิปหลุด” เป็นปมจุดอารมณ์จนต้องเดินทางมาร่วมการชุมนุมในครั้งนี้ โดยหนึ่งในใจความที่พวกเขารับไม่ได้ คือคำพูดที่นายกรัฐมนตรีกล่าวกับอดีตผู้นำกัมพูชา โดยพาดพิงถึงแม่ทัพภาค 2 ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม”
ทิมน์ นิธิวัชร์ ที่มาร่วมชุมนุมในวันนี้ด้วยกล่าวว่า ทหารทําหน้าที่ปกป้องไว้ซึ่งเขตอธิปไตย ส่วนนายกฯ ก็เป็นผู้ที่ควรให้การสนับสนุน เขากล่าวว่านายกฯ “ควรที่จะไม่สร้างให้เกิดรอยร้าว หรือทําตัวเป็นคนละขั้วกับกองทัพ”
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีออกมาชี้แจงไม่นานหลังจากคลิปเสียงถูกเปิดเผย ว่าได้ต่อสายพูดคุยกับ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 แล้ว โดยปรับความเข้าใจกันเป็นอย่างดี และได้เดินทางไปยังจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อพบกับแม่ทัพภาคที่ 2 ด้วยตนเองในวันนี้ (20 มิ.ย.) เรียบร้อยแล้ว
.สังเกตด้วยว่า อีกหนึ่งถ้อยคำที่ถูกยกมาเป็นประเด็นตลอดการชุมนุมในครั้งนี้ คือการใช้คำว่า “ไส้ศึก” ทั้งผ่านคำปราศรัยบนเวที ตลอดจนสิ่งพิมพ์ภายในการชุมนุม
“เขา นายกฯ บอกว่าเอาอะไรก็ได้ให้หมด ให้หมดไม่ได้” ขนิษฐา ประสิทธิชัย ผู้ชุมนุมที่ร่วมเดินทางมากับขนงนาฎกล่าว “ไม่ใช่ของเขาเนอะ จะมาให้หมดอะไร”
ส่วน จิตพัฒน์ พูลศิริ ที่บอกว่าตนเดินทางมา “ดูสถานการณ์การชุมนุม” ให้สัมภาษณ์กับ.ว่า “นายกฯ ละเลยการปฏิบัติตามเจตนาที่จะแสดงความจริงใจต่อประเทศ รู้เห็นเป็นใจ เอื้อประโยชน์ทางญาติพี่น้องโดยการนับเขา ฮุน เซน เป็นญาติ”

ที่มาของภาพ : BBC Thai
ทหารคือรั้วของชาติ
“ประเทศชาติถ้าขาดทหาร คุณไม่มีสิทธิได้ยืนตรงนี้หรอก ทหารคือหัวใจหลักและคือรั้วของเรา”
ราเชษฐ์ สะท้อนว่าความรู้สึกกระทบใจจากคำพูดของนายกฯ มาจากความผูกพันกับสถาบันทหารซึ่งเขามองว่าเป็นสถาบันที่สำคัญ
.สังเกตว่าผู้ชุมนุมหลายรายปรากฏกายด้วยชุดแต่งกายทหารในรูปแบบต่าง ๆ เช่น จิตพัฒน์ ซึ่งเดินทางมาที่ชุมนุมด้วยการแต่งกายสไตล์ทหาร รวมถึงยังมีผู้ชุมนุมอีกหลายรายที่แต่งกายเป็นทหารไทยโบราณ รวมถึงชุดคล้ายทหารพรานพร้อมข้อความบนเครื่องแบบว่า “ค่ายปักธงชัย”
ส่วน ขนงนาฎ สวมเสื้อสกรีนข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า “ทีมไทยแลนด์ (Team Thailand)” ซึ่งเธอกล่าวว่าได้ร่วมกับ ขนิษฐา ผลิตเพื่อระดมทุนสนับสนุนปฏิบัติการของทหาร

ที่มาของภาพ : BBC Thai
ขนิษฐา กล่าวว่าตนส่งเครื่องอุปโภคบริโภคไปชายแดนทันทีที่ทราบข่าวการปะทะเมื่อวันที่ 28 พ.ค. โดยเธอมองว่าทหารไม่เพียงเป็น “รั้วของชาติ” แต่เมื่อมีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ทหารก็มักเป็นผู้ไปก่อนทุกครั้ง “น้ำท่วมไฟไหม้ ทหารช่วยตลอด” เธอระบุ
“มากกว่าร้อยละ 80 ทหารดีเยอะอยู่แล้ว อาจจะมีบางคนที่ใช้สิทธิของการเป็นทหาร เป็นข้าราชการไปทำอะไรที่ผิดกฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง มันก็มี แต่ว่ามีน้อย” ทิมน์ กล่าวเสริมกับ. พร้อมย้ำว่าทหารคือสถาบันที่อยู่กับประชาชนเสมอ
เรียกร้องนายกฯ ลาออกหรือยุบสภา
“จริง ๆ แล้วอยากออกมาชุมนุมตั้งนานแล้วเถอะ แต่ไม่มีอะไรจี๊ดใจขนาดนี้ อยู่ไม่ได้แล้ว” ขนงนาฎ ซึ่งเป็นบุคลากรในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง กล่าว
ผู้ชุมนุมหลายรายชี้ตรงกันว่าประเด็น “คลิปเสียงหลุด” เป็นตัวจุดประเด็นให้พวกเขาออกมาชุมนุมในครั้งนี้ พร้อมยอมรับว่าไม่ชอบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร เป็นทุนเดิมด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป ความคิดเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับข้อความและอุปกรณ์ประดับสถานที่ชุมนุมโดยรอบ อาทิ ป้าย “ไม่เอากาสิโน” และหุ่นประดับผู้ชายหน้าคล้ายอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ในชุดเทวดาพร้อมข้อความ “ชั้น 14”
“ไม่พอใจมานานแล้ว ตั้งแต่นายกฯ ทำอะไรไม่ได้เลย” ธรรมรัตน์ ภวะเวส อดีตพนักงานเอกชนที่ปรากฏตัวในที่ชุมนุมกล่าวกับ. “ประเทศไทยน่าจะไปได้ดีกว่านี้ถ้ามีผู้นำที่ฉลาด”
เธออธิบายว่า “คิดได้แต่ว่าทำยังไงให้รัฐบาลหมดอำนาจไป” เพื่อจะได้เปิดทางให้ผู้นำในอุดมคติของเธอที่ “ใจซื่อ มือสะอาด รู้เรื่องเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม มีศีลห้าในการปกครองดูแลคนในประเทศชาติ”
ทิมน์ เป็นอีกคนหนึ่งที่บอกกับ.ว่า ในอดีตเขาเคยสนับสนุนอดีตนายกฯ ทักษิณ แต่ต่อมาเลิกสนับสนุนจากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือเรื่องการคอร์รัปชัน พร้อมยกตัวอย่างนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่ตนไม่ชอบใจ เขายังได้ขยายความต่อว่าตนไม่เชื่อถือนักการเมืองในภาพรวมอีกต่อไป เพราะทำดีแค่ตอนเลือกตั้ง “มันเชื่อลมปากใครไม่ได้เลย นักการเมืองนี่” เขาระบุ

ที่มาของภาพ : BBC Thai
“พรรคเพื่อไทยเป็นหัวหน้ารัฐบาล ควรแสดงเจตจำนงในการลาออก ไม่ก็ยุบสภาตามกระบวนการ” จิตพัฒน์ ตอบคำถาม.เมื่อถูกถามว่ารัฐบาลควรทำอย่างไรต่อไป
ส่วน ราเชษฐ์ เชื่อว่าแนวทางการลาออกจะเป็นทางออกที่ราบรื่นกว่าการยุบสภา “ขั้นแรกพื้นฐานสปิริตของผู้นำประเทศสมควรลาออกก่อน ไม่ต้องยุบสภาหรอก ลาออกเถอะให้คนอื่นได้เข้ามา เพราะว่าการยุบสภาก็เหมือนหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ”
ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 หากนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งก่อนครบวาระ คณะรัฐมนตรีจะพ้นจากตำแหน่งทันที โดยจะทำหน้าที่รักษาการจนกว่าจะมีการสรรหานายกรัฐมนตรีคนใหม่เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งรัฐสภาต้องลงมติเห็นชอบผู้อยู่ในรายชื่อ “แคนดิเดต” นายกรัฐมนตรีด้วยเสียงเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยปัจจุบันเหลือผู้มีสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี 6 คนจาก 5 พรรคการเมือง

ที่มาของภาพ : BBC Thai
ทั้งนี้ ท่ามกลางกระแสที่มีการกล่าวถึงการรัฐประหารในโลกออนไลน์ ผู้ชุมนุมหลายรายชี้ว่าการรัฐประหารไม่ใช่ทางเลือกต้น ๆ และพวกตนไม่ได้อยากให้เกิดรัฐประหาร
“พี่ไม่ได้อยากให้รัฐประหาร รัฐประหารยังไม่ใช่คำตอบที่สุด มันมีวิธีอื่นเยอะแยะ แต่ถ้าจำเป็นพี่ก็โอเค” ขนิษฐากล่าว
จิตพัฒน์ เป็นอีกคนที่กล่าวว่า “เรามาในฐานะประชาชน เป็นผู้ที่มาเรียกร้องกับรัฐบาล เราไม่ได้มีเจตนาที่จะเรียกร้องประหาร”
“การปฏิวัติรัฐประหาร มันเป็นการที่ทําให้ประเทศหยุดชะงัก” ราเชษฐ์กล่าว แต่ก็เสริมด้วยว่า “ถ้ามันแก้ไม่ได้สุดท้ายจริง ๆ นั่นแหละถึงปฏิวัติทางออกสุดท้าย ให้มันสุดก่อน”
ผลของ “คลิปเสียงหลุด” ต่อความเป็นเอกภาพของฝ่ายขวา
“ผมคิดว่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. เป็นตัวหลอมรวมที่ทําให้เพจแล้วก็มวลชนฝ่ายขวาที่มันกระจัดกระจายอยู่ มาตกผลึกกันได้แล้วว่า ต่อจากนี้เรื่องนี้แหละคือเรื่องที่เขาจะอยู่ร่วมกัน” วสุชน รักษ์ประชาไท อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช วิเคราะห์ถึงปรากฏการณ์ดังกล่าว
วสุชลอธิบายกับ.ว่า ที่ผ่านมาหากสังเกตจากหน้าเฟซบุ๊กที่มีเนื้อหาโจมตีรัฐบาล เรื่องเล่าและเหตุผลในการขับไล่รัฐบาลกระจายกันไป ไม่ว่าจะเป็นปมคดี “ชั้น 14” ของนายทักษิณ ชินวัตร ไปจนถึงเรื่องนโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
แต่การเข้ามาของคลิปเสียง “โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือท่าทีของตัวนายกฯ เองกับรัฐบาลในภาพรวม ต่อประเด็นคลิป เสียง” ทำให้การเห็นพ้องของฝ่ายขวาในไทยเกิดขึ้น
วสุชลกล่าวกับ.ต่อว่า “เมื่อใดก็ตามที่บรรดากลุ่มการเคลื่อนไหวมันมีกรอบที่ชัดเจน หรือว่ามันมีศัตรูหนึ่งเดียว หรือประเด็นหนึ่งเดียวที่พวกเขาจะต่อต้าน เมื่อนั้นแหละตัวการเคลื่อนไหวหรือว่ากลุ่มมวลชนฝ่ายขวามันก็อาจจะดูน่ากลัวมากยิ่งขึ้น”

ที่มาของภาพ : Vasuchon Rakprachathai
“หลังรัฐประหาร พ.ศ. 2557 หรือแม้แต่หลังเลือกตั้ง พ.ศ. 2562 สภาวะของมวลชนฝ่ายขวาเหมือนอยู่ในสภาวะที่กระอักกระอ่วนแล้วก็กระจายไปคนละทิศคนละทาง” วสุชนตั้งข้อสังเกต เขาชี้ว่าในระดับมวลชนเอง ฝ่ายขวายังมีความคิดที่ไม่ตรงกัน
เขายกตัวอย่างว่ามวลชนฝ่ายขวาบางคนยังคง “เชียร์รัฐบาลอยู่ด้วยซ้ำ” เนื่องจากเป็นฐานคะแนนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล เช่น พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและเลขาธิการพรรค รทสช.
“เพราะฉะนั้นคนกลุ่มนี้ลึก ๆ แล้วผมเชื่อว่าเขาก็ไม่ได้ต้องการให้รัฐบาลรีบยุบสภาหรือรีบลาออกอะไร เพราะอย่างน้อยมันยังมีตัวแทนของเขาไปนั่งบริหารประเทศอยู่” นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ระบุ

ที่มาของภาพ : BBC Thai
ทั้งนี้ วสุชลชี้ว่ากรณีคลิปเสียงยังเป็นเพียงเชื้อไฟแรกที่ยังต้องการแรงขับส่งเพื่อพัฒนาไปถึงความเปลี่ยนแปลงในการ “เปลี่ยนรัฐบาล”
เขาอธิบายว่าหากย้อนไปในช่วงการเคลื่อนไหวคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) กลุ่มที่ทำให้ข้อเรียกร้องในการเปลี่ยนรัฐบาลหนักแน่นยิ่งขึ้นได้แก่กลุ่มชนชั้นกลางและกลุ่มข้าราชการในเมือง
“เมื่อใดก็ตามที่คนชั้นกลางหรือว่าข้าราชการต่าง ๆ เริ่มมาม็อบหรือว่าเห็นความสําคัญในเรื่องนี้ ว่าโอเคฉันจะต้องออกมาชุมนุม นั่นแหละผมคิดว่าม็อบถึงจะจุดติด”
นักวิชาการจาก ม.สุโขทัยธรรมาธิราช สรุปว่า เหตุที่การรัฐประหารยังไม่ได้รับการพูดถึงมากพอ เนื่องจากปกติแล้วประเด็นรัฐประหารจะถูกชูขึ้นมาก็ต่อเมื่อรัฐบาลหมดความชอบธรรมแล้ว แต่การชุมนุมในขณะนี้เป็นเพียง “ตัวเปิด” เท่านั้น
“ตัวแกนนําหรือว่าตัวองค์กรการเคลื่อนไหวจะเป็นคนชี้ประเด็นให้กับมวลชน ผมเชื่อว่าถ้าสมมุติเวทีหรือว่าตัวแกนนํานําเสนอว่ามันถึงเวลาแล้วที่ต้องมีทหารมารัฐประหาร ผมเชื่อว่ามวลชนจํานวนมากเหมือนกันก็จะไหลไปตามนั้นเช่นเดียวกัน” เขาสรุป
ที่มา BBC.co.uk