เหตุใดทารกชาวไอร์แลนด์หลายร้อยคนจึงถูกฝังอยู่ในสุสานลับ ?

ที่มาของภาพ : Getty Images

บ้านพักเด็กและสวนอนุสรณ์สถานที่เชื่อว่าเป็นสถานที่ฝังศwเด็ก 796 คน ถ่ายเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2024 ในเมืองทูอัม ประเทศไอร์แลนด์

Article Info

    • Creator, คริส เพจ
    • Purpose, ผู้สื่อข่าวบีบีซีนิวส์ ไอร์แลนด์

ไม่มีบันทึกการฝัง ไม่มีป้ายหลุมศw ไม่มีอนุสรณ์สถาน

ไม่มีอะไรเลยจนกระทั่งในปี 2014 ที่นักประวัติศาสตร์มือสมัครเล่นค้นพบหลักฐานสุสานขนาดใหญ่ซึ่งเชื่อว่าประกอบไปด้วยศwเด็กหลายร้อยคนที่อาจซ่อนอยู่ในถังบำบัดน้ำเสียใต้ดินในเมืองทูอัม (Tuam) มณฑลกัลเวย์ ทางตะวันตกของประเทศไอร์แลนด์

ตอนนี้เจ้าหน้าที่สืบสวนได้นำเครื่องขุดมาไว้บนพื้นหญ้าที่ดูไม่สม่ำเสมอ ซึ่งอยู่ถัดจากสนามเด็กเล่นในย่านที่อยู่อาศัยของเมืองนี้แล้ว โดยการขุดค้นจะเริ่มขึ้นในวันจันทร์ และคาดว่าจะใช้เวลาสองปี

พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นบ้านพักเด็กเซนต์แมรี (St Mary's children's house) ซึ่งเป็นสถาบันที่บริหารโดยโบสถ์คริสต์ และเป็นที่พักอาศัยของผู้หญิงและเด็กหลายพันคนในระหว่างปี 1925-1961

ที่มาของภาพ : Getty Images/Charles McQuillan

ตั้งแต่ปี 1925-1961 มีเด็กหลายร้อยคนเสียชีวิตในบ้านพักเด็กเซนต์แมรี ซึ่งเป็นสถานสงเคราะห์สำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือคลอดบุตรโดยไม่ได้แต่งงาน

ผู้หญิงหลายคนที่เคยอยู่ที่นี่ตั้งครรภ์ลูกนอกสมรสและถูกกีดกันจากครอบครัวตัวเอง และพวกเธอยังแยกจากลูก ๆ หลังให้กำเนิดแล้ว

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

of ได้รับความนิยมสูงสุด

จากบันทึกการเสียชีวิต ทารกที่สิ้นใจในบ้านเซนต์แมรีเป็นคนแรกคือ แพทริก เดอร์เรน ซึ่งเสียชีวิตในปี 1915 ด้วยอายุเพียง 5 เดือน ส่วนคนสุดท้ายคือ แมรี คาร์ที ซึ่งเสียชีวิตในช่วงวัยเดียวกันเมื่อปี 1960

ในช่วงระยะเวลา 35 ปีระหว่างการเสียชีวิตของพวกเขา มีข้อมูลว่าทารกและเด็กอีก 794 คนเสียชีวิตที่นี่ และเชื่อกันว่าพวกเขาอาจจะถูกฝังอยู่ในบริเวณที่เอ็นดา เคนนี อดีตนายกรัฐมนตรีไอร์แลนด์ ขนาดนามว่าเป็น “ห้องแห่งความสยองขวัญ” (chamber of horrors)

พีเจ ฮาเวอร์ตี ใช้เวลาหกปีแรกของชีวิตในสถานที่นี้ซึ่งเขาเรียกมันว่าคุก แต่เขามองว่าตัวเองคือหนึ่งในผู้โชคดี

“ผมออกจากที่นั่นมาได้”

ที่มาของภาพ : Getty Images/Charles McQuillan

พีเจ ฮาเวอร์ตี อยู่ที่สวนซึ่งทีมสืบสวนกำลังจะเริ่มขุดค้น

เขาจำได้ว่า “เด็กในบ้านพัก” ถูกกีดกันอย่างไรในโรงเรียน

“เราต้องไปถึงสาย 10 นาที และออกเร็วกว่าปกติ 10 นาที เพราะพวกเขาไม่อยากให้เราพูดกับเด็กคนอื่น ๆ” พีเจ เล่า

“แม้กระทั่งช่วงพักคาบเรียน เราก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นกับพวกเขา พวกเราถูกปิดกั้น”

“คุณเป็นสิ่งสกปรกจากถนน”

พีเจต้องอยู่กับการถูกตีตรามาทั้งชีวิต แม้กระทั่งหลังจากที่เขาได้พบกับบ้านอุปถัมภ์ที่แสนดี และในหลายปีหลังจากนั้นที่เขาได้ตามหาแม่ผู้ให้กำเนิดซึ่งทิ้งเขาไปตั้งแต่ตอนอายุเพียงหนึ่งขวบ

บ้านพักเด็กที่บริหารโดยคณะภคินี “บอน เซคัวร์ส” (Bon Secours Sisters) แห่งนี้ เป็นเหมือนกับวิญญาณที่ตามลวงหลอนเขาและอีกหลาย ๆ คนในเมืองทูอัมมาตลอดหลายทศวรรษ จนกระทั่ง แคทเธอรีน คอร์ลิส นักประวัติศาสตร์มือสมัครเล่น ได้พาอดีตอันมืดมนของเซนต์แมรีเข้าสู่ที่แจ้ง

การค้นพบสุสานขนาดใหญ่

ที่มาของภาพ : Getty Images/Charles McQuillan

การค้นพบหลุมศwขนาดใหญ่อันน่าตกใจของ แคทเธอรีน คอร์ลิส เกิดขึ้นในปี 2014

ด้วยความสนใจที่จะขุดหาอดีตของครอบครัวตัวเอง แคทเธอรีนลงเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในปี 2005 หลังจากนั้นความสนใจของเธอก็มุ่งไปที่เซนต์แมรีและ “เด็กในบ้านพัก” ที่มาโรงเรียน โดยแยกตัวจากเธอและเพื่อนร่วมชั้น

“ตอนที่ฉันเพิ่งเริ่มต้น ฉันไม่รู้เลยว่าจะเจอกับอะไร”

แคทเธอรีนเล่าว่า เธอเริ่มต้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อคำถามอันไม่น่าจะเป็นพิษภัยของเธอไม่ได้รับการตอบสนอง หรือแม้กระทั่งทิ้งข้อสงสัยไว้ให้

“ไม่มีใครช่วยเหลือฉันเลย และไม่มีใครมีบันทึกใด ๆ” เธอกล่าว

นั่นยิ่งทำให้เธอมุ่งมั่นที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเด็กในบ้านพักแห่งนี้

แล้วความก้าวหน้าครั้งสำคัญก็เกิดขึ้นเมื่อเธอได้พูดคุยกับผู้ดูแลสุสาน ซึ่งพาเธอมายังเขตที่อยู่อาศัยที่บ้านพักเด็กแห่งนี้เคยตั้งอยู่

ที่มาของภาพ : Getty Images/Charles McQuillan

โพรงที่สวนซึ่งเชื่อว่าตั้งอยู่บนหลุมฝังศwขนาดใหญ่ มีผู้คนนำข้อความและสิ่งของมาวางไว้เพื่อระลึกถึงผู้วายชนม์

ด้านข้างของสนามเด็กเล่น มีสนามหญ้าทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่มีรูปปั้นพระแม่มารีย์ตั้งอยู่ในโพรง

ผู้ดูแลบอกกับแคทเธอรีนว่า มีเด็กผู้ชายสองคนเคยมาเล่นที่นี่ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970 หลังจากบ้านพักเด็กถูกรื้อถอน และได้เจอแผ่นคอนกรีตที่แตกหัก เมื่อพวกเขาดึงมันขึ้นก็พบว่ามีหลุมอยู่ด้านใน

พวกเขาเห็นกระดูกในหลุมนั้น โดยผู้ดูแลบอกว่าหลังจากที่เจ้าหน้าที่ทราบเรื่อง หลุมดังกล่าวก็ถูกปิดไป

ผู้คนเชื่อว่าซากกระดูกเหล่านี้มาจากช่วงที่เกิดวิกฤตความอดอยากในไอร์แลนด์เมื่อทศวรรษ 1840 เพราะก่อนสถานที่แห่งนี้จะเป็นบ้านพักเด็ก มันเคยเป็นสถานที่ทำงานในยุคของความอดอยากที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

แต่นั่นไม่เพียงพอสำหรับแคทเธอรีน เพราะเธอรู้ว่าคนเหล่านั้นถูกฝังอยู่ผืนดินที่อยู่ห่างออกไปครึ่งไมล์ ซึ่งมีอนุสาวรีย์ที่บ่งบอกสถานที่แห่งนั้น

ที่มาของภาพ : Getty Images/Charles McQuillan

แคทเธอรีนได้รับบันทึกการเสียชีวิตของเด็กหลายร้อยคนในบ้านพักเด็กเซนต์แมรี

ความสงสัยของเธอพุ่งขึ้นอีกเมื่อเธอเปรียบเทียบแผนที่เก่าของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งแผนที่ฉบับหนึ่งในปี 1929 ระบุว่า จุดที่เด็กชายพบโครงกระดูกเป็น “ถังบำบัดน้ำเสีย” ขณะที่แผนที่อีกฉบับในช่วงทศวรรษที่ 1970 หลังจากบ้านพักแห่งนี้ถูกรื้อถอน มีข้อความเขียนด้วยลายมือติดกับพื้นที่ดังกล่าว ระบุว่าเป็น “ที่ฝังศw”

แผนที่ดังกล่าวดูเหมือนจะบ่งชี้ว่ามีสุสานอยู่ที่นี่ และแคทเธอรีนอ่านเจอว่าถังบำบัดน้ำเสียที่ระบุในแผนที่ฉบับแรกถูกเลิกใช้ไปตั้งแต่ปี 1937 ดังนั้นมันจึงว่างเปล่าในทางทฤษฎี แต่แล้วใครกันที่ถูกฝังไว้ตรงนั้น ?

แคทเธอรีนโทรหาสำนักงานทะเบียนราษฎรที่เก็บข้อมูลการเกิด เสียชีวิต และแต่งงาน ในมณฑลกัลเวย์ และสอบถามชื่อของเด็กทั้งหมดที่เสียชีวิตในบ้านพักเด็กแห่งนี้

สองสัปดาห์ต่อมา เจ้าหน้าที่ก็โทรกลับมาหาและถามเธอว่าต้องการรายชื่อทั้งหมดจริง ๆ ใช่หรือไม่ แคทเธอรีนคาดว่าอาจจะมี 20–30 รายชื่อ แต่ปรากฎว่ามีหลายร้อยคน

เมื่อแคทเธอรีนได้รับรายชื่อทั้งหมด ปรากฎว่ามันบันทึกเด็กที่เสียชีวิตไว้ 796 คน

เธอตกใจมากเมื่อหลักฐานในมือเริ่มบ่งชี้ว่าใครน่าจะถูกฝังไว้ภายใต้ผืนหญ้าที่เซนต์แมรี

ก่อนอื่น เธอตรวจสอบประวัติการฝังศwว่ามีใครภายในรายชื่อเหล่านี้บ้างที่ถูกฝังในสุสานต่าง ๆ ภายในมณฑลกัลเวย์ หรือมณฑลเมโยซึ่งอยู่ข้างเคียง และเธอไม่พบข้อมูลใด ๆ

หากไม่มีการขุดค้น แคทเธอรีนไม่สามารถพิสูจน์ข้อสงสัยนี้ได้ ตอนนี้เธอเชื่อว่ามีเด็กหลายร้อยคนถูกฝังในสุสานขนาดใหญ่ที่ไม่มีเครื่องหมายบ่งบอกใด ๆ โดยอาจถูกฝังอยู่ในถังบำบัดน้ำเสียที่เลิกใช้แล้ว ที่บ้านพักเด็กเซนต์แมรี

เมื่อการค้นพบของเธอกลายเป็นข่าวไปทั่วโลกในปี 2014 เธอก็เริ่มเผชิญกับความเป็นปรปักษ์ในบ้านเกิดของเธอเอง

“ผู้คนไม่เชื่อฉัน” เธอย้อนเล่าว่ามีหลายคนที่ตั้งข้อสงสัย และดูหมิ่นว่านักประวัติศาสตร์มือสมัครเล่นไม่สามารถจะขุดคุ้ยเรื่องอื้อฉาวรุนแรงเช่นนี้ได้

แต่มีพยานรายหนึ่งมองเห็นมันด้วยสองตาของเธอเอง

คำเตือน: เนื้อหาในช่วงต่อไปนี้ประกอบด้วยรายละเอียดที่อาจทำให้ผู้อ่านบางคนรู้สึกไม่สบายใจ

ที่มาของภาพ : Getty Images/Charles McQuillan

แมรี มอริอาร์ตี อาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่สร้างขึ้นในอาณาบริเวณของบ้านพักเด็กแห่งนี้ ในช่วงทศวรรษที่ 1970

แมรี มอริอาร์ตี อาศัยอยู่ในบ้านหลังหนึ่งใกล้กับบ้านพักเด็กแห่งนี้ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970 เธอเสียชีวิตไม่นานหลังจากที่ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีนิวส์ แต่ครอบครัวของเธอตกลงยินยอมให้เผยแพร่ในสิ่งที่เธอบอกกับเราได้

แมรีจำได้ว่าเคยมีผู้หญิงสองคนมาหาเธอในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 และบอกว่า “พวกเธอเห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่งกับกระโหลกศีรษะที่มีกิ่งไม้เสียบไว้”

“แมรีและเพื่อนบ้านของเธอถามเด็กหนุ่มว่าเจอกระโหลกศีรษะนี้ที่ไหน เขาจึงพาไปดูพุ่มไม้จุดหนึ่ง และแมรีซึ่งตามเด็กหนุ่มไปดูจุดนั้น “ตกลงไปในหลุม”

แสงส่องลงมายังจุดที่เธอตกลงไป ทำให้เธอมองเห็น “กองเล็ก ๆ” ที่ห่อด้วยเสื้อผ้าที่กลายเป็นสีดำจากความเน่าเสียและเปียกชื้น และถูก “บรรจุเรียงกันทีละกอง เป็นแถวยาวขึ้นไปจนถึงเพดาน”

มากแค่ไหน ?

“หลายร้อย” เธอตอบ

หลังจากนั้นเมื่อลูกชายคนที่สองของแมรีเกิดในโรงพยาบาลที่เมืองทูอัม เด็กทารกถูกพามาหาเธอโดยกลุ่มแม่ชีที่ทำงานที่นั่นโดย “อยู่ในห่อเสื้อผ้าแบบนี้” แบบเดียวกับที่เธอเห็นในหลุมนั้น

“นั่นคือตอนที่ฉันรู้ซึ้งแล้วว่าสิ่งที่ฉันเห็นหลังจากตกลงไปในหลุมนั้นคือเด็กทารก” แมรีกล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Images/Charles McQuillan

แอนนา คอร์ริแกน พบว่าแม่ของเธอได้ให้กำเนิดลูกชายสองคน จอห์น และ วิลเลียม ในบ้านพักเด็กนี้

ในปี 2017 การค้นพบของแคทเธอรีนได้รับการยืนยัน เมื่อการสืบสวนของรัฐบาลไอร์แลนด์พบ “ซากมนุษย์จำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ” ในการทดสอบการขุดค้นสถานที่ดังกล่าว

โครงกระดูกเหล่านั้นไม่ได้มาจากความอดอยาก และ “ช่วงอายุขณะที่เสียชีวิต” อยู่ที่ตั้งแต่ 35 สัปดาห์ในครรภ์มารดา ไปจนถึง 2–3 ปี

ถึงตอนนี้ที่มีการรณรงค์ให้สืบสวนสถานที่แห่งนี้อย่างเต็มรูปแบบ แอนนา คอร์ดิแกน คือหนึ่งในผู้ที่ต้องการให้เจ้าหน้าที่เริ่มขุดค้น

ก่อนที่เธอจะอายุ 50 ปี แอนนาคิดมาตลอดว่าเธอคือลูกคนเดียว กระทั่งเธอได้ค้นหาประวัติของครอบครัวในปี 2012 และพบว่าแม่ของเธอได้ให้กำเนิดเด็กผู้ชายสองคนในบ้านพักเด็กแห่งนี้เมื่อปี 1946 และ 1950 เด็กทั้งสองชื่อว่า จอห์น และ วิลเลียม

แอนนาหาใบมรณบัตรของวิลเลียมไม่พบ แต่เธอพบของจอห์น มันระบุว่าเขาเสียชีวิตในขณะที่มีอายุ 16 เดือน ด้วยภาวะ “ปัญญาอ่อนตั้งแต่กำเนิด” (congenital fool) และ “โรคหัด”

ที่มาของภาพ : Getty Images/Charles McQuillan

ใบมรณบัตรของจอห์น ระบุสาเหตุการเสียชีวิตมาจากภาวะ “ปัญญาอ่อนตั้งแต่กำเนิด” และ “โรคหัด”

รายงานการตรวจสอบบ้านพักในปี 1947 ระบุรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับจอห์นเอาไว้

“เขาเกิดมาปกติและมีสุขภาพดี มีน้ำหนักเกือบ 9 ปอนด์ (4 กก.)” แอนนาเปิดเผย “ตอนที่เขาอายุ 13 เดือน เขาซูบผอม มีความอยากอาหารอย่างมาก และไม่สามารถควบคุมการทำงานของร่างกายได้”

“และเขาก็เสียชีวิตในอีกสามเดือนหลังจากนั้น”

รายการจากหนังสือการ “ปลดประจำการ” ของบ้านพักเด็กแห่งนี้ ระบุว่าวิลเลียมเสียชีวิตในปี 1951 ซึ่งเธอไม่รู้ว่าทั้งสองคนถูกฝังไว้ที่ไหน

แอนนาตั้ง “กลุ่มครอบครัวเด็กทารกในทูอัม” (Tuam Babies Family Team) สำหรับผู้รอดชีวิตและญาติ ๆ เธอกล่าวว่าเสียงของเด็ก ๆ เป็นที่ได้ยินแล้ว

“พวกเราทุกคนรู้จักชื่อของพวกเขา พวกเราทุกคนรู้ว่าพวกเขาเคยมีชีวิตอยู่”

ตอนนี้งานของการค้นหาทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผืนหญ้าในเมืองทูอัม ได้เริ่มขึ้นแล้ว

‘เล็กจิ๋วแน่ ๆ”

ที่มาของภาพ : PA

แดเนียล แมคสวีนีย์ หัวหน้าชุดขุดค้น เคยมีส่วนร่วมกับการค้นหาร่างผู้สูญหายในพื้นที่พิพาทหลายแห่งทั่วโลก

มีการคาดการณ์ว่าการขุดค้นจะใช้เวลาราวสองปี

“มันเป็นขั้นตอนที่ท้าทายมาก เป็นครั้งแรกของโลกจริง ๆ” แดเนียล แมคสวีนีย์ หัวหน้าชุดขุดค้น ผู้เคยช่วยค้นหาร่างผู้สูญหายในพื้นที่ขัดแย้งอย่างอัฟกานิสถาน ระบุ

เขาอธิบายว่า ซากศwที่เหลืออยู่จะปะปนกันหมด และกระดูกต้นขาของทารกซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายก็มีขนาดเพียงเท่านิ้วมือของผู้ใหญ่

“มันจะเล็กจิ๋วแน่ ๆ” เขากล่าว “พวกเราต้องกู้ซากศwอย่างระมัดระวังสุด ๆ เพื่อให้มีโอกาสมากที่สุดในการนำไประบุตัวตน”

ส่วนความยากลำบากในการระบุตัวตนเจ้าของกระดูกเหล่านี้ “ไม่สามารถประเมินต่ำไปได้” เขากล่าวเสริม

ไม่ว่ามันจะใช้เวลายาวนานเท่าไหร่ จะมีคนอย่างแอนนาที่รอฟังข่าวเพื่อหวังจะได้ยินเกี่ยวกับพี่น้อง ลุงป้า และญาติ ๆ ที่พวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้พบ