
เพียงคลิปเดียวของฮุนเซน ทำเอารัฐบาลไทยระส่ำแทบยืนไม่อยู่
- พรรคร่วมสำคัญอย่าง ‘ภูมิใจไทย’ ที่แตกหักกันอยู่ก่อนแล้ว ขี่กระแสชิงประกาศถอนตัวจากฝ่ายรัฐบาลพร้อมเดินหน้าสนับสนุน ทหารพระราชา
- พรรคฝ่ายค้านเสนอให้ยุบสภาคืนการตัดสินใจให้ประชาชน
- พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เรียกประชุมด่วน เมื่อเหลียวดูตัวเลขจำนวน สส.ในฝั่งรัฐบาลก็ยิ่งเชื่อว่า นายกฯ ชื่อแพทองธารไม่น่าจะไปต่อไหว
- ‘นักร้อง’ทุกสารทิศ ยื่นเรื่องร้องเรียน แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายกฯ
- นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยเสนอให้แสดงความรับผิดชอบด้วยการ ‘ลาออก’ ไม่ก็ ‘ยุบสภา’ ยิ่งเมื่อดูตัวเลข สส.ฝ่ายรัฐบาลที่ปริ่มน้ำแล้วก็เชื่อได้ว่า ‘ไม่น่ารอด’
- ม็อบต่างๆ เริ่มก่อตัวต่อเนื่อง
หลังความอลหม่านชั่วข้ามคืนจากเนื้อหาและโดยเฉพาะ ‘วิธีพูด’ ของนายกฯ ไทย วันรุ่งขึ้นความเป็นไปต่างๆ ถูกพูดถึงเต็มหน้าสื่อ ลาออก – ยุบสภา – อยู่ต่อ ท่ามกลางเสียงสะท้อนความกังวลรวมถึงการต่อต้านวิธีรัฐประหารที่อาจฉวยโอกาสเมื่อสถานการณ์ไหลไปเข้าทาง
ทั้ง 3 ตัวเลือกหลักในระบบรัฐสภา มีรายละเอียด ระยะเวลาดำเนินการ และโจทย์ที่แตกกันออกไป ดังนั้น คำถามสำคัญของแต่ละตัวเลือกก็คือ What’s subsequent? ข้อสรุปเบื้องต้นก็คือ ‘สุญญาการทางการเมือง’ จะไม่เท่ากัน การลาออกแล้วหานายกฯ ใหม่ ‘น่าจะ’ ใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือน ขณะที่การยุบสภานั้นน่าจะใช้เวลาราว 5-6 เดือนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่
1.นายกฯ ลาออก
แคนดิเดตนายกฯ เหลือไม่มาก
นายกฯ สามารถตัดสินใจยุติการดำรงตำแหน่งของตนเองทั้งจากเหตุผลส่วนตัว แรงกดดันทางการเมือง หรือการสูญเสียความชอบธรรมในการบริหาร โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็จะพ้นตำแหน่งทั้งคณะ จากการพ้นตำแหน่งของนายกฯ
กรณีเช่นนี้สภาผู้แทนราษฎรยังคงอยู่ และต้องเริ่มกระบวนการโหวตเลือก ‘นายกฯ ใหม่’ ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 159 กำหนด นายกฯ ใหม่ไม่ใช่เป็นใครก็ได้แต่ต้องอยู่ใน ‘บัญชีแคนดิเดต’ แต่ละพรรคหาคนในบัญชีไว้ได้ไม่เกิน 3 คน
แคนดิเดตนายกฯ มีใครบ้าง
บุคคลในบัญชีแคนดิเดตนายกฯ ที่จะมาใช้โหวตกันในสภา ต้องเป็นแคนดิเดตของพรรคการเมืองที่มี สส.ไม่น้อยกว่า 25% ของ สส.ที่มีอยู่ในสภาฯ (หรือ 25 คนขึ้นไป) โดยชื่อที่ถูกเสนอจะต้องมี สส.ยกมือรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ สส.ที่มีอยู่ของสภาฯ หรือ 50 คน และจะต้องมีการลงมติเห็นชอบโดยเปิดเผย
สำหรับรายชื่อของแคนดิเดตนายกฯ ที่ถูกเสนอในการเลือกตั้งล่าสุดเมื่อปี 2566 มีอยู่ 6 รายชื่อ แต่จะมีเพียง 5 รายชื่อ (หากไม่นับแพทองธาร) ที่เข้าเกณฑ์การเสนอชื่อเป็นนายกฯ ได้
- พรรคเพื่อไทย – ชัยเกษม นิติสิริ
- พรรคภูมิใจไทย – อนุทิน ชาญวีรกูล
- พรรครวมไทยสร้างชาติ – พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
- พรรครวมไทยสร้างชาติ – พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
- พรรคประชาธิปัตย์ – จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ ไม่สามารถถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ เนื่องจากพรรคมีเสียง สส. ไม่ถึง 25 ที่นั่ง ขณะที่พรรคประชาชน (อดีตพรรคก้าวไกล) ซึ่งมีแคนดิเดตเพียงหนึ่งเดียว ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ไม่เหลือแคนดิเดตเนื่องจากโดนยุบพรรค
ถ้าเราดูรายชื่อแคนดิเดตนี้ มีอยู่ 2 ชื่อที่ถูกจับตามากเป็นพิเศษ และมักจะมีการวิเคราะห์ผูกโยงกับ ‘การเมืองระดับบน’ ที่มองไม่เห็นประกอบส่วนไปด้วยไม่มากก็น้อย
- ‘อนุทิน’ ที่ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ เคยอวยพรและกะปลุกปั้นให้เป็นว่าที่นายกฯ คำถามคือ ลำพังเสียงฝั่งอนุรักษนิยมไม่เพียงพอ ต้องอาศัยเสียงเพิ่มเติม แล้วพรรคเพื่อไทยจะโหวตให้หรือไม่ ไม่ว่าจะโดยสมัครใจหรือไม่ก็ตาม
- ‘ชัยเกษม’ แคนดิเดตคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเพื่อไทยและมีผู้ประเมินว่าสุขภาพน่าจะไม่เต็มที่มากนัก ถ้าจะได้ขึ้นตำแหน่งนายกฯ ต้องอาศัยเสียงเพิ่มเติม หากพรรคภูมิใจไทยไม่โหวตให้ ก็เหลือเพียงพรรคประชาชน อย่างไรก็ตาม มีเสียงสะท้อนอยู่ประปรายเช่นกันที่อยากให้สองพรรคนี้จับมือกัน
อำนาจรัฐบาลรักษาการ
ในกรณีนายกฯ ลาออกหรือมีการยุบสภาก็ตาม รัฐบาลชุดเดิมจะยังคงทำหน้าที่อยู่ในฐานะ ‘รัฐบาลรักษาการ’ จนกว่าจะได้ ครม.ชุดใหม่ เพื่อดูแลงานเฉพาะหน้าให้ยังเดินหน้าไปได้ ไม่ให้การทำงานของกลไกราชการต้องหยุดชะงัก
ด้วยโจทย์ใหญ่โจทย์ร้อนของประเทศขณะนี้ ทั้งความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งกัมพูชาดูจะไม่ลดลาวาศอก, การขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ และที่สำคัญคือ พ.ร.บ.งบประมาณที่ยังไม่คลอด เพิ่งผ่านเพียงวาระแรก คำถามสำคัญจึงเป็นว่า ‘รัฐบาลรักษาการ’ จะทำอะไรได้แค่ไหน
รัฐบาลรักษาการไม่ได้มีอำนาจเต็มในการบริหารประเทศ โดยรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 169 กำหนดข้อห้ามว่าด้วยเรื่องสำคัญๆ สำหรับรัฐบาลรักษาการไว้ ได้แก่
- ห้ามอนุมัติงานหรือโครงการ ที่ก่อภาระผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป ยกเว้นกรณีที่กำหนดไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว
- ห้ามการแต่งตั้งโยกย้ายหรือถอดถอนบุคลากรของรัฐ เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อน
- ห้ามอนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจาก กกต. ก่อน
- ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐที่อาจมีผลในการเลือกตั้ง
แม้รัฐบาลรักษาการจะยังสานต่อทิศทางนโยบายสำคัญได้ แต่ ‘ความเป็นรักษาการ’ นั้นมีนำ้หนักต่างจาก ‘ของจริง’ อย่างมาก ประสบการณ์ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าข้าราชการมักจะ ‘เกียร์ว่าง’ แทบทั้งสิ้น
ถามว่า หลังนายกฯ ลาออกแล้ว ใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะได้นายกฯ และครม.ชุดใหม่ เรื่องนี้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาของกระบวนการไว้ แต่หากดูจากประสบการณ์ที่ผ่านมาๆ ประเมินกันว่าใช้เวลาไม่น่าเกิน 60 วัน
2.ยุบสภา
‘สุญญากาศ’ ราว 4-5 เดือน
การยุบสภา คือ การยุติสภาพความเป็นสมาชิกของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทั้งหมดก่อนครบวาระ 4 ปี ดังนั้นจะ ‘ไป’ กันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องเลือกตั้งกันใหม่
- สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง สส. และประธานสภาฯ พ้นจากตำแหน่ง
- คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่จะยังทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาลรักษาการจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่
- ถ้า สส.คนไหนจะย้ายพรรค รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ว่า ต้องหาสังกัดพรรคใหม่ไม่ต่ำกว่า 30 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง
- หลังยุบสภา กกต. ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 – 60 วัน โดยต้องกำหนดวันเลือกตั้งและวันรับสมัคร ส.ส. ภายใน 5 วัน หลัง พ.ร.ฎ.ยุบสภา มีผลบังคับใช้
- เมื่อเลือกตั้งแล้ว กกต. ต้องตรวจสอบ รับรองและประกาศผลไม่ช้ากว่า 60 วัน นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง (แต่การเลือกตั้งปี 66 กกต.ใช้เวลารับรองผลเพียง 1 เดือน 5 วัน)
- เปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกภายใน 15 วัน หลัง กกต.ประกาศผล
- ตามมาด้วยการประชุมสภา เพื่อเลือก ‘ประธานและรองประธานสภาฯ’ ก่อนจะเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน
- เมื่อโหวตเลือกนายกฯ ได้แล้ว ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะนำรายชื่อนายกฯขึ้นทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย
- ต่อมาก็จะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลหรือเลือก ครม. ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดกรอบเวลาไว้ชัดเจน เมื่อจัดตั้งรัฐบาลได้แล้ว นายกฯ นำรายชื่อ ครม.ทูลเกล้าฯ
- ปิดท้ายด้วยรัฐบาลต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ภายใน 15 วันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่
หากมีการเลือกตั้งใหม่ จึงคาดว่ากรอบเวลาในการที่เราจะได้รัฐบาลใหม่นั้นคงจะใช้เวลา 4-5 เดือนไม่เกินนี้
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งปี 2566 ถ้านับตั้งแต่วันที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศยุบสภา (20 มี.ค.2566) จะเท่ากับว่าเราใช้เวลารอรัฐบาลใหม่นานถึง 166 วัน แต่ก็ต้องโน้ตไว้ว่าตอนนั้นยังมี สว.แต่งตั้งตามบทเฉพาะกาลร่วมโหวตนายกฯ อยู่หลายรอบ
ช่วงเวลากว่าจะเลือกตั้ง กว่าจะจัดตั้งรัฐบาลใหม่นั้นกินเวลาหลายเดือน โจทย์สำคัญของการยุบสภาจึงคือ ภาวะที่ขับเคลื่อนไม่ได้ยาวนาน ทั้ง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 ที่จะล่าช้าออกไป, โจทย์กำแพงภาษีใหม่ของสหรัฐอเมริกาที่เป็นเผือกร้อนกระทบเศรษฐกิจ, สงครามที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ และที่สำคัญคือ ข้อพิพาทกับกัมพูชา ที่มีประเด็นอ่อนไหวทั้งในทางนโยบาย และการต่อสู้ในเวทีกฎหมายระหว่างประเทศที่จะไม่มีผู้มีอำนาจเต็มในการกุมทิศทาง รวมถึงการพร้อมปะทะกันตามชายแดนที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และหากเกิดขึ้น กองทัพจะกลายเป็นผู้มีบทบาทนำอย่างยากจะหลีกเลี่ยง
ที่มา:
เลือกตั้ง66 : กกต. ประกาศผลแล้ว นัดประชุมรัฐสภาครั้งแรก ภายใน 15 วัน
ประเทศไทยไร้รัฐบาล 109 วัน! อันดับหนึ่งการเลือกตั้งที่รอรัฐบาลใหม่นานที่สุดของไทย
3. นายกฯ อยู่ต่อ
ภูมิใจไทยถอนตัว เสียงรัฐบาลปริ่มน้ำ
พรรคภูมิใจไทย มีความขัดแย้งอย่างหนักกับพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างเพื่อไทย ทั้งเรื่องคดีฮั้ว สว. และการจะปรับ ครม.โดยเพื่อไทยต้องการเก้าอี้รัฐมนตรี ‘มหาดไทย’ คืนจากภูมิใจไทย บทสรุปพรรคสีน้ำเงินเดินสายแข็ง ไม่ยอมรับเงื่อนไขในการต่อรองดังกล่าว มีการประกาศชัดในวันที่ 18 มิ.ย.จากอนุทิน และมีภาพข่าวการเริ่มทยอยเก็บของออกจากกระทรวง แต่สถานการณ์เปลี่ยนทันทีเมื่อฮุนเซนปล่อยคลิปการสนทนาส่วนตัวกับนายกฯ รัฐมนตรีไทย
พรรคภูมิใจไทยที่ประกาศwร้อมเป็นฝ่ายค้านอยู่แต่ต้น ชิงออกแถลงการณ์ออกจากการร่วมรัฐบาลโดยอ้างถึงสถานการณ์คลิปสนทนาดังกล่าว พร้อมประกาศร่วมมือกับประชาชนชาวไทย สนับสนุนกองทัพ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจ เพื่อธำรงรักษาอธิปไตย ดินแดน และประโยชน์ของประเทศไทย รวมทั้งเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบ
ต่อมาวันที่ 19 มิ.ย. คณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) 3 พรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค ได้แก่ รวมไทยสร้างชาติ, ชาติไทยพัฒนา และประชาธิปัตย์ มีการประชุมเพื่อหารือถึงจุดยืนและทิศทางของพรรคหลังจากนี้
ขณะที่พรรคกล้าธรรม (กธ.) นั้นดูจะเป็นพรรคเดียวที่ยังยืนหยัดกับเพื่อไทย โดย นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรคยืนยันสนับสนุนแพทองธารเป็นนายกฯ พร้อมยืนข้างคนไทยและกองทัพ
ความระส่ำระสายภายในพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้การคำนวณตัวเลข สส.ในมือรัฐบาลกลายเป็นจุดชี้ขาดว่า รัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทยจะยังไปรอดหรือไม่
ผู้จัดการและมติชน ทำข้อมูลเพื่อแบกระดานเสียงรัฐบาล-ฝ่ายค้าน รวม 495 เสียง ในกรณีที่ภูมิใจไทยมาเป็นฝ่ายค้าน โดยกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรในการผ่านกฎหมายหรือวาระต่างๆ นั้นคือตัวเลข 248
รัฐบาล 261
- เพื่อไทย 142
- รวมไทยสร้างชาติ 36
- กล้าธรรม (26 + เตรียมดูด 5) 31
- ประชาธิปัตย์ 25
- ชาติไทยพัฒนา 10
- ประชาชาติ 9
- ชาติพัฒนา 3
- ไทรวมพลัง 2
- เสรีรวมไทย 1
- ประชาธิปไตยใหม่ 1
- ไทยก้าวหน้า 1
ฝ่ายค้าน 234
- ประชาชน (จาก 143) 142
- ภูมิใจไทย (69 + เตรียมดูด 2) 71
- พลังประชารัฐ (จาก 20) 19
- ไทยสร้างไทย (จาก 6) 1
- เป็นธรรม 1
ทั้งนี้ มีข้อเสนอจากนักวิชาการบางคนว่าในสภาพที่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ อยากให้พรรคประชาชนช่วยประคองระบบใหญ่ ซึ่งเท่ากับประคองรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ด้วยการโหวตวาระสำคัญเป็นครั้งๆ ไป นั่นน่าจะหมายถึง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคออกมาแถลงจุดยืนพรรคโดยเรียกร้องให้นายกฯ ยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ซึ่งเป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย พร้อมเตือนสติสังคมอย่าปล่อยให้เลยเถิดไปจนถึงการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหาร
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )