
9 ก.ค. 2568 การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในช่วงบ่าย เวลาประมาณ 13.09 น.เป็นการพิจารณาร่างกฎหมายนิรโทษกรรม วาระ 1 รับหลักการ โดยพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม การประชุมโดยส่วนใหญ่ให้เวลาแก่ผู้เสนอร่างในการอธิบายร่างเป็นหลัก และมีการอภิปรายบ้างประปราย ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ยังไม่ทันที่จะได้ชี้แจงกับครบทุกฉบับ ประธานที่ประชุมได้สั่งปิดประชุมโดยกล่าวสั้นๆ เพียงว่า ที่เหลือไว้พิจารณากันในอาทิตย์หน้า
ทั้งนี้ มี สส.และประชาชน เสนอร่างกฎหมายรวม 5 ฉบับ ได้แก่
- ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …. เสนอโดย นายวิชัย สุดสวาสดิ์ สส.ชุมพร พรรครวมไทยสร้างชาติ
- ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …. เสนอโดย นายปรีดา บุญเพลิง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคกล้าธรรม
- ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. …. เสนอโดย พรรคประชาชน
- ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน พ.ศ. …. เสนอโดย น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 36,723 คน
- ร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. …. เสนอโดย นายอนุทิน ชาญวีรกุล สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นฉบับที่เสนอเข้ามาใหม่และยังไม่ได้บรรจุในระเบียบวาระ แต่ประธานในที่ประชุมอนุญาตให้นำมาพิจารณาในคราวเดียวกันได้
ณัฐวุฒิ บัวประทุม พรรคประชาชน เสนอให้ที่ประชุมเห็นชอบว่า ควรอภิปรายเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมก่อน แล้วจึงมาหารือทีหลังว่าจะลงมติรวมกัน หรือแยกลงมติทีละร่าง ซึ่งสมาชิกทั้งหมดไม่มีการทักท้วง
‘พ.ร.บ.สันติสุข’ ไม่รวม 112 ไม่รวมคดีฉ้อโกงเลือกตั้ง
จากนั้นเริ่มจากร่าง พ.ร.บ.แรกของ วิชัย สุดสวาสดิ์ สส.จังหวัดชุมพร พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โดยวิชัยกล่าวถึงหลักการร่างกฎหมายสร้างเสริมสังคมสันติสุขว่า ตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดการแตกแยกของความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรง มีการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลได้ยกระดับการจำกัดการชุมนุมทางการเมืองอย่างเข้มงวด ส่งผลให้การชุมนุมทางการเมืองของประชาชนกลายเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ทั้งที่ประชาชนเข้าร่วมการแสดงออกทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ ด้วยเจตนาให้ประเทศเดินหน้า พวกเขาต้องกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายอาญา และชดเชยความเสียหายต่อภาครัฐในวงเงินที่เกินกว่าจะรับได้จริง
การดำเนินคดีที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งคือการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ยืดหยุ่นจนนำไปสู่การเผชิญหน้าของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ ประกอบกับเจ้าหน้าที่รัฐเลือกใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุม จนทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มเสียชีวิต และมีอีกจำนวนมากต้องถูกจับกุมดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา ดังนั้น การดำเนินคดียิ่งทำให้เกิดปัญหาที่ร้าวลึกในสังคม แม้ว่าการกระทำต่างๆ ของประชาชนจะมีความผิดโดยสภาพ แต่เป็นการกระทำความผิดที่ไม่มีเจตนาชั่วร้าย หรือแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ จึงสมควรให้คนที่ถูกดำเนินคดีได้รับการนิรโทษกรรม และปราศจากมลทินมัวหมอง เพื่อให้โอกาสแก่ประชาชน และสังคมได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ทั้งยังเป็นการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และสิทธิพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตย
วิชัย กล่าวถึงเงื่อนไขการนิรโทษกรรมว่าจะไม่ให้ใช้กับคดีทุจริตและประพฤติมิชอบทุกคดี และการกระทำความผิดตามมาตรา 112 ต่อประเด็นที่ถูกตั้งคำถามว่าคดีการฉ้อโกงการเลือกตั้งในช่วงที่ผ่านมาจะได้รับอานิสงส์จาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ด้วยนั้น วิชัย ระบุว่า พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข จะไม่นิรโทษกรรมคดีทุจริต
หลังจากนั้น เป็นคิวของปรีดา บุญเพลิง พรรคกล้าธรรม ซึ่งกล่าวถึงหลักการของ พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ซึ่งมีหลักการเหมือนกับร่างที่เสนอโดย ‘วิชัย’ พรรครวมไทยสร้างชาติ
‘ปชน.’ เน้นเปิดกว้าง ครอบคลุม
ต่อมา 13.19 น. รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เป็นผู้แถลงแทน ชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. …
รังสิมันต์กล่าวว่า ร่างนี้มีหลักการสำคัญคือ การนิรโทษกรรมคดีแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง การชุมนุม และการแสดงความเห็นทางการเมือง นับตั้งแต่มีการชุมนุม ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อ 11 ก.พ. 2549 จนถึงปัจจุบัน อันนำไปสู่การกล่าวหาและดำเนินคดีกับประชาชนจำนวนมากทั้งที่การกระทำของประชาชนได้ออกเพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อันเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน จึงสมควรให้นิรโทษกรรมฯ เพื่อขจัดความขัดแย้งที่ยังปรากฏในปัจจุบัน
นอกจากนี้ องค์กรในกระบวนการยุติธรรมมีการใช้และตีความกฎหมายแต่เพียงตัวบท โดยไม่พิจารณาถึงมูลเหตุของการกระทำ ซึ่งมีที่มาจากความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้น โครงสร้างตามกฎหมายปกติจึงไม่สามารถขจัดความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่ได้ จึงจำเป็นต้องจัดตั้งคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาหรือวินิจฉัยว่าการกระทำของบุคคลดังกล่าวสมควรได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่
โดยคณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมา เราพยายามให้มีตัวแทนของภาคประชาชนผ่านสภาฯ ฝ่ายรัฐบาล และศาล ผสมไปกับตัวแทนจากฝ่ายอัยการ เพราะเห็นว่าการสร้างความเป็นธรรมให้สังคม หรือจะวินิจฉัยว่านิรโทษกรรมใครได้หรือไม่ได้ ต้องอาศัยตัวแทนจากหลายฝ่าย
“อยากให้ทุกท่านสบายใจว่าพรรคประชาชนไม่ได้เป็นคนไปจิ้มว่าใครจะได้รับการนิรโทษฯ พรรคประชาชนไม่ได้เป็นผู้กำหนดว่านายคนนี้จะได้รับการนิรโทษกรรมหรือไม่ แต่มันจะเป็นเรื่องของคณะกรรมการชุดนี้ที่มีตัวแทนทั้งศาล สภาฯ ตัวแทนรัฐบาล อยู่ข้างใน และผมคิดว่านี่คือความเป็นธรรม”
“อย่างที่เราบอกไปว่าวันนี้มันไม่มีคนกลาง แต่เราต้องการโต๊ะแห่งการพูดคุย ทุกฝ่ายมาคุยกันว่าเราจะหาทางออกเรื่องนี้ได้อย่างไร” รังสิมันต์กล่าว
ไม่ระบุข้อหาเจาะจง ไม่เลือกปฏิบัติเพื่อแก้ขัดแย้ง
สส.พรรคประชาชนกล่าวต่อว่า กฎหมายฉบับนี้ต้องการให้เปิดกว้างให้มากที่สุด ดังจะเห็นได้จากช่วงระยะเวลาที่ระบุในร่าง พ.ร.บ. เราไม่ต้องการให้ใครหรืออุดมการณ์ใดก็ตามที่ออกไปชุมนุมทางการเมืองต้องเจอนิติสงคราม เจอกระบวนการยุติธรรมในการเล่นงานในรูปแบบต่างๆ เพราะเชื่อว่าทุกคนมีความหวังดีต่อประเทศชาติ และเพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองอย่างแท้จริง ต้องไม่เริ่มจากการเลือกปฏิบัติต่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
นี่ยังเป็นเหตุผลที่ไม่ได้มีการระบุข้อหาใน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ อย่างเฉพาะเจาะจง ช่วงที่ผ่านมา มีการดำเนินคดีทางการเมืองมีหลายรูปแบบ มีตั้งแต่การใช้กฎหมายข้อหาหนัก มาตรา 112 ไปจนถึง พ.ร.บ.ความสะอาด หรือ พ.ร.บ.เครื่องเสียง ทุกข้อหาสามารถนำมาใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองได้หมด ดังนั้น ปัญหาความขัดแย้งเป็นเวลานานมันยากมากๆ ที่จะระบุข้อหาอย่างเฉพาะเจาะจงว่าต้องข้อกล่าวหาใด มาตราใด หรือ พ.ร.บ.ใด ดังนั้น การประตูให้กว้างที่สุด และเงื่อนไขที่น้อยที่สุดจะช่วยทำให้ทุกคนเข้าถึงการนิรโทษกรรมได้
สำหรับเงื่อนไขที่ไม่ได้รับการนิรโทษกรรม คือ 1.เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมประท้วง หรือสลายการชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นผู้สั่งการ หรือผู้ปฏิบัติ หรือการกระทำในขั้นตอนใดก็ตาม ที่สมควรเกินกว่าเหตุ
2. การกระทำผิดต่อชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา เว้นแต่เป็นการกระทำโดยประมาท เหตุที่ต้องกำหนดข้อยกเว้นเหล่านี้เพื่อไม่ให้นิรโทษกรรมคนที่กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน
3. เป็นการกระทำตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 (ข้อหากบฏ)
รังสิมันต์กล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยที่จะขีดเส้นอย่างชัดเจนว่า การชุมนุมทางการเมืองจบลงเมื่อใด อย่างร่างสร้างเสริมสังคมสันติสุขขีดไว้ที่ปี 2565 เพราะปัจจุบันยังมีคนที่เห็นต่างทางการเมืองถูกดำเนินคดี หรือการพิพากษาจำคุกคนที่เห็นต่างต่อไปเรื่อยๆ และหากเราไม่แก้ไขปัญหานี้ ความขัดแย้งทางการเมืองก็จะไม่คลี่คลายอย่างแท้จริง
อย่าติดกรอบ กังวลเพราะเป็นพรรคประชาชน
รังสิมันต์ กล่าวเสริมว่า เราไม่สามารถยอมรับว่าความขัดแย้งทางการเมืองกำหนดเฉพาะข้อหาอะไร แม้แต่ข้อหามาตรา 112 คุณก็เลือกไม่ได้
“คนจำนวนมากถูกดำเนินคดีด้วยมาตรา 112 คนเหล่านั้นล้วนมีความมุ่งหมายทางการเมือง และปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองทั้งสิ้น แต่การตั้งข้อหาหลายครั้ง เราต้องยอมรับกันตรงไปตรงมาว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ได้มีการเลือก ไม่ได้มาดูข้อเท็จจริง ไม่ได้ดูรายละเอียด ไม่ได้ดูพยานหลักฐาน และที่สำคัญคือไม่ได้มาดูว่าสิ่งที่ตัวเองได้ดำเนินการไป ให้ความเป็นธรรมกับเขาแล้วหรือยัง สุดท้ายความขัดแย้งนี้มันก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ”
รังสิมันต์ ระบุว่า การตั้งกรอบกฎหมายเพื่อช่วยเหลือแค่พวกพ้องตนเอง ไม่ได้สร้างสันติสุขอย่างแท้จริง แต่เป็นการสร้างปัญหาการเลือกปฏิบัติและความขัดแย้งใหม่ต่อไปใน พ.ศ.นี้
“ผมทราบดีว่า ร่างนิรโทษฯ (ของ ปชน.) ไม่เป็นที่สบายใจของหลายฝ่าย ไม่เป็นที่สบายใจของเพื่อนสมาชิกจำนวนมาก แม้เราจะเขียนกว้างๆ และไม่ได้ระบุเอาไว้ว่ามีกฎหมายไหนบ้างที่จะต้องนิรโทษกรรม แต่หลายๆ ฝ่ายก็พยายามที่จะบอกว่าต้องรวมถึง 112 แน่นอน ดังนั้น จะไม่มีทางโหวตให้กับร่างของพรรคประชาชน การติดกรอบแค่นี้ ทำให้สังคมไทยของเราคลี่คลายความขัดแย้งได้จริงๆ หรือ
“วันนี้เราพยายามที่จะไม่มานั่งคิดถึงเรื่องข้อหาอะไร แต่เราเอาความขัดแย้งเป็นตัวตั้ง และหาทางคลี่คลาย ถ้าท่านทั้งหลายติดกรอบว่าจะต้องมีมาตรานั้นได้ มาตรานี้ไม่ได้ สุดท้ายเราจะเดินหน้าได้อย่างไร เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าประชาชนทุกๆ คนที่อยู่ในความขัดแย้ง เขาจะได้รับการนิรโทษกรรมไปด้วย” สส.พรรคประชาชน กล่าวพร้อมเสริมว่า สำหรับผู้ถูกดำเนินคดีที่ไม่ต้องการการนิรโทษกรรม ก็สามารถสละสิทธิได้ เพื่อไปพิสูจน์ในกลไกศาล
“ช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเราถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ที่น่ากลัว ไม่จงรักภักดี มีจุดประสงค์เพื่อล้มล้างสถาบันฯ กฎหมายฉบับนี้จะเป็นข้อพิสูจน์ที่ยืนยันว่า เราต้องการให้ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานจบลง เพื่อฟื้นฟูหลักนิติรัฐ และเสริมสร้างความเป็นธรรมในสังคม” รังสิมันต์ ระบุ
ภาคประชาชนชี้ต้องรวม 112 คนส่วนใหญ่ในคุก-กรรมการจาก สส.และคนโดนคดี
พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ฉบับภาคประชาชน กล่าวชี้แจงมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
สถานการณ์และสถิติในคดีการเมือง
กลุ่มความขัดแย้งตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่จะได้รับผลกระทบจากคดีทางการเมืองมี 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
- กลุ่มพธม. ชุมนุมปี 2548 จนเกิดรัฐประหารปี 2549 มีผู้ถูกดำเนินคดีราว 200 คน
- กลุ่มนปช. ปี 2552-2553 มีการสลายชุมนุมปี 2553 มีผู้ถูกดำเนินคดีราว 1,100 คน (แต่จากข้อมูลของ ศปช. มีกว่า 1,700 คน) ในช่วงนี้เริ่มมีคดีมาตรา 112
- กปปส.ชุมนุม ปี 2557 ต่อมาเกิดการรัฐประหาร และประกาศให้พลเรือนขึ้นศาลทหารในคดีความผิดตามประกาศ คสช. และคดีด้านความมั่นคง รวมถึงก่อนการทำประชามติก็มีการดำเนินคดีกับผู้ที่ออกมารณรงค์ รวมถึงกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ยุคนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีขั้นต่ำ 2,600 คน
- ยุค 2563 เป็นต้นมา ศูนย์ทนายฯ ให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองอย่างน้อย 1,977 คน โดยแบ่งเป็นคดีช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินช่วงโควิด-19 ประมาณ 1,400 คน ส่วนคดีที่มีมากรองลงมา คือ คดีมาตรา 112 ราว 281 คน
พูนสุขกล่าวว่า ทั้งหมดรวม 4 ช่วงเวลา ผู้ได้รับผลกระทบจากคดีทางการเมืองมีอยู่ไม่ถึงราว 10,000 คน แต่หากไปดูตัวเลขจาก กมธ.วิสามัญศึกษาแนวทางการร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฯ ก็จะเป็นตัวเลขที่เยอะกว่านี้ ซึ่งตัวเลขนั้นอาจมีความคลาดเคลื่อน เพราะยังไม่ได้กรองมูลเหตุจูงใจของการกระทำ อาศัยรวบรวมข้อมูลจากฐานความผิดในเวลา 20 ปี จึงเป็นตัวเลขที่เกินจริง เช่น คดีจราจรทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรอบ 20 ปี ไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นคดีทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่สำคัญที่สุดคือในวันนี้ มีผู้ที่ถูกจองจำด้วยคดีทางการเมือง 51 คน หากร่างนิรโทษกรรม ฉบับประชาชน ไม่ได้ไปต่อ คนที่อยู่ในเรือนจำก็จะไม่ได้ออกไป มีเพียงคนส่วนน้อยที่จะได้รับประโยชน์
กรอบเวลา-คดีที่ได้รับอานิสงส์-ข้อยกเว้น
- ระยะเวลาในการนิรโทษกรรม: 19 กันยายน 2549 จนถึงวันที่กฎหมายเริ่มบังคับใช้ แต่จริงๆ มีการชุมนุมก่อนหน้านั้นแล้ว หากในชั้นกรรมาธิการจะมีการแก้ไขในระยะเวลาให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเชื่อว่าประชาชนคงไม่มีปัญหา
- บุคคลที่ควรได้รับนิรโทษ
- ยกเว้นเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม หากว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่เกินกว่าเหตุ เป็นความผิดตามมาตรา 113 (ล้มล้างการปกครอง /รัฐประหาร)
พูนสุขอธิบายว่า ถ้าเจ้าหน้าที่กระทำการอย่างได้สัดส่วน ป้องกันตามเหตุที่จะเกิดขึ้น ย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุก็ควรถูกตรวจสอบ เราไม่ต้องการให้เกิดการยกเว้นความรับผิด
- การกระทำที่ได้รับการนิรโทษกรรม
- การนิรโทษกรรมในอดีตที่ผ่านมาเป็นการนิรโทษกรรมเฉพาะเหตุการณ์ โดยไม่เคยมีครั้งไหนที่การนิรโทษกรรมคดีต่างๆ ในช่วงเวลายาวนานถึง 20 ปีเหมือนกับครั้งนี้
- การนิรโทษกรรมครั้งนี้ เราจึงเสนอ 2 ประเภทของการกระทำ
1. คดีการเมืองโดยแท้ และควรได้รับนิรโทษกรรมโดยทันที มี 5 ประเภท
- คดีความเกี่ยวกับความผิดตามคำสั่งประกาศ คสช.
- พลเรือนที่ถูกดำเนินคดีในศาลทหาร ตามประกาศ คสช.
- ฐานความผิดตามมาตรา 112
พูนสุขอธิบายว่า ปัญหาของคดีมาตรา 112 มีทั้งเรื่องการบังคับใช้กฎหมายและสิทธิในการประกันตัว เวลาต่อสู้คดี ศาลก็บ่ายเบี่ยง ไม่เรียกพยานหลักฐาน หรือแม้กระทั่งตัดพยาน แม้มีหลักการพิจารณาคดีโดยเปิดเผย แต่ปัญหาที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้คือ ศาลใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อจะทำให้สุดท้ายเป็นการพิจารณาลับอยู่ดี เช่น การที่ศาลสั่งห้ามนำข้อมูลไปรายงาน
“คดีมาตรา 112 คน มีคนที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำ 32 คน จาก 51 คน สมมติว่าที่ประชุมแห่งนี้เห็นว่า ไม่มีปัญหาเลย สามารถนิรโทษกรรมได้หมด มีเพียงคดีเดียว (มาตรา 112) เท่านั้นที่ไม่สมควรได้รับการนิรโทษกรรม ทุกวันนี้ 51 ที่คนอยู่ในเรือนจำ สัดส่วน 32 คนในคดี 112 คือคนส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ หมายความว่าถ้านิรโทษกรรมไปก็ยังมี 62% ยังอยู่ในเรือนจำ ท่านกำลังนิรโทษกรรมให้คนส่วนน้อย”
- พ.ร.ก. ฉุกเฉิน 2548
- การออกเสียงประชามติ 2559
- คดีที่เกี่ยวโยงกับข้อ 1-5 ที่กล่าวมา
2. คดีกลุ่มที่เสนอว่าไม่ต้องกำหนดฐานความผิดเสียชีวิตตัว แต่ให้มีคณะกรรมการขึ้นพิจารณาว่า คดีไหนเป็นการเมือง หรือคดีไหนไม่เป็นการเมือง
พูนสุขอธิบายว่า ถ้าพิจารณาเทียบกับร่างของพรรครวมไทยสร้างชาติ กำหนดไว้ 20 ฐานความผิด แต่จากฐานข้อมูลคดีความของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนมีอยู่ 34 ฐานความผิด เราจึงเสนอว่าไม่ต้องมีฐานความผิดล็อกไว้สำหรับกลุ่มนี้ แต่ให้มีคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา โดยพิจารณาว่าคดีนั้นมีมูลเหตุจูงใจเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมืองหรือความขัดแย้งหรือเปล่า
โดยที่มาของคณะกรรมนิรโทษกรรม ทางภาคประชาชนเสนอให้มาจาก 2 องค์ประกอบหลักด้วยกัน คือ สส. และประชาชนที่ถูกดำเนินคดี โดยอำนาจของคณะกรรมการฯ อาจไม่ต้องดูรายคดีก็ได้ แต่ดูเป็นรายเหตุการณ์
“เราไม่ได้มีศาลหรืออัยการเข้ามา เพราะหน้าที่ของคณะกรรมการไม่ใช่การพิจารณาว่าคดีไหนถูกคดีไหนผิด แต่เป็นการพิจารณาว่าคดีไหนเป็นคดีการเมือง หรือไม่เป็น” พูนสุขกล่าว
‘ภูมิใจไทย’ เสนอร่างโค้งสุดท้าย ไม่รวม 112-กรรมการมาจากศาลล้วน
ภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้รับมอบหมายจาก อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ให้เป็นผู้เสนอร่างฯ ของพรรค ซึ่งเพิ่งจะเสนอในสภาผู้แทนฯ ในวันนี้ ขณะที่ร่างอื่นๆ นั้นมีการเสนอมาตั้งแต่สมัยประชุมก่อน และผ่านการรับฟังความเห็นในเว็บไซต์สภา ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแล้ว
ภราดรอธิบายว่า พรรคเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมทางการเมือง เนื่องจากผู้ชุมนุมทางการเมืองที่กลายเป็นผู้กระทำผิดตามกฎหมายนั้น เจตนาจริงๆ คือต้องการแสดงความเห็นทางการเมือง ไม่ได้ต้องการจะทำผิด จึงเป็นเหตุผลให้พรรคเสนอร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ….โดยมีหลักการให้ผู้ซึ่งกระทำความผิดจากการเข้าร่วมชุมนุมมทางการเมืองและแสดงออกทางการเมืองพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิด และพ้นจากความผิดตามกฎหมาย รวมทั้งให้ผู้ได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าวได้รับการเยียวยา
ภราดรกล่าวด้วยว่า ร่างนี้มีจุดที่จะต้องแก้ไข 2 จุด ซึ่งปรากฏอยู่ใน มาตรา 6 และอยู่ในบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญ หน้าที่ 2 ข้อ 2.3 “แต่ขอเปลี่ยนเลข พ.ศ. จากเดิม 2558-2565 เป็น 2548-2565” ภราดรกล่าว
สำหรับร่างของพรรคมีความเหมือนกับร่างของวิชัย สุดสวาสดิ์ และคล้ายกับร่างของปรีดา บุญเพลิง ในเรื่องการนิรโทษกรรมให้กับผู้มีความผิดจากการชุมนุมทางการเมือง โดยยกเว้นความผิดตามมาตรา 112, ฐานทุจริต หรือประพฤติมิชอบ, ผู้ที่ถูกดำเนินคดีอาญาร้ายแรงถึงชีวิต, ผู้ที่ก่อความเสียหายกับเอกชน
ส่วนความต่างระหว่างร่างของพรรคภูมิใจ กับร่างของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะอยู่ที่มาตราที่ 4 คือในส่วนของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการกระทำผิด ซึ่งร่างของพรรครวมไทยสร้างชาติ กำหนดให้คณะกรรมการชุดนี้มีอยู่ 9 คน และมีองค์ประกอบบางส่วนมาจากการคัดเลือกของ ครม., สส., สว.ขณะที่ร่างของภูมิใจไทย คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดฯ จะไม่มีนักการเมืองมาเกี่ยวข้องเลย เพราะหากมีกลุ่มคนจากฝ่ายการเมืองก็หนีไม่พ้นที่จะเกิดอคติ เอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จึงตัดกลุ่มที่เป็นส่วนของนักการเมืองออกทั้งหมด เหลือไว้แต่คนในกระบวนการศาล อาทิ ประธานศาลฎีกา, ประธานศาลรัฐธรรมนูญ, ประธานศาลปกครองสูงสุด, อัยการสูงสุด และ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม โดยให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นเลขานุการของคณะกรรมการชุดนี้ เหตุผลเพื่อที่จะให้เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมได้อยู่ในกระบวนการของคณะกรรมการวินิจฉัยด้วย ทำให้กระบวนการดำเนินเรื่องนิรโทษกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น
‘ประชาธิปัตย์’ ยันไม่นิรโทษฯ 112
เวลา 14.37 น. จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ แสดงจุดยืนระบุว่า เขาเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีการเมือง ซึ่งเป็นคดีความผิดโดยทั่วไป เช่น การชุมนุมทางการเมือง และการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ซึ่งเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและวิถีทางประชาธิปไตย แต่ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมมาตรา 110 หรือมาตรา 112 คดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีอาญาร้ายแรง เช่น การฆ่-าคนเสียชีวิตโดยเจตนา เป็นต้น
“หาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมทั้ง 5 ฉบับใดเข้าข่ายกรณีที่ผมกราบเรียนไป กระผมและประชาธิปัตย์ พร้อมให้การสนับสนุน” จุรินทร์ ระบุ
จุรินทร์ยังยกเหตุผล 2 ข้อที่ไม่นิรโทษกรรมคดี 112 คือ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการนิรโทษกรรมทางการเมืองหลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่ให้การนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 และ 110
สส.ปชป. กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ สภาฯ เคยปัดตกผลการศึกษาของ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรากฎหมายนิรโทษกรรม ที่ระบุให้นิรโทษกรรมฯ คดีอ่อนไหว ออกเป็น 3 แนวทาง คือ 1. ไม่นิรโทษกรรม 2. นิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไข และ 3. นิรโทษกรรมแบบไม่มีเงื่อนไข แต่เพราะเกรงว่าถ้าสภาฯ ลงมติเห็นชอบ อาจกลายเป็นสารตั้งต้นการนิรโทษกรรมคดี 112 ได้ สุดท้ายสภาฯ ปัดตกข้อสังเกตด้วยคะแนน 270 ต่อ 152 ซึ่งสะท้อนว่าสภาฯ นี้เคยมีความเห็นไม่นิรโทษกรรมคดี 112
“ถ้าเราตั้งเป้าหมายว่าเราจะนิรโทษกรรมเพื่อสร้างสังคมสันติสุข สร้างสังคมปรองดอง อันนี้เป็นดาบ 2 คม เพราะอีกคมหนึ่งแทนที่จะสร้างสังคมปรองดอง อาจจะนำไปสู่ความแตกแยกของสังคมครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งก็ได้” สส.ปชป. ทิ้งท้าย
หลังจากนั้นได้มี สส.โต้แย้งจุรินทร์ ว่าในประวัติศาสตร์เคยมีการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 มาแล้วหลังเกิดกรณี 6 ตุลา 2519 ซึ่งเขาได้ขอใช้สิทธิชี้แจงโดยตอบว่า เขาพูดไม่ผิดว่ายังไม่เคยมีการออก พ.ร.บ.การนิรโทษกรรมการกระทำความผิด มาตรา 112 มาก่อน กรณีที่หยิบยกมาอาจจะเป็นกรณีที่เป็นการนิรโทษกรรมตามคำสั่งของ 66/23 ซึ่งไม่ได้เป็น พ.ร.บ.นิรโทษการกระทำความผิดตามมาตรา 112 โดยเฉพาะ ซึ่งทั้งหมดนี้ปรากฏในเอกสารของคณะ กมธ.วิสามัญฯ ซึ่งสภาเคยพิจารณาไปแล้ว ดังนั้นจึงยืนยันว่าพูดถูกต้อง
‘รทสช.’ ไม่นิรโทษฯ 112 กังวลสังคมแตกแยกเพิ่ม
เวลา 15.00 น. ธนกร วังบุญคงชนะ สส. รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ลุกขึ้นอภิปราย 3 ประเด็นหลัก คือ1.จุดยืนไม่นิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ข้อหาทุจริต และคดีอาญาที่ทำให้มีคนเสียชีวิต 2.คณะกรรมการพิจารณานิรโทษกรรมต้องอิสระ-โปร่งใส และ 3.เรื่องมาตรการป้องกันการกระทำผิดซ้ำ
ธนกร ระบุว่าไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมมาตรา 112 เนื่องจากเป็นกฎหมายเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และเป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐ เพราะฉะนั้น ศาล รธน. วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า การแก้ไขมาตรา 112 ถือเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ ซึ่งพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์คือการพยุงพระเกียรติยศระดับประเทศ รักษาคุณลักษณะในระบอบประชาธิปไตยฯ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ดังนั้น เขาไม่เห็นด้วยเรื่องการนิรโทษกรรมมาตรา 112
“การนิรโทษกรรมให้กับคดีมาตรา 112 มันจะทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศที่เขามีความจงรักภักดีไม่สบายใจ และก็ออกมาเคลื่อนไหวอีก ก็นำไปสู่ความแตกแยกอีก”
ธนกร ระบุว่าได้คุยกับ สส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ ของพรรคประชาชน เขาเห็นใจเยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวและถูกดำเนินคดี แต่ขอสื่อสารไปยังผู้นำจิตวิญญาณของเยาวชนเหล่านี้ว่าให้เลิกพฤติกรรมยุยงส่งเสริมเยาวชนได้ไหม เพราะมีหลายคนติดคุก ถูกดำเนินคดี บางคนยกฟ้อง หรือบางคนได้รับการประกันตัวระหว่างดำเนินคดี แต่ก็มีหลายคดีที่ออกมาแล้วกระทำความผิดซ้ำๆ ซากๆ อีก เพราะฉะนั้น ต้องไปดูว่าใครอยู่เบื้องหลัง และย้ำว่ายังไงก็ตาม เขาไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112
ธนกร กล่าวต่อว่า รทสช. ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต และต้องไม่นิรโทษกรรมคดีทุจริต ซึ่งเป็นจุดยืนเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์
สส.รวมไทยสร้างชาติ ยืนยันว่า คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อนิรโทษกรรมต้องมีความเป็นอิสระ โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะต้องประกอบไปด้วย ภาคประชาชน นักวิชาการ และผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่เช่นนั้น คณะกรรมการก็อาจตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง ตรงนี้ต้องมีความยุติธรรม
ท้ายสุด แม้ว่าจะเปิดโอกาสให้นิรโทษกรรมแล้ว แต่ต้องวางมาตรการการกระทำผิดซ้ำด้วย ไม่ใช่แค่นิรโทษกรรมไปแล้ว แต่หลังจากนั้นมีการกระทำผิดอีก เช่น ถ้าภายในระยะเวลา 10-15 ปี ห้ามกระทำผิดอีกในข้อหาเดิม ถ้าทำผิด ต้องกลับมานับ 1 ใหม่อีกครั้ง เป็นต้น
‘กล้าธรรม’ มองกรรมการวินิจฉัยฯ ต้องอิสระ โปร่งใส
เวลา 16.26 น. สะถิระ เผือกประพันธุ์ สส.พรรคกล้าธรรม อภิปรายโดยไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการนิรโทษกรรมคดีการเมืองมาตรา 112 เพียงแต่อ้างว่าคดีมาตรา 112 เป็นจารีตที่มีตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และแต่ละประเทศมีจารีตประเพณีไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ ในร่างของพรรคกล้าธรรมระบุชัดเจนว่าไม่นิรโทษกรรมแก่คดี 112
สะถิระ กล่าวต่อว่า ในร่าง พ.ร.บ.สันติสุข หรือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม กำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการนิรโทษกรรมคดีการเมือง ซึ่งเขาเสนอว่าคณะกรรมการที่มาวินิจฉัยนิรโทษกรรมคดีการเมืองต้องมีการกำหนดขอบเขต เพื่อให้วินิจฉัยได้อย่างตรงไปตรงมาและถูกต้อง เพราะป้องกันไม่ให้มีความแตกแยกในอนาคต
ส่วนจุดยืนของพรรคกล้าธรรม ไม่เห็นด้วยที่จะมีการนิรโทษกรรมคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ และที่สำคัญผู้ที่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความเสียชีวิต
‘เชตวัน’ ย้ำนิรโทษกรรมคดี 112 ไม่ได้เท่ากับยกเลิกกฎหมาย
“วาระนี้ไม่ได้เป็นวาระให้ใครมาแข่งกันแสดงความจงรักภักดี ว่าถ้าเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม แปลว่าไม่จงรักภักดี ถ้าไม่เห็นด้วย จึงจะแสดงว่าจงรักภักดี”
เชตวัน เตือประโคน สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน อ้างอิงการอภิปรายของจตุรนต์ ฉายแสง สส.พรรคเพื่อไทยที่ได้กล่าวไว้ในวันประชุมสภาฯ พิจารณารายงานศึกษาของ กมธ.วิสามัญฯ ศึกษานิรโทษกรรม เมื่อ ต.ค. 2567
เขากล่าวชื่นชมคำพูดของจาตุรนต์และยืนยันว่า การพิจารณากฎหมายนี้ไม่ได้เป็นการแสดงความจงรักภักดี แต่เป็นโอกาสที่จะคืนเสรีภาพ คืนพ่อแม่ให้กับลูก คืนลูกให้กับพ่อแม่ และคืนความปกติให้กับสังคม ไม่มีใครควรติดคุกเพราะว่าแสดงความเห็นทางการเมือง
สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน มองว่า การนิรโทษกรรมคดีการเมืองมีความสำคัญอย่างมากในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะหลังการชุมนุมของคนรุ่นใหม่และนักเรียนนักศึกษาช่วงปี 2563 เป็นต้นมา เยาวชนคืออนาคตของชาติ แต่เรากลับเอาเยาวชนที่มีความคิดความรู้ และความตื่นตัวทางการเมืองไปคุมขัง มันก็เหมือนกับการคุมขังประเทศชาติ แล้วเราจะมีอนาคตได้อย่างไร ดังนั้น จึงมีการคิดเรื่องนิรโทษกรรมคดีการเมืองให้ประชาชน
การไม่นิรโทษกรรมมาตรา 112 ซึ่งเป็นประเด็นมาตั้งแต่การรับรายงานศึกษาของ กมธ.นั้น เชตวันยืนยันว่า ยังไงมาตรา 112 ที่เกิดขึ้นโดยมากนับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมาเป็นคดีทางการเมืองอย่างแท้จริง เพราะว่ามีการใช้กลั่นแกล้งและทำลายกันอย่างชัดแจ้ง เขายังยกตัวอย่างบ้านหนึ่งที่เชียงใหม่ โพสต์ความเห็นทางการเมือง โดนคนไปฟ้องร้องที่ จ.ปัตตานี
เชตวันกล่าวด้วยว่า สำหรับคนที่กำลังกังวลเรื่องมาตรา 112 อยากย้ำว่าการนิรโทษกรรมมาตรา 112 ไม่เท่ากับการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าว กฎหมายยังอยู่ จุดประสงค์ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้คือการนิรโทษกรรมคดีการเมืองให้ประชาชน เพราะว่าเขาเห็นต่างทางการเมือง
“เพื่อนสมาชิกได้โปรดพิจารณา พิสูจน์ให้เห็นว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาของเรา เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้ คืนเสรีภาพให้ประชาชน คืนความปกติให้สังคม และขอสนับสนุนให้มีการนิรโทษกรรมคดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองทุกกรณี” เชตวันทิ้งท้าย
เยาวชนไม่ได้ถูกล้างสมอง
ธนพัฒน์ กาเพ็ง ผู้ชี้แจงร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของภาคประชาชน กล่าวว่า เขาโดนมาตรา 112 ตั้งแต่เรียนอยู่มัธยมฯ ปีที่ 5 และหลังจากมาเรียนที่กรุงเทพฯ เขาก็ถูกดำเนินคดีจากการจัดกิจกรรมในโรงเรียน ปัจจุบันมีคดีติดตัวอยู่ 24 คดี และเป็นคดีมาตรา 112 จำนวน 3 คดี ซึ่งการถูกคดีมาตรา 112 ทำให้เขาต้องเดินทางไปที่อำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทั้งๆ ที่ไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนเลย เพียงเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา เนื่องด้วยระบบกฎหมายของเราเปิดโอกาสให้ใครก็ตามแจ้งความด้วย พ.ร.บ.คอมฯ และมาตรา 112 ได้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ
“ในวันที่คดีความเกิดขึ้น ผมถูกมองว่าเป็นภัยความมั่นคง เป็นหัวรุนแรง เป็นเด็กนอกคอก เป็นอะไรก็แล้วแต่ที่พวกท่านจะตีตราให้ผมเป็น ทั้งๆ ที่ผมเป็นเยาวชนที่อยากใช้สิทธิพลเมือง อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง อยากเห็นบ้านเมืองของเราดีขึ้น” ธนพัฒน์ กล่าว
ธนพัฒน์ กล่าวชี้แจงในประเด็นที่มี สส.อภิปรายว่า เยาวชนถูกชักจูง หรือโดนล้างสมองว่า เขาไม่ได้ถูกชักจูง แต่เขามาแสดงออกตามสิทธิพลเมือง และยืนยันว่าคดีความมาตรา 112 เป็นคดีความการเมือง
“มีบางท่านบอกว่า พวกเราโดนชี้นำ พวกเราโดนชักจูง โดนล้างสมอง สิ่งที่พวกเราคิด สิ่งที่พวกเราทำ คือการแสดงออกตามสิทธิพลเมือง และแสดงออกตามที่เราเรียนวิชาสังคม เราก็เชื่อว่าประชาธิปไตย ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ทั้งทางตรง และทางอ้อม ผ่านการเลือกตั้ง
“หลายๆ ท่านบอกว่า มาตรา 112 ไม่ใช่คดีความทางการเมือง แต่ผมอยากจะบอกให้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2563 เกิดขึ้นมาจนถึงปัจจุบันนี้มันแสดงให้เห็นชัดเจนละครับว่า 112 คือคดีความที่เราถูกกลั่นแกล้ง และการที่จะนิรโทษกรรมโดยไม่รวมคดีความ มาตรา 112 คือการยุติความขัดแย้งเพียงครึ่งเดียว และมันจะไม่มีสันติภาพจากความยุติธรรมที่เลือกข้าง
“ผมเชื่อว่าการนิรโทษกรรมมาตรา 112 ไม่ใช่เพื่อลบล้างความผิด กับคนเห็นต่าง แต่คือการฟื้นฟูกระบวนการยุติธรรม ฟื้นฟูประชาธิปไตย ให้พวกเราถูกตีตราว่าผิด ให้กลับมาใช้ชีวิตในฐานะพลเมืองอย่างเท่าเทียม” ธนพัฒน์ กล่าว
ธนพัฒน์ กล่าวต่อว่า ขอสื่อสารไปยัง สส.ที่บอกว่าเห็นใจประชาชน และเยาวชน ด้วยการยกมือสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับประชาชน ที่รวมคดีความมาตรา 112 อันเกิดจากการใช้สิทธิเสรีภาพด้วยความสงบ และปราศจากความรุนแรง และสุดท้าย ประชาธิปไตยจะไม่มีวันเบ่งบานในบ้านเรา ถ้าเรายังปล่อยให้เยาวชน และคนเห็นต่างทางความคิด ถูกดำเนินคดีเพียงเพราะว่าพวกเขามีความฝัน
‘เบญจา’ ระบุเคยมีนิรโทษ 112 ปี 2521
เวลา 17.06 น. เบญจา อะปัญ ผู้ได้รับผลกระทบจากคดีมาตรา 112 ทั้งหมด 8 คดี กล่าวในประเด็นที่จุรินทร์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นอภิปรายว่าประเทศไทยไม่เคยมีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมคดีความมาตรา 112 โดยเฉพาะมาก่อนนั้น เรื่องนี้ถูกต้อง แต่เคยมี พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเมื่อปี 2521 เขาไม่ได้ระบุว่าให้นิรโทษกรรมมาตรา 112 เพราะว่าเขานิรโทษกรรมทั้งหมดเลย ซึ่งในนั้นมันก็รวมมาตรา 112 เข้าไปด้วย ดังนั้น การบอกว่าไม่เคยมีการนิรโทษกรรมมาตรา 112 น่าจะผิดข้อเท็จจริง
ต่อกรณีที่ ธนกร วังบุญคงชนะ สส.รวมไทยสร้างชาติ อภิปรายว่าคนที่ลี้ภัยคือคนที่มีอภิสิทธิ์นั้น เบญจา กล่าวว่า เธอเคยจดบันทึกว่าคนที่ลี้ภัยไปไหนรึเปล่า ปรากฏว่าไม่ต่ำกว่า 20 คน และทั้ง 20 คนไม่ใช่คนมีอภิสิทธิ์อะไรเลย การใช้ชีวิตในเมืองนอกไม่ง่าย โดยเฉพาะถ้าไม่มีต้นทุน และคนที่ไม่ได้ภาษาก็มี ดังนั้น การมาบอกว่าเขามีอภิสิทธิ์คิดว่าไม่ถูกต้อง
“พวกเขาแค่คือกลุ่มคนที่เขาไม่อยากต่อสู้ในกลุ่มคนที่กระบวนการยุติธรรมที่มันไม่ยุติธรรม ท่านรู้ไหมว่าหมายศาลที่ออกเรียกพยานในแต่ละครั้ง มันยากเย็นแค่ไหน พยานบางอันที่สำคัญ ศาลก็ไม่ออกหมายเรียก มันจะยุติธรรมได้อย่างไรกับฝ่ายจำเลยอย่างเรา
“ทั้งที่ติดคุกกันอยู่ กำลังจะติดคุก และที่ลี้ภัยกันอยู่ตอนนี้ มันก็ล้วนเป็น 112 ทั้งสิ้น ถ้ามันไม่รวม 112 เข้าไปจะสันติสุขแบบไหน สันติสุขเฉพาะพวกท่านหรือเปล่า ถ้าท่านบอกว่าอยากก้าวผ่านไปด้วยกัน เริ่มต้นกันใหม่ แต่ทำไมท่านถึงจะไม่ให้โอกาสเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้ก้าวผ่านไปด้วยกัน” เบญจา เผย
ท้ายสุด เมื่อเวลา 17.08 น. พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 1 และประธานการประชุม กล่าวปิดประชุม และให้คุยต่อในสัปดาห์หน้า
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )