
“ลูกสาวคนโตแบกทุกเรื่อง – ลูกคนเล็กเอาแต่ใจ” ลำดับการเกิดส่งผลต่อบุคลิกภาพจริงหรือไม่ ?

Article Knowledge
-
- Creator, มอลลี กอร์แมน
- Role, บีบีซี ฟิวเจอร์
ในฐานะที่ผู้เขียนบทความเป็นพี่คนโตของครอบครัวที่มีลูกสาวสองคน จึงมักจะรู้สึกอยู่บ่อยครั้งว่า ตนเองมีบุคลิกภาพและนิสัยใจคอตรงกับลักษณะของ “ลูกคนหัวปี” ที่ใคร ๆ ก็มักจะมองแบบเหมารวมว่า พี่คนโตนั้นมีความรับผิดชอบสูง สุขุมรอบคอบ จนออกจะเป็นคนบ้าคลั่งความสมบูรณ์แบบ (perfectionist) อยู่สักหน่อย
แม่ของผู้เขียนเองก็เป็นลูกสาวคนโต ซึ่งท่านก็มีบุคลิกลักษณะในแบบที่ว่านี้เช่นกัน ในขณะที่น้องสาวของผู้เขียนซึ่งเป็นลูกคนเล็ก กลับมีนิสัยรักอิสระ ชอบทำตัวสบาย ๆ ไร้กังวลมากกว่า แม้เราทั้งสองคนจะถูกเลี้ยงดูด้วยพ่อแม่คนเดียวกัน และเติบโตขึ้นมาในบ้านหลังเดียวกัน ทั้งยังใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก ทว่านิสัยใจคอของพวกเราแตกต่างกันไม่น้อยเลยทีเดียว
น่าสงสัยว่าความแตกต่างทางบุคลิกภาพนี้ มาจากลำดับการเกิดของพี่น้องท้องเดียวกันหรือไม่ ? มีการศึกษาวิจัยและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ที่พิสูจน์ว่าการเกิดเป็นลูกคนโต คนกลาง คนเล็ก หรือแม้แต่การเป็นลูกคนเดียว มีอิทธิพลต่อการสร้างอัตลักษณ์ตัวตนของแต่ละบุคคล รวมทั้งส่งผลต่อการดำเนินชีวิตหรือไม่ ?
ปริศนาที่มีมานานกว่าร้อยปี
แม้คำถามข้างต้นจะสร้างความสงสัยให้บรรดาพ่อแม่และนักจิตวิทยามานานกว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว แต่ปัจจุบันเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงวิชาการ และยังไม่อาจจะหาข้อสรุปที่แน่นอนได้ เนื่องจากงานวิจัยที่เคยมีมาในอดีตจำนวนมาก ได้ผลการศึกษาออกมาแตกต่างหลากหลายและขัดแย้งกันเองเป็นส่วนใหญ่
สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้นมีอยู่หลายประการ แต่พูดง่าย ๆ ก็คือ บุคลิกภาพนั้นเป็นนามธรรมที่ตรวจวัดได้ยาก รศ.ดร.โรดิกา เดเมียน นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮิวสตันในรัฐเทกซัสของสหรัฐฯ ได้ให้คำอธิบายต่อประเด็นนี้ว่า งานวิจัยที่ทำขึ้นในอดีตนั้นมักจะใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก ทั้งยังให้อาสาสมัครทำแบบทดสอบบุคลิกภาพด้วยวิธีประเมินตนเอง ซึ่งเสี่ยงต่อการที่ข้อมูลจะถูกบิดเบือนและเจือปนด้วยอคติ
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed learningได้รับความนิยมสูงสุด
Halt of ได้รับความนิยมสูงสุด
เดอะบิ๊กไฟว์ (The Gargantuan Five) หรือแบบจำลองห้าปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบหลักของบุคลิกภาพ (FFM) เป็นหลักการที่ใช้ประเมินตัดสินโครงสร้างทางบุคลิกภาพโดยทั่วไปของแต่ละบุคคล ว่ามีความโน้มเอียงไปในทิศทางใดบ้าง โดยนักจิตวิทยาที่ศึกษาวิจัยเรื่องลำดับการเกิด ได้ตรวจวัดบุคลิกภาพของพี่น้องที่เกิดในลำดับต่าง ๆ ด้วยองค์ประกอบหลักทั้งห้าปัจจัยดังต่อไปนี้
- การเปิดตัวเข้าสังคม (extraversion) มีความร่าเริงกล้าพบปะเข้าหาผู้คนมากน้อยแค่ไหน หากไม่ค่อยมีลักษณะเช่นนี้ก็จะกลายเป็นคนในภาวะเก็บตัว (Introversion)
- ความเป็นมิตร (agreeableness) ให้ความร่วมมือและตามใจผู้อื่นได้มากแค่ไหน หากไม่ชอบช่วยเหลือใครและเอาแต่ตนเองเป็นที่ตั้ง ก็ถือว่ามีความเป็นมิตรต่ำ
- ความสุขุมรอบคอบและมีสติปัญญา (Conscientiousness) คนที่มีลักษณะนิสัยเช่นนี้จะชอบวางแผน รู้หน้าที่และมีวินัย คนอื่นพึ่งพาและเชื่อถือได้ แต่มีข้อเสียคือมักเคร่งเครียดและคลั่งความสมบูรณ์แบบ (perfectionist) ส่วนคนที่มีบุคลิกภาพในทางตรงกันข้าม มักจะเหลาะแหละเหลวไหล ไม่มีความทะเยอทะยาน ชอบทำตามใจตนเองมากกว่า
- ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ (Neuroticism) มีอยู่สูงหรือต่ำ คนวิตกจริตหรือขี้กลัวขี้กังวล ถือว่ามีความไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างมาก มักขาดสมาธิและติดสิ่งเสพติดได้ง่าย ส่วนคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ (Emotional Steadiness) ในระดับสูง จะมีสมาธิดีและไม่ค่อยมีอารมณ์ทางลบอย่างเช่นอารมณ์โกรธหรือซึมเศร้ามากนัก
- การเปิดรับประสบการณ์ (Openness to Expertise) คนที่เปิดกว้างต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะมีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์สูง ช่างคิดช่างฝัน มีความเป็นศิลปิน ในขณะที่ผู้มีบุคลิกภาพในทางตรงกันข้าม มักจะมีความคิดแบบอนุรักษนิยม ยึดติดกับกรอบประเพณี ไม่ค่อยจะยอมเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ
งานวิจัยล่าสุดหลายชิ้นพบว่า ตัวแปรที่มีความซับซ้อนอย่างมากจำนวนหนึ่ง ทำให้ตรวจวัดและพิสูจน์ทราบได้ยากว่าลำดับการเกิดส่งผลต่อทุกคน “อย่างเป็นระบบ” ในรูปแบบเดียวกันเสมอหรือไม่ ตัวอย่างเช่นจำนวนของพี่น้องท้องเดียวกัน ก็อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพ นอกเหนือไปจากลำดับการเกิดได้ เพราะพลวัตภายในครอบครัวที่มีลูกเพียง 2 คน ย่อมแตกต่างจากครอบครัวที่มีลูกดกถึง 7 คน ดังนั้นการเป็นลูกคนโตในครอบครัวที่มีขนาดต่างกัน ย่อมเป็นประสบการณ์คนละแบบที่ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้
ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจัยเรื่องลำดับการเกิดและจำนวนพี่น้องในครอบครัว ยังอาจจะไปพัวพันยุ่งเหยิvกับปัจจัยอื่น ๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจของครอบครัว ซึ่งบ้านที่ร่ำรวยกว่าย่อมจะมีลูกน้อยคนกว่า นอกจากนี้ปัจจัยเรื่องอายุและเพศ ยังมีอิทธิพลต่อประสบการณ์ภายในครอบครัวของบุคคลผู้นั้นเช่นกัน
ด้วยปัจจัยและบริบทต่าง ๆ ที่กล่าวมา นักจิตวิทยาจึงยังไม่อาจจะสรุปแบบฟันธงลงไปได้ว่า ลำดับการเกิดมีผลต่อบุคลิกภาพของมนุษย์ทุกคนในรูปแบบเดียวกันทั้งหมดหรือไม่ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าลำดับการเกิดไม่มีอิทธิพลต่อนิสัยใจคอของเราเลย เพียงแต่มันอาจส่งผลแตกต่างออกไปในแต่ละครอบครัวและในวัฒนธรรมต่าง ๆ ของโลก
ดร.จูเลีย โรห์เลอร์ นักวิจัยด้านบุคลิกภาพจากมหาวิทยาลัยไลป์ซิกของเยอรมนี แสดงความเห็นต่อประเด็นนี้ว่า “คนจำนวนไม่น้อยมีความเชื่อที่ล้าสมัย ทั้งยังเป็นความเชื่อที่ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับ หรือไม่มีหลักฐานยืนยันมากพอมาตั้งแต่แรก”
“ตัวอย่างเช่นกลุ่มอาการลูกสาวคนโต (eldest daughter syndrome) ที่รู้จักกันดี แน่นอนว่าผู้หญิงเรายังคงมีบทบาททางเพศที่ต่างจากชาย และถูกคาดหวังให้ทำหน้าที่ด้านการดูแลพยาบาลมากกว่า จนทำให้ลูกสาวคนโตต้องรับหน้าที่เลี้ยงน้อง ซึ่งสำหรับผู้หญิงบางคนแล้ว คำอธิบายแบบนี้สอดคล้องกับประสบการณ์ของพวกเธอพอดี แต่มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เกิดกับลูกสาวคนโตทุกคน เพราะทุกครอบครัวย่อมมีความแตกต่างกัน จึงไม่ใช่ว่าลูกสาวคนโตจะต้องแบกรับภาระงานบ้าน และต้องดูแลสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวเสมอไป” ดร.โรห์เลอร์กล่าว
ผลวิจัยของ ดร.โรห์เลอร์และคณะยังพบว่า ลำดับการเกิด “ไม่ได้ส่งผลอย่างถาวรต่อการเกิดบุคลิกภาพในแบบต่าง ๆ ตามแบบจำลองเดอะบิ๊กไฟว์ (The Gargantuan Five)” อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้วิเคราะห์ข้อมูล 3 ชุดใหญ่ ซึ่งมาจากผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวนหลายพันคนในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และเยอรมนี ทีมผู้วิจัยกลับพบว่า ลำดับการเกิดมีอิทธิพลต่อปัจจัยหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบหลักของบุคลิกภาพ โดยส่งผลเป็นแบบแผนเดียวกันในทุกประเทศและทุกวัฒนธรรมที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง นั่นก็คือความสุขุมรอบคอบและมีสติปัญญา (Conscientiousness / Intelligence)
ความเฉลียวฉลาดและมีสติปัญญานั้น ถือเป็นปรากฏการณ์นามธรรมที่ซับซ้อนและตรวจวัดได้ยาก แต่งานวิจัยชิ้นนี้ใช้ผลคะแนนจากแบบทดสอบวัดระดับสติปัญญา และแบบสอบถามที่ให้ประเมินความฉลาดของตนเอง มาเป็นเกณฑ์ตัดสินบุคลิกภาพของพี่น้องที่มีลำดับการเกิดแตกต่างกัน
ดร.โรห์เลอร์และคณะเขียนบทสรุปในรายงานการวิจัยไว้ดังนี้ “เราพบว่าลูกคนโตทำคะแนนได้สูงกว่าน้อง ๆ ในด้านความฉลาด ทั้งในแบบทดสอบวัดระดับสติปัญญา และในแบบสอบถามที่ให้ประเมินตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาก่อนหน้านี้ที่พบว่า ผลคะแนนจะตกลงเล็กน้อยตามลำดับการเกิดเสมอ โดยลดหลั่นจากลูกคนโตไปสู่ลูกคนรองลงมา”
แม้ลำดับการเกิดจะไม่ส่งผลต่อบุคลิกภาพของคนทั้งโลกในลักษณะที่เป็นแบบแผนเดียวกัน แต่ดร.โรห์เลอร์เห็นว่า ลำดับการเกิดยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ที่ช่วยก่อร่างสร้างประสบการณ์ภายในครอบครัวของแต่ละคนขึ้นมา “มันช่วยติดฉลากหรือทำให้คุณเข้าใจคนประเภทเดียวกันได้ เมื่อเราพบคนที่ผ่านประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันมา ดังนั้นการปักใจเชื่อในเรื่องอย่างกลุ่มอาการลูกสาวคนโต จึงไม่ใช่เรื่องผิด ตราบใดที่ไม่ไปทึกทักเอาเองว่า ลูกสาวคนโตทุกคนต้องมีประสบการณ์และบุคลิกภาพแบบเดียวกันหมด”
รศ.ดร.เดเมียน เห็นพ้องกับ ดร.โรห์เลอร์เช่นกันว่า “แม้เราจะไม่พบความแตกต่างทางบุคลิกภาพอย่างเป็นระบบ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีกระบวนการทางสังคมในแต่ละครอบครัวหรือในวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่ทำให้ลำดับการเกิดส่งผลต่อบุคลิกภาพ ในรูปแบบที่ต่างออกไปจากความเชื่อดั้งเดิม”
ตัวอย่างที่ชัดเจนในประเด็นนี้ ได้แก่ระบบ primogeniture ที่มีมายาวนานในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอังกฤษ ซึ่งมอบสิทธิในการเป็นทายาทให้แก่บุตรคนโต (ส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกชาย) โดยลูกคนหัวปีจะได้สืบทอดทรัพย์มรดก, ตำแหน่ง, หรือฐานันดรศักดิ์จากบิดามารดา ในลำดับแรกก่อนลูกคนรองและน้องที่เกิดในลำดับถัดไป
จนกระทั่งปี 2013 สถาบันกษัตริย์อังกฤษได้ยุติการใช้ระบบ primogeniture ที่มอบสิทธิในการสืบทอดราชบัลลังก์แก่พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ โดยได้ออกพระราชบัญญัติ Succession to the Crown Act ที่มอบสิทธิในการสืบทอดราชบัลลังก์แก่พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ก่อนพระอนุชา ซึ่งเท่ากับว่าลำดับการเกิดมีความสำคัญเหนือกว่าเพศของผู้เป็นทายาทนั่นเอง
แนวคิดที่เน้นความสำคัญของลำดับการเกิดแบบ primogeniture ยังพบเห็นได้ทั่วไปในสื่อสมัยใหม่ เช่นในละครซีรีส์ตลกเสียดสีสังคมเรื่อง Succession ทางช่อง HBO ที่บอกเล่าเรื่องราวของการแย่งชิงอาณาจักรธุรกิจสื่อในหมู่สมาชิกครอบครัวใหญ่ ในตอนจบตัวละครหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “ฉันเป็นลูกชายคนโตนะ” เพื่อทวงสิทธิในการสืบทอดตำแหน่งซีอีโอต่อจากบิดา “หากแนวทางการปฏิบัติของสังคมนั้น ยึดถือลำดับการเกิดเป็นหลัก การเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ก็จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคุณ” รศ.ดร.เดเมียนกล่าว

ที่มาของภาพ : Emmanuel Lafont
อายุเป็นเพียงตัวเลขจริงหรือ ?
ประสบการณ์ชีวิตที่มีความเกี่ยวข้องกับวัย อาจทำให้เกิดความเข้าใจสับสนว่า มันคือบุคลิกภาพหรือลักษณะนิสัยที่มาจากลำดับการเกิดได้ ซึ่ง รศ.ดร.เดเมียน ให้คำอธิบายต่อเรื่องนี้ว่า “เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ก็จะมีความรับผิดชอบมากขึ้น และควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นลูกคนแรกที่มีอายุมากกว่าน้อง ๆ จึงดูเหมือนจะมีความรับผิดชอบมากกว่า ในสายตาของพ่อแม่ที่เฝ้าดูลูก ๆ เติบโตขึ้น”
“อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เข้าใจผิดกันในเรื่องนี้ ก็คือความตระหนักรู้ในตนเอง (self-conscious) ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจตนเองของคนเรานั้น จะเพิ่มพูนขึ้นไปตามวัย จนทำให้ดูเหมือนว่าลูกคนรองหรือคนกลางสามารถเข้าสังคมได้ดี และมีอารมณ์มั่นคงกว่าเมื่อเทียบกับพี่คนโต แต่นั่นเป็นเพราะว่า เด็กวัย 10 ขวบดูจะมีความสุขและพึงพอใจในตนเองมากกว่า ในขณะที่พี่วัย 14 ปี ซึ่งกำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น กลับคิดมากและหวาดวิตกไปเสียทุกเรื่อง ปรากฏการณ์นี้มีสาเหตุมาจากวัยที่ต่างกัน ทำให้แต่ละคนต้องเผชิญอุปสรรคที่ไม่เหมือนกันไปด้วย”
นอกจากนี้ ปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ เช่นการคบเพื่อนของเด็กแต่ละคน ก็มีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพและพฤติกรรมอยู่ไม่น้อย ผลวิจัยหลายชิ้นในอดีตชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างการมีเพื่อนที่เกเรเหลวไหล กับการมีลักษณะนิสัยแบบเดียวกัน ซึ่งปัจจัยนี้อาจทำให้ลูกคนโตที่ควรจะมีความรับผิดชอบและมีวินัยสูง กลับกลายเป็นคนที่ชอบแหกกฎได้ หากคบเพื่อนที่มีพฤติกรรมในแบบดังกล่าว
พี่กับน้องใครฉลาดกว่ากัน
ดังที่กล่าวอ้างอิงมาแล้วข้างต้นว่า เคยมีผลการศึกษาวิจัยที่ชี้ถึงความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง ระหว่างลำดับการเกิดกับระดับสติปัญญา ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วลูกคนโตจะทำคะแนนในแบบทดสอบไอคิวได้สูงกว่าน้อง ๆ “อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้มักพบได้บ่อยในแบบทดสอบความสามารถทางวจนภาษา (verbal IQ take a look at) ยิ่งกว่าแบบทดสอบความสามารถด้านอื่น แต่มันส่งผลต่อชีวิตจริงน้อยมาก” รศ.ดร.เดเมียนกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น หากคุณลองทำแบบทดสอบสองครั้ง ผลคะแนนที่ได้อาจจะออกมาต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับสภาพการณ์และอารมณ์ของคุณในวันนั้น เช่นกินอะไรเป็นมื้อเช้า หรือเมื่อคืนได้นอนหลับพักผ่อนกี่ชั่วโมง”
ปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนว่าลูกคนโตมีความเฉลียวฉลาดสูงกว่าน้อง ๆ ยังสามารถอธิบายได้ด้วยปัจจัยอื่น เช่นการกระตุ้นทางสติปัญญา (cognitive stimulation) ที่เด็กได้รับในช่วงปีแรก ๆ ของชีวิต ซึ่ง รศ.ดร.เดเมียนอธิบายเรื่องนี้ว่า ในตอนที่พ่อแม่ยังมีลูกน้อยคน จนสัดส่วนระหว่างผู้ใหญ่ต่อเด็กในครอบครัวสูงมากนั้น ลูกคนแรก ๆ จะมีโอกาสได้ยินและเรียนรู้คำศัพท์ของผู้ใหญ่มากกว่า แต่เมื่อพ่อแม่มีน้องให้ลูกคนแรก จำนวนของเด็กที่เพิ่มขึ้นในบ้าน อาจทำให้ระดับการกระตุ้นทางสติปัญญาของลูกที่เกิดในลำดับถัดไปลดลง
“ใช่ว่าพี่คนโตจะมีพันธุกรรมดีกว่าหรือมีศักยภาพสูงกว่าน้อง ๆ แต่การที่ลูกคนแรกทำแบบทดสอบความสามารถทางวจนภาษาได้ดีกว่า อาจเป็นเพราะพวกเขามีคลังคำศัพท์ที่ใหญ่กว่า เนื่องจากได้เรียนรู้จากผู้ใหญ่หลายคนที่พูดกับเด็กในช่วงขวบปีแรก ๆ แต่หากพ่อแม่มีลูกเพิ่มเป็นสองหรือสามคน พวกเขาจะมีเวลาพูดคุยหรืออ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟังน้อยลง นอกจากนี้พี่คนโตยังต้องอธิบายสิ่งต่าง ๆ หรือสอนการบ้านให้น้อง ๆ จนทำให้มีโอกาสฝึกฝนการใช้ทรัพยากรทางปัญญามากกว่า” รศ.ดร.เดเมียนกล่าว
แต่ถึงกระนั้น ลำดับการเกิดไม่ได้ส่งผลต่อสติปัญญาในรูปแบบเดียวกันหมดทั่วทุกมุมโลก ข้อมูลการวิจัยที่ได้จากประเทศกำลังพัฒนาอย่างเช่นอินโดนีเซีย ชี้ว่าลูกคนรองและคนเล็กที่เกิดมาทีหลัง มักจะได้รับการศึกษาสูงกว่าพี่คนโต เพราะครอบครัวที่ยากจนจะเริ่มมีฐานะดีขึ้น ก็ต่อเมื่อพี่คนโตเริ่มทำงานหารายได้มาจุนเจือทางบ้านและส่งน้อง ๆ เรียนได้
ผลวิจัยของ รศ.ดร.เดเมียนและคณะ ยังสรุปว่าลำดับการเกิด “ไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ” ต่อความสำเร็จในอาชีพการงานของคนเรา ตัวอย่างเช่นความเชื่อของเหล่านักวิทยาศาสตร์ในอดีต ที่เห็นว่าพี่คนโตมักได้เป็นนักวิชาการ ครูบาอาจารย์ หรือประกอบอาชีพในสายวิทยาศาสตร์มากกว่า ในขณะที่น้อง ๆ มักประกอบอาชีพในสายศิลป์ ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์สูงกว่า
ความเชื่อนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริงเสมอไป หลังการวิจัยระยะยาวที่กินเวลาหลายสิบปีของ รศ.ดร.เดเมียนและคณะพบว่า กลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมปลายในสหรัฐฯ ในช่วงทศวรรษ 1960 นั้น ผู้ที่เป็นลูกคนหัวปีมักจะประกอบอาชีพในสายศิลป์มากที่สุด เมื่อทำการสำรวจในอีก 60 ปีต่อมา

ที่มาของภาพ : Emmanuel Lafont
ลูกคนเดียวมักเห็นแก่ตัวจริงหรือ ?
ลูกโทนของพ่อแม่มักถูกคนรอบข้างมองแบบเหมารวมว่า มีนิสัยเห็นแก่ตัวและชอบเอาแต่ใจตนเอง ยิ่งกว่าคนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีพี่น้องหลายคน ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นเพราะลูกคนเดียวไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขันกับพี่น้อง เพื่อให้ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่
อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยทางจิตวิทยาล่าสุดกลับชี้ว่า การเกิดเป็นลูกคนเดียวไม่ได้ทำให้คนผู้นั้นเห็นแก่ตัว หรือหลงตัวเองมากขึ้นแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผลวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่ชี้ว่า พฤติกรรมการเข้าสังคมของลูกคนเดียว ไม่ได้แตกต่างจากผู้ที่มีพี่น้องหลายคนมากนัก และความแตกต่างนี้ยิ่งหดแคบลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้นด้วย
งานวิจัยว่าด้วยลำดับการเกิดในอดีต มักไม่ได้นับรวมกลุ่มตัวอย่างที่เป็นลูกคนเดียวเอาไว้ในการศึกษาทดลองด้วย เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะทำการเปรียบเทียบคนกลุ่มนี้กับคนที่มีพี่น้อง ทว่างานวิจัยล่าสุดจากแคนาดาที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 2025 ซึ่งเป็นผลงานของ ศ.ไมเคิล แอชตัน จากมหาวิทยาลัยบร็อก กับ ศ.คีเบออม ลี จากมหาวิทยาลัยคาลการี ได้พบองค์ความรู้ใหม่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
ผลการทำแบบทดสอบทางออนไลน์ของผู้ใหญ่ 700,000 คน และผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่างอีกชุดหนึ่งที่มีมากกว่า 70,000 คน ชี้ว่าลำดับการเกิดและจำนวนของพี่น้องในครอบครัว มีผลต่อบุคลิกภาพของคนเราอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกคนกลางและคนเล็กนั้น ปรากฏผลตรวจวัดบุคลิกภาพที่ชี้ว่าพวกเขามี “ความซื่อตรง-ความถ่อมตน” (Honesty-Humility) อยู่ในระดับสูง ซึ่งหมายความว่าคนกลุ่มนี้มักจะไม่เย่อหยิ่ง วางแผนบงการผู้อื่น หรือชอบละเมิดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ นอกจากนี้ลูกคนกลางและคนเล็กยังมีคะแนนสูงในเรื่องของ “ความเป็นมิตร” (agreeableness) ซึ่งหมายความว่าพวกเขาชอบให้อภัย ไม่โกรธเคืองหรือด่วนตัดสินผู้อื่น ทั้งมีอุปนิสัยที่ชอบอะลุ้มอล่วยและประนีประนอมมากกว่า
ศ.แอชตัน และ ศ.ลี เขียนอธิบายทางอีเมลกับผู้สื่อข่าวบีบีซีว่า “ความแตกต่างทางบุคลิกภาพจากลำดับการเกิดเหล่านี้ ถือว่ามีอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกันในหมู่คนที่มาจากครอบครัวซึ่งมีพี่น้องจำนวนเท่ากัน อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างที่ว่าจะทวีเพิ่มมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบระหว่างลูกคนเดียวกับผู้ที่มีพี่น้อง 6 คนขึ้นไป ซึ่งในทางสังคมวิทยาแล้วอาจกล่าวได้ว่า มันเป็นความแตกต่างที่เกิดจากการเปรียบเทียบสิ่งของขนาดเล็กกับขนาดกลางเลยทีเดียว”
เมื่อผลวิจัยล่าสุดเป็นเช่นนี้ แสดงว่าความเชื่อเรื่องลำดับการเกิดส่งผลต่อบุคลิกภาพ เป็นความเข้าใจผิดที่ไม่ยอมเสียชีวิตไปเสียทีเหมือนกับผีดิบซอมบี้ใช่หรือไม่ ? ดร.โรห์เลอร์ ให้คำตอบกับประเด็นนี้ว่า “ฉันไม่แน่ใจว่า เราควรจะถือว่ามันเป็นทฤษฎีซอมบี้ได้หรือไม่ เพราะจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์แล้ว งานวิจัยในด้านนี้ได้พัฒนาจนก้าวหน้าไปมาก”
ดังนั้นในขณะที่เรายังรอคอยคำตอบที่ชัดเจน ซึ่งในวันหนึ่งจะได้รับการเฉลยจากวงการวิทยาศาสตร์อยู่ ผู้เขียนที่เป็นพี่สาวคนโตจะแสร้งลวงให้น้องสาวเชื่อไปพลาง ๆ ก่อนว่า ตนเองฉลาดกว่า “เพราะเกิดมาเป็นลูกคนแรก” ก็แล้วกัน
ที่มา BBC.co.uk