
“โรงงานเขาไม่เอาคนท้อง” คำบอกเล่าจากสาวโรงงาน เมื่อต้องเลือกทำแท้งเพื่อให้ได้งานทำ

ที่มาของภาพ : BBC/Wasawat Lukharang
Article Recordsdata
-
- Author, ปณิศา เอมโอชา
- Role, ผู้สื่อข่าว.
“พอตรวจว่าตั้งครรภ์ ‘ซัพคอนแทรค' บอกให้เราไปจัดการตัวเองก่อน เขาไม่รับเราทำงาน”
นี่คือเสียงจากเบล (นามสมมติ) สาวโรงงานวัย 27 ปี ที่เพิ่งผ่านกระบวนการยุติการตั้งครรภ์ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นบนภาระทางการเงินและสภาพเศรษฐกิจแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการเลี้ยงอีกหนึ่งชีวิต
“เรื่องเงินมันเป็นปัจจัยหลักในการเลี้ยงลูก ถ้าเราไม่มีเงินเด็กมันก็เติบโตมาไม่ดีหรอก” เบลกล่าวกับ.
ปัจจุบันนี้ หลังเข้ารับกระบวนการยุติการตั้งครรภ์ เบลกำลังทำงานในโรงงานแห่งหนึ่งภายในนิคมอุตสาหกรรมซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กรุงเทพฯ โดยเธอย้ายมาจาก จ.กำแพงเพชร
ตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในนิคมฯ ใหม่ ๆ เธอพักอยู่กับคนรักที่ทำงานในนิคมฯ เดียวกัน ทว่าตอนนั้นเธอยังไม่ได้ทำงาน รายได้ทั้งหมดจึงมาจากแฟนหนุ่มเพียงคนเดียว
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
Finish of ได้รับความนิยมสูงสุด
“รายได้รายวันอ่ะ 372 บาท ถ้าไม่มีโอทีก็ได้แค่นี้ ใช้กันสองคน ไหนจะค่าห้อง ค่าโทรศัพท์ ค่าเน็ต ลำบากมาก ก็กินแค่มาม่ากับไข่ต้ม” เบลเล่า
ด้วยเหตุนี้เธอจึงไปสมัครทำงานผ่าน ‘ซัพคอนแทรค' หรือผู้รับเหมาช่วงต่อจากบริษัท/โรงงานหลาย ๆ แห่งที่ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นรูปแบบการรับสมัครพนักงานโรงงานที่เห็นได้บ่อยครั้งตามนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ คล้าย ๆ กับการเป็นนายหน้าให้กับบริษัทจำนวนมากภายในนิคมอุตสาหกรรมนั้น ๆ
เธอเล่าถึงประสบการณ์ในวันที่เธอตัดสินใจไปสมัครงานกับซัพคอนแทรครายดังกล่าว ซึ่งเธอไม่ขอระบุถึงชื่อและสถานที่ที่เธอไป เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาด้านกฎหมาย โดยเธอรับทราบแต่แรกแล้วว่า สาวแรงงานที่ต้องการสมัครงานจำเป็นต้องตรวจสุขภาพทุกคน หนึ่งในรายการการตรวจสุขภาพ การตรวจปัสสาวะเพื่อคัดกรองว่าตั้งครรภ์หรือไม่ และหากใครปฏิเสธที่จะตรวจปัสสาวะซัพคอนแทรคเหล่านี้ก็จะไม่รับใบสมัครไว้ตั้งแต่แรกเลย
เธอเล่าต่อว่า เธอเองก็ยอมตรวจแต่โดยดี และพบว่าผลตรวจการตั้งครรภ์ของเธอออกมาเป็นสองขีด เธอจึงพยายามขอร้องให้พนักงานของซัพคอนแทรคนั้นยอมรับใบสมัครของเธอ โดยไม่ต้องระบุว่าเธอตั้งครรภ์ เพราะเธอต้องการทำงานหาเงินจริง ๆ แล้วเธอจะไปจัดการยุติการตั้งครรภ์โดยทันที
“เดี๋ยวหนูไปจัดการ รีบจัดการตัวเอง ช่วยเขียนได้ไหมว่าไม่ท้อง เขาบอกไม่ได้ จะเป็นความผิดของเขาอีก” สาวโรงงานวัย 27 ปี กล่าว
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว เบลกลับไปปรึกษากับแฟนของเธอและตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการยุติการตั้งครรภ์ในที่สุดเพราะเธอไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
จาก ‘ทำทาง' สู่ทางเลือกที่ปลอดภัย

ที่มาของภาพ : Getty Photos
เบลเล่าว่าก่อนที่จะต้องตัดสินใจครั้งนี้ เธอเคยเลื่อนเฟซบุ๊กผ่านเพจที่มีชื่อว่า ‘มูลนิธิทำทาง' ซึ่งให้คำปรึกษาเรื่องการยุติการตั้งครรภ์
“เคยเปิดผ่าน ๆ ว่า อ๋อ เดี๋ยวนี้การทำแท้งมันถูกกฎหมายแล้ว” เธอเล่าให้.ฟัง
หลังเข้าไปปรึกษากับเจ้าหน้าที่ เบลเล่าต่อว่า ตอนนั้นเธอเองเพิ่งเริ่มตั้งครรภ์ได้ไม่นาน และหลังจากปรึกษากับแพทย์ เธอก็เลือกกระบวนการกินยาผ่านการอมไว้ใต้ลิ้น
“แพทย์ก็จะถามว่าตอนทำอยู่กับใคร เพราะว่าอาจจะเสี่ยงเรื่องตกเลืoด แต่เราก็บอกว่าทำอยู่กับแฟนนะคะ ระหว่างทำเขาก็จะมีกลุ่มคอยถามว่าเป็นยังไงบ้าง หลุดหรือยัง อะไรประมาณนี้ เขาก็จะคอยแบบซัพพอร์ตอยู่” เบลเล่า
แม้กระบวนการเรื่องขั้นตอนการกินยาและเฝ้าระวังจะผ่านไปแล้ว แต่เบลยังต้องใช้เวลาอีกกว่า 2 เดือน ก่อนที่ผลการตรวจการตั้งครรภ์จะไม่ขึ้นสองขีดอีกต่อไป และเธอจะสามารถกลับไปสมัครงานได้
ประสบการณ์ร่วม

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ประสบการณ์ที่เบลต้องเจอไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับตัวเธอเท่านั้น ศรีไพร นนทรีย์ ตัวแทนกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิต ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่อาสาของมูลนิธิทำทาง บอกกับ.ว่าแท้จริงปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ในหมู่พนักงานโรงงานซ้อนทับกันอยู่หลายมิติ
กรณีอย่างเบลนับเป็นตัวอย่างหนึ่งที่การตรวจปัสสาวะถูกนำเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในปฏิเสธหญิงตั้งครรภ์ในการรับเข้าทำงาน อย่างไรก็ดี ศรีไพรเสริมว่ายังมีกรณีที่นายจ้างบังคับตรวจปัสสาวะกับสาวโรงงานที่ยังอยู่ในช่วงทดลองงาน
ตัวแทนสหภาพแรงงานอย่างศรีไพร กล่าวต่อไปว่า “อย่างที่พี่เคยเจอ ก็คือทำงานไปได้ประมาณหนึ่งเดือน นายจ้างก็บอกว่า คุณไปตรวจร่างกายนะ… ซึ่งช่วงทดลองงาน แรงงานเงินก็ไม่มีเก็บ กินค่าจ้างขั้นต่ำ ดังนั้นเขาก็เลือกที่จะมีงานทำมากกว่า แล้วพอเขารู้แล้วว่าท้อง ถ้าเกิดโรงงานนั้นเป็นโรงงานใหญ่ ๆ ก็จะรีบชิงลาออกก่อนเพื่อที่จะหาหนทางยุติการตั้งครรภ์แล้วค่อยไปหาบริษัทเล็ก ๆ ทำรอก่อนจนกว่าจะตรวจขึ้น 1 ขีด แล้วก็ค่อยกลับไปสมัครที่เดิม”
ในประเด็นทดลองงานนั้น เบลเล่าให้.ฟังผ่านประสบการณ์ตรงของเธอว่า มีหลายต่อหลายกรณีที่ช่วงทดลองงานก่อนเข้ารับบรรจุเป็นพนักงานประจำไม่ได้กินเวลาแค่เพียง 120 วัน แต่ลากยาวเป็นปี
“กว่าเราจะได้บรรจุ ก็ 2 ปี 3 ปี หรือว่าบางที่ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้บรรจุเพราะว่าขาดลามาสาย ก็คือเป็นพนักงานรายวันไป คนเรามันก็ต้องลา มันต้องป่วยถูกไหม ให้เราไม่ลาเลยมันก็ไม่ได้ แล้วเราเป็นพนักงานซัพคอนแทรค เขาก็กดดันว่าสมมติเราท้อขึ้นมา แล้วเรายังอยู่ในโรงงาน เขาก็เทเราออก เพราะคนท้องไม่สามารถยืนทำงานหนัก ๆ ได้” เบลเล่า
ศรีไพรเสริมว่า นอกจากสองกรณีข้างต้น ยังมีกรณีของแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานตามโรงงานหรืออยู่ตามฟาร์มซึ่งมักจะถูกนายจ้างสั่งห้ามมีบุตรโดยสิ้นเชิง
“ลูกจ้างก็ไม่กล้าไง มันมีทั้งเข้ามาแบบผิดกฎหมาย ถูกกฎหมาย แล้วพอแรงงานข้ามชาติจะเข้าทำงาน นายจ้างขอยึดหนังสือเดินทางไว้ทั้งหมด อย่าว่าแต่เรื่องโอกาสที่จะเข้าถึงการทำแท้งเลย เรื่องอะไรก็ตาม ก็ค่อนข้างจะยากมาก แม้แต่เรื่องการรักษาพยาบาลก็ยากแล้ว” ศรีไพรกล่าว
- เรื่องจริง ณ สมุทรสาคร: จากยุคโควิด-ปัจจุบัน

ที่มาของภาพ : Getty Photos
มนัญชยา อินคล้าย นายกสมาคมพราว ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ให้คำปรึกษาและดูแลแรงงานข้ามชาติใน จ.สมุทรสาคร กล่าวว่าองค์กรที่เธอบริหารอยู่นี้จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
เธอเล่าว่าปัญหาที่แรงงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในพื้นที่ต้องเจอ คือการสั่งห้ามออกนอกพื้นที่และต้องอยู่แต่ภายในแคมป์คนงานเท่านั้น ซึ่งทำให้แรงงานจำนวนมากเข้าไม่ถึงเวชภัณฑ์ป้องกันการคุมกำเนิด แรงงานหญิงบางรายไม่สามารถเข้ารับยาคุมกำเนิดตามกำหนดได้ ทั้งยังมีปัญหาความรุนแรงและการถูกล่วงละเมิดทางเพศด้วย จนนำไปสู่ภาวะตั้งครรภ์ไม่พร้อม
เธอเล่าว่า สมาคมพราวร่วมกับสมาคมพัฒนาเครือข่ายอาสา RSA (Referral machine for Protected Abortion) หรือระบบการส่งต่อเพื่อการยุติการตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นสมาคมภายใต้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และมีภารกิจ ร่วมกันจัดหาอาสาสมัครจากภายในแคมป์คนงาน เพื่อให้เกิดการแจ้งข่าว และให้ผู้ที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์เข้าถึงโทรเวชกรรมหรือระบบการแพทย์ทางไกล
คล้ายคลึงกับกรณีของเบล ผู้เข้ารับบริการบางรายก็เลือกที่จะรับประทานยาซึ่งมีทั้งแบบอมไว้ใต้ลิ้น หรือการเหน็บ ทั้งยังมีบริการยุติการตั้งครรภ์ผ่านเครื่องมือดูดสุญญากาศซึ่งต้องเข้ารับบริการ ณ สถานพยาบาลที่ได้รับการรับรอง
นายกสมาคมพราวเปิดเผยว่า มีสถิติผู้ยุติการตั้งครรภ์ผ่านการใช้ยาทั้งสิ้น 284 คน นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 จนถึงตั้งปี 2566 โดยตัวเลขนี้ไม่มีการแยกว่าเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ
มนัญชยา เล่าต่อว่าเมื่อผ่านช่วงโควิดมาแล้ว ระหว่างปลายปี 2566 ถึงตั้นปี 2568 สมาคมฯ ของเธอยังมีการส่งต่อผู้ที่ต้องการเข้ารับบริการยุติการตั้งครรภ์ด้วยยาจากในพื้นที่ราว 3-5 คน/เดือน
นอกจากนี้ สถิติตั้งแต่เดือน ก.พ. เป็นต้นมา จากทางสมาคมพราวพบว่า มีรายงานการเข้ารับบริการยุติการตั้งครรภ์ผ่านเครื่องดูดสุญญากาศ ซึ่งให้บริการผ่านคลินิกของแพทย์สูตินรีเวช ในพื้นที่จ.สมุทรสาคร ราว 12-20 คน/สัปดาห์ โดยเป็นตัวเลขที่รวมทั้งคนไทยและคนต่างชาติ
“การตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์มันมีหลายปัจจัย บางคนมีงานทำนะ มีบุตรแล้วแต่เขารู้ว่าว่าการมีลูกหนึ่งคนเขาจะเสียเวลาไปประมาณ 5 ปี” มนัญชยากล่าว
เธอเสริมว่า นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มวัยรุ่นที่พลั้งพลาดจนตั้งครรภ์ หรือกลุ่มที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดยิ่งเลวร้ายลงเมื่อมีประเด็นสภาพทางการเงินและสภาวะเศรษฐกิจและสังคม เช่น การขาดคนช่วยเลี้ยงดูบุตรเข้ามาเสริม
การฟ้องร้อง กฎหมาย และช่องโหว่

ที่มาของภาพ : BBC/Wasawat Lukharang
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 หมวดที่ 3 มาตรา 43 ระบุว่า “ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์”
นอกจากนี้ ในมาตราที่ 42 ยังระบุว่า หากลูกจ้างมีใบรับรองแพทย์ต่อการตั้งครรภ์ถูกต้อง นายจ้างต้องจัดหาหน้าที่/ภาระงานใหม่เป็นการชั่วคราวก่อนหรือหลังคลอดให้กับลูกจ้างตามความเหมาะสม
คำว่าลูกจ้างในที่นี้ หมายถึง ผู้ที่ทำงาน โดยได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน รายชิ้นหรือเหมาจ่าย ค่าตอบแทนที่ได้รับจากการทำงาน อาจจะเป็นเงินหรือสิ่งของบนพื้นฐานของความต่อเนื่อง
ในรายงานอีกฉบับหนึ่งจากฝ่ายนิติการ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ยังพบว่า แม้จะมีการทำข้อตกลงที่ระบุว่าหากลูกจ้างตั้งครรภ์ภายใน 2 ปี ให้ถือว่าลูกจ้างบอกเลิกสัญญาจ้าง ก็นับว่าเป็นการขัดกับมาตรา 43 อยู่ดี และให้ถือว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะ
ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ปี 2541 หากพบว่านายจ้างมีความผิดตามมาตรา 42 หรือ 43 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
“สิ่งเหล่านี้มันสามารถฟ้องร้องได้ แต่หนึ่ง คนที่ยังไม่ทันได้ทำงานแต่ถูกตรวจปัสสาวะก่อน กฎหมายยังไม่คุ้มครอง กับสองค่าชดเชยมันน้อยมาก และใช้เวลายาวนานมากกว่าจะได้เงิน มันมีค่าเสียโอกาสตรงนั้น” ศรีไพรสะท้อน
เบลไม่เคยกล่าวถึงการฟ้องร้องต่อบริษัทซัพคอนแทรคหรือโรงงานที่ไม่จ้างเธอเพราะเธอท้อง แต่เธอบอกกับเราว่า หากวันหนึ่งตัวเองได้เป็นเจ้าของบริษัทเธอจะรับคนท้องเข้าทำงาน
เธอบอกว่าเธอรู้ดีว่าการทำงานในโรงงานนั้นเป็นงานหนัก บางแผนกก็จำเป็นต้องยืนตลอดช่วงเวลาการทำงาน แต่เธอเชื่อว่าบริษัท “ต้องมีงานอื่นที่คนท้องสามารถทำได้ คนท้องไม่ได้เป็นง่อย ไม่ได้พิการ เขาก็มีมือมีขาเหมือนเรา เขาแค่อาจจะยกของหนักไม่ได้ เราก็ไม่ต้องเอาเขาไปยกของสิ เอาคนอื่นมายก ให้เขาได้ใช้ความสามารถอื่น”
“ท้องก็ต้องกินต้องใช้ สุดท้ายเราก็คือคนท้องคนหนึ่งที่อยากทำงาน” เบลกล่าว
สภาพแรงงานหญิงไทย
ตามรายงานฉบับสมบูรณ์สถิติแรงงานประจำปี 2567 จากกระทรวงแรงงาน ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือน มิ.ย. 2568 พบว่า ไทยมีกำลังแรงงานหญิง ทั้งสิ้น 18.Seventy 9 ล้านคน
ข้อมูลเพิ่มเติมจากนายภูมิพัฒน์ เหมือนจันทร์ โฆษกกระทรวงแรงงาน ที่เปิดเผยต่อสื่อมวลชนเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ยังพบว่ามีจำนวนสตรีในภาคการผลิตราว 3 ล้านคน
ในรายงานซึ่งดูภาพรวมปัญหาของแรงงานสตรีในประเทศไทยโดยธนาคารโลก ซึ่งใช้ข้อมูลในช่วงปี 2555-2560 และตีพิมพ์ในช่วงปี 2566 พบว่า ประเทศไทยมีช่องว่างค่าจ้างระหว่างเพศต่ำมาก เมื่อเทียบกับหลายประเทศทั่วโลก
ข้อมูลปี 2560 ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) พบว่า แท้จริงแล้วค่าแรงเฉลี่ยต่อชั่วโมงของแรงงานหญิงนั้นสูงกว่าแรงงานชายเล็กน้อย ความเท่าเทียมนี้ยังปรากฏในทุกระดับค่าจ้าง อีกทั้ง แรงงานหญิงมีสัดส่วนใกล้เคียงกับชายทั้งในงานที่ค่าจ้างต่ำและงานที่ค่าจ้างสูง แสดงถึงความสมดุลทางเพศในตลาดแรงงานไทย
อย่างไรก็ดี รายงานฉบับนี้ยังคงพบว่าแรงงานสตรีที่เป็นมารดายังต้องแบกรับผลกระทบด้านค่าจ้างมากกว่าแรงงานที่เป็นผู้ชาย
รายงานเสริมว่า ที่ผ่านมาหนึ่งในเหตุผลที่ช่องว่างค่าจ้างระหว่างเพศของไทยต่ำอยู่ เป็นเพราะมีสมาชิกครอบครัวเข้ามาช่วยดูแลบุตรให้กับแรงงานหญิง อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตของคนสมัยใหม่นิยมเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ขณะที่การใช้บริการผู้ช่วยเอกชนมีราคาสูงขึ้น ครอบครัวแรงงานที่มีลูกจึงต้องบริหารจัดการทรัพย์สินมากขึ้นเพื่อรักษาสถานะค่าจ้างไว้
รายงานเสนอว่า การจัดหาบริการดูแลเด็ก ไม่ว่าจะเป็นแบบเอกชน หรือการได้รับเงินอุดหนุน หรือที่บริษัทจัดหาให้จะช่วยให้แรงงานหญิงสามารถทำงานต่อไปได้ นอกจากนี้ การลาพักเลี้ยงบุตรของผู้ชายจะเป็นทางเลือกให้ครอบครัวสามารถแบ่งความรับผิดชอบในการดูแลบุตรไปยังฝ่ายบิดาได้ด้วย อีกทั้งยังอาจช่วยลดความเป็นไปได้ที่มารดาจะต้องลาออกจากงานเพื่อเลี้ยงดูบุตร
ท่ามกลางวิกฤตประชากรที่ไทยเผชิญอยู่ ซึ่งสะท้อนผ่านตัวเลขเด็กเกิดใหม่ในปี 2567 ที่น้อยกว่าผู้เสียชีวิต จนส่งผลให้อัตราเจริญพันธ์ุ (Total Fertility Fee – TFR) ลดมาจนเหลือในระดับ 1.0 ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทนประชากรซึ่งควรอยู่ที่ 2.1 ยังมีประชากรบางส่วนที่อยากมีลูก แต่เพราะเงื่อนไขทางเศรษฐกิจพวกเขาจึง “จ่ายไม่ไหว”

ที่มาของภาพ : BBC/Wasawat Lukharang
เบลเองเป็นหนึ่งในแรงงานหญิงที่ไม่ได้อยากยุติการตั้งครรภ์หากเธอมีทางเลือก
เธอบอกกับเราว่าหากเป็นไปได้เธอก็อยากแสดงความสามารถที่เธอมีด้านทักษะคอมพิวเตอร์ผ่านงานประเภทอื่น ๆ เช่นเดียวกัน แต่ก็ติดที่เธอไม่มีวุฒิการศึกษาเพียงพอ
“หนูอยากให้เขาทดสอบงานเราก่อน เพราะว่ามันก็มีเขียนว่าความสามารถพิเศษอะไร ทำไมเขาไม่เอาตรงนั้นมาให้เราทดลองงานก่อนบ้าง มันเหมือนเราไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถตัวเอง หนูคิดว่ามันน่าจะมีคนแบบหนูอีกมาก ที่เวลาท้องเขาไม่สามารถยืนทำงานได้ แต่สามารถไปทำอย่างอื่นได้”
เธอบอกว่าอยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือแรงงานมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการรับเข้าทำงาน
ด้านศรีไพรเสริมว่า จริง ๆ แล้วพนักงานตรวจแรงงานควรมีบทบาทให้มากกว่านี้ เช่นการตรวจสอบเรื่องการเช็คสถิติแรงงานที่ตั้งครรภ์ ประวัติแรงงานตั้งครรภ์ที่ลาออก รวมไปถึงสถิติแรงงานตั้งครรภ์ต่อแรงงานโดยรวม
เมื่อถามว่าบริษัทเอกชนเองอาจมีมุมมองสำคัญเรื่องการทำกำไรมากกว่าหรือไม่ ศรีไพรตอบว่า “สิ่งเหล่านี้พวกเราก็คิด คือเอาเข้าจริง ๆ ถ้าเราลองไปดูบริษัทหนึ่ง มีคนงานเป็นพันคน คนท้องไม่ถึง 15 คน ปี ๆ นึงไม่ได้ท้องกันเยอะ กำไรแบบมหาศาลเป็นร้อยล้านพันล้าน พี่ไม่คิดว่าเขาจะเจ๊งจากที่คนตั้งครรภ์ 9 เดือนค่ะ”
ทางเลือกที่ถูกกฎหมาย แต่อาจไม่ถูกใจผู้ถือ “ศีลธรรม”

ที่มาของภาพ : Getty Photos
การต่อสู้เพื่อสิทธิในการมีบุตรของแรงงานพร้อมกับการมีงานทำเป็นประเด็นหนึ่ง อย่างไรก็ดี การตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์นับเป็นสิทธิส่วนบุคคลซึ่งมีกฎหมายรองรับ
เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 4/2563 ที่ชี้ว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 ซึ่งกำหนดว่าการทำแท้งเป็นความผิดนั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ต่อมาในวันที่ 7 ก.พ. 2564 ซึ่งเป็นวันที่ พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2564 มีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ผู้หญิงสามารถยุติการตั้งครรภ์ได้ด้วยตัวเองภายในอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์
นอกจากนี้ หากหญิงใดที่มีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ สามารถเข้ารับบริการยุติการตั้งครรภ์ได้โดยไม่มีความผิด ผ่านผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามเงื่อนไขต่อไปนี้คือ การตั้งครรภ์นั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายหรือใจ, มีความเสี่ยงว่าทารกที่คลอดออกมาจะมีความผิดปกติถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง, เป็นการตั้งครรภ์จากการกระทำความผิดทางเพศ, “หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์” และหญิงซึ่งมีอายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์ หลังได้รับการตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแล้ว
สำหรับ ชนฐิตา ไกรศรีกุล ผู้จัดการมูลนิธิทำทาง ซึ่งเป็นมูลนิธิให้คำปรึกษาและช่วยเหลือผู้ที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์ เธอมองว่ายังมีผู้หญิงอีกมากที่เข้าไม่ถึงบริการทางการแพทย์นี้
“คนอาจจะไม่รู้ แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าการยุติการตั้งครรภ์ในไทยถูกกฎหมาย และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐ ทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และประกันสังคม เพียงแต่ว่าหน่วยงานของรัฐค่อนข้างลังเลในการประชาสัมพันธ์เรื่องนี้” ผู้จัดการมูลนิธิทำทางกล่าว

ที่มาของภาพ : BBC/Wasawat Lukharang
เมื่อ.ถามว่า เหตุใดเธอจึงมองว่าภาครัฐลังเลที่จะออกมาประชาสัมพันธ์กับสาธารณชน ชนฐิตา มองว่าหน่วยงานรัฐหรือแม้แต่ตัวเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จำนวนไม่น้อยยังนำประเด็นด้านศีลธรรมมาจับอยู่กับสิทธิในร่างกายของผู้หญิง
เธอเล่าให้.ฟังว่า จากการพูดคุยกับแพทย์ พบว่าส่วนใหญ่ที่ติดขัดจะมาจากข้อกังวลทางจริยธรรมศีลธรรม ซึ่งตัวเธอและมูลนิธิก็เข้าใจ อย่างไรก็ดี เธอเสนอว่า “ในระหว่างที่แพทย์จำนวนหนึ่งมีข้อกังวลใจเรื่องนี้ เป็นไปได้ไหมที่คนที่ไม่สบายใจรบกวนอาจจะหลีกทางให้คนอื่นได้รับบริการเพราะว่า คุณไม่สบายใจก็จริง ไม่เป็นไร แต่ว่าความจำเป็นเร่งด่วนของผู้รับบริการมันยังมีอยู่”
ในฐานะคนที่ทำงานใกล้ชิดกับผู้เข้ามาขอรับคำปรึกษา ชนฐิตาเล่าว่ายังมีผู้หญิงอีกมากโดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย ที่ตกอยู่ในความเสี่ยง เมื่อเข้าไม่ถึงสิทธิบริการทางการแพทย์จากภาครัฐ
เธอเล่าว่า “มีคนทักมาบอกว่า ‘พี่หนูกินเหล้าขาวมาเดือนนึง เพราะคนแถวบ้านบอกว่าเดี๋ยวแท้งแน่นอน' หรือมีคนที่ทักมาบอกเราว่า เขาไปเสิร์ชคำว่ายุติการตั้งครรภ์ใน Fb แล้วเจอเพจขายยาที่คนจ่ายยาไม่ใช่หมอเต็มไปหมด”
เธอชี้ว่าความเสี่ยงของบริการแบบนี้คือไม่มีการรับรองว่าจะยุติการตั้งครรภ์ได้จริง และในหลายกรณีก็ยังเจอว่าเพจเหล่านี้นำยาพารามาหรือยาแก้อักเสบมาลวงขาย “แล้วปรากฏว่าโดนลวงหมดตัว”
“กว่าจะมาถึงเราหรือกว่าจะรู้ว่ามีบริการที่ถูกกฎหมายและฟรี ก็คือเงินหมดแล้ว” ชนฐิตา เสริม
กลับมาที่เบล เธอเสริมว่าหากเลือกได้ เธอเองก็ไม่ได้อยากยุติการตั้งครรภ์ครั้งที่ผ่านมา “เพราะว่าหนึ่ง ตั้งแต่เด็กจนโต เราจะเป็นสังคมศาสนาพุทธ คนยุติการตั้งครรภ์ต้องบาป พ่อแม่เราจะปลูกฝังมาแบบนั้น แต่ความเป็นจริงสมมติหนูปล่อยท้องขึ้น ปล่อยเขาเกิดมา หนูไม่มีงาน หนูจะเอาอะไรเลี้ยงเขา หนูว่ามันบาปกว่าไหม เอาเด็กคนหนึ่งมาแล้วมาลำบาก”
การฟื้นฟูจิตใจหลังยุติการตั้งครรภ์
มนัญชยา อินคล้าย นายกสมาคมพราว กล่าวเสริมกับ.ว่า นอกจากบริการเรื่องการยุติการตั้งครรภ์ปลอดภัยที่ต้องเข้าถึงได้ง่ายกว่านี้ การเป็นที่พักพิงและที่ปรึกษาให้กับผู้เข้ารับบริการในช่วงต่อมาก็สำคัญไม่แพ้กัน
เธอเล่าให้.ฟังว่า มีกรณีหนึ่งซึ่งเธอให้คำปรึกษาและส่งต่อจนผู้เข้ารับบริการยุติการตั้งครรภ์ได้สำเร็จ อย่างไรก็ดี ไม่นานหลังจากนั้น หญิงคนดังกล่าวก็พยายามจะจากไป
“การจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งกลับมายืนได้กับ ภาวะเทรามา Trauma ปมบาดแผลทางใจ กับสิ่งที่ต้องเผชิญในภาวะที่โดดเดี่ยว มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา แล้วก็ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจค่อนข้างเยอะ”
“ความรู้สึกตีตราข้างในของผู้หญิงลึก ๆ ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าตัวอ่อนจะออกไปแล้ว แต่การทำงานกับหัวใจในเรื่องของการลุกขึ้นมายืนอยู่ได้ การเห็นพลังคุณค่าของตัวเองยังต้องมี… บางครั้งมันเรียกทุกสิ่งคืนมาไม่ได้ ผู้ชายทิ้งไปด้วย งานก็ไม่ได้ทำมันเป็นเรื่องของความสูญเสีย” มนัญชยา ทิ้งท้าย
ที่มา BBC.co.uk