
ส่องปรากฏการณ์ชาวเน็ตจีน เมื่อดารา-อีลีท-ครอบครัวข้าราชการ ได้ ‘สิทธิพิเศษ' เหนือผู้อื่น

ที่มาของภาพ : Getty Photography
Article Files
-
- Creator, ฟาน หวัง
- Role, บีบีซีนิวส์
- Reporting from สิงคโปร์
ปีนี้ควรจะเป็นปีที่นาชิ นักแสดงหญิงชาวจีน แจ้งเกิดอย่างโดดเด่น ด้วยบทบาทสำคัญในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์สองเรื่องและละครโทรทัศน์ที่หลายคนตั้งตารอคอย
แต่แล้วในเดือน มิ.ย. ชื่อเสียงของดาราสาววัย 35 ปี ผู้นี้ก็พังทลายลง เมื่อเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางออนไลน์เรื่องคะแนนสอบของเธอจากเมื่อสิบปีที่แล้ว โดยในที่สุดก็เกิดการสอบสวนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับผลการเรียนของเธอด้วย
ผลกระทบที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นโดยทันทีคือ ชื่อของเธอถูกลบออกจากเครดิตของละครเรื่อง Lychees in Chang'an และแบรนด์ต่าง ๆ ก็เริ่มตัดความสัมพันธ์กับเธอด้วย
เธอเป็นหนึ่งในรายชื่อบุคคลที่กำลังถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดในจีนเกี่ยวกับสิทธิพิเศษของผู้คนในวงการบันเทิง โดยทางการได้เปิดการสอบสวนในหลายกรณีเพื่อลดความไม่พอใจของสาธารณชน
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เรื่องอื้อฉาวเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อนักแสดงหญิงสองคน รวมถึงบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และแพทย์จากโรงพยาบาลชั้นนำในปักกิ่ง โดยพวกเธอทั้งหมดเป็นผู้หญิง และถูกกล่าวหาว่าใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ในครอบครัวเพื่อหาผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
Discontinue of ได้รับความนิยมสูงสุด
“มีพวกได้รับสิทธิพิเศษทุกปี แต่ปีนี้มีมากกว่าที่เคย” ผู้ใช้เว่ยป๋อ (Weibo) โซเชียลมีเดียของจีนรายหนึ่งกล่าว ขณะที่อีกคนเขียนข้อความว่า “ฉันอยากเห็นเรื่องอื้อฉาวแบบนี้อีกจัง มันเปิดหูเปิดตาจริง ๆ”
งานวิจัยเผยให้เห็นถึงทัศนะที่เกิดขึ้นในจีนตอนนี้ว่ามีคนหนุ่มสาวชาวจีนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่พอใจกับอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รู้สึกว่าการสร้างคอนเนกชัน หรือที่เรียกว่า “กวนซี่” สำคัญมากกว่าการทำงานหนัก
ยกตัวอย่างเช่น นาชิ ที่ถูกกล่าวหาว่าใช้คอนเนกชันของแม่ที่เป็นนักแสดงของเธอเพื่อสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนสอนการละครชื่อดัง
โครงการหลักสูตรซึ่งแม่ของเธอเคยเรียนในช่วงทศวรรษ 1980 จัดทำขึ้นสำหรับนักเรียนชาวมองโกเลียเชื้อสายเดียวกับพวกเธอ แต่แล้วคลิปสัมภาษณ์เก่า ๆ ก็กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง
ในคลิปดังกล่าว แม่ของเธอบอกว่าเธอไม่ได้ทำตามข้อผูกมัดสำคัญข้อหนึ่ง โดยเธอไปเรียนต่อที่นอร์เวย์หลังจากเรียนจบ แทนที่จะกลับไปทำงานในมองโกเลียในตามที่โครงการของโรงเรียนกำหนด
การคาดเดาต่าง ๆ ผุดขึ้นมาในช่วงต้นเดือน มิ.ย. ซึ่งตรงกับช่วงที่นักเรียนมัธยมปลายหลายล้านคนต้องทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยสุดโหดที่เรียกว่า เกาเข่า (Gaokao) ซึ่งเป็นการสอบที่ทำให้นาชิ ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนการละครในปี 2008
นักสืบทางอินเทอร์เน็ตขุดคุ้ยคะแนนต่ำสุดของปีสอบ 2008 และสงสัยว่านั่นคือคะแนนของเธอ พวกเขาตั้งคำถามว่า เธอเข้าเรียนโรงเรียนการละครได้เพราะแม่นักแสดงของเธอใช่หรือไม่ นี่เป็นข้อกล่าวหาร้ายแรง ที่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ต้องเข้ามาชี้แจงว่า นาชิได้คะแนนสูงกว่าคะแนนต่ำสุดมาก
แต่คำอธิบายเท่านี้ก็ไม่เพียงพอที่จะระงับความโกรธเคืองต่อเรื่องนี้
เรื่องอื้อฉาวที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
เรื่องอื้อฉาวทางอินเทอร์เน็ตไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในจีน แต่มันกลับกลายเป็นช่องทางระบายความโกรธ ความสงสัย หรือความผิดหวัง ที่จำเป็นอย่างยิ่งในสังคมที่ถูกเซ็นเซอร์อย่างเข้มงวด
สื่อที่เป็นอิสระแทบไม่มีให้เห็นในจีน นั่นเปิดโอกาสให้เกิดการคาดเดาที่ไร้การตรวจสอบและข่าวลือที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทั่วโซเชียลมีเดียอันกว้างขวางของจีน และในบางกรณี ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตก็ดำเนินการสืบสวนด้วยตนเองเพื่อยืนยันข้อกล่าวหาและเปิดโปงการกระทำผิด
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเดือน เม.ย. เมื่อแพทย์สองคน ซึ่งระบุเพียงนามสกุลว่า นายเสี่ยวและนางสาวตง ที่โรงพยาบาลชั้นนำในกรุงปักกิ่ง พบว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดจากสังคม ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องชู้สาว

ที่มาของภาพ : Getty Photography
ภรรยาของของนายเสี่ยว เขียนจดหมายถึงนายจ้างของสามีโดยกล่าวหาว่า นายเสี่ยวเข้าข้างนางสาวตงในที่ทำงานเพราะทั้งคู่คบหากัน หนึ่งในข้อกล่าวหาที่มีอยู่มากมายของเธอ ซึ่งเป็นข้อที่ทำให้นายเสี่ยวต้องเสียงานไปในที่สุดคือ เธอบอกว่าเขาปล่อยให้คนไข้ที่ถูกให้ยาสลบนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดโดยไม่มีผู้ดูแลนานถึง 40 นาที เพื่อมาปกป้องนางสาวตง ระหว่างการโต้เถียงกับพยาบาล
เหตุการณ์นี้น่าตกใจอย่างยิ่ง แต่มันกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นไปอีกเมื่อความสนใจพุ่งเป้าไปที่นางสาวตง เมื่อชาวเน็ตที่กำลังโกรธ พบว่าเธอเรียนจบแพทย์ได้ภายในเวลาเพียง 4 ปี ขณะที่เวลาขั้นต่ำคือ 8 ปี
พวกเขากล่าวหาว่า เธอโกงสอบเข้าหลักสูตรระดับสูงของวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งยูเนียน ซึ่งเป็นวิทยาลัยแพทยศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน และงานวิทยานิพนธ์จบการศึกษาของเธอก็ลอกเลียนแบบมา
กระแสต่อต้านรุนแรงมากจนคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (National Health Price) ต้องสอบสวนและได้ยืนยันถึงข้อกล่าวหานี้ เจ้าหน้าที่ได้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแพทย์และปริญญาของเธอ เพื่อหวังจะจบข้อโต้แย้งในสังคม
ประสบการณ์ทางคลินิกของเธอ ซึ่งครอบคลุมสาขาเฉพาะทางหลากหลายสาขา ก็ถูกตรวจสอบอย่างละเอียด รวมถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองของครอบครัวเธอด้วย แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ตอบสนองต่อข้อกล่าวหาเหล่านั้น ทำให้เกิดคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปกปิดข้อมูล
“มีความล้มเหลวในทุกขั้นตอน ไม่มีทางที่พวกเขาจะขุดคุ้ยลึกลงไปกว่านี้อีกแล้ว” แพทย์สาวคนหนึ่งในเมืองชิงเต่าที่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ กล่าว
เธอบอกด้วยว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ที่คนจะใช้วัฒนธรรม “กวนซี่” เพื่อช่วยลูกหางาน แต่สิ่งที่รบกวนใจเธอคือ “ความไม่ยุติธรรมที่หยั่งรากลึก”
เธอใช้เวลา 11 ปีเผื่อจะผ่านเกณฑ์ในการเป็นแพทย์ประจำบ้านซึ่งเป็นวูฒิทางการแพทย์เดียวกันกับนางสาวตง โดยเธอกล่าวว่าเธอและเพื่อนร่วมงานไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหลักสูตรที่นางสาวตงสำเร็จการศึกษามาก่อน “เราทุกคนตกใจมากเมื่อได้รู้เกี่ยวกับหลักสูตรนี้ แน่นอนว่าหลักสูตรนี้ไม่เหมาะสำหรับคนธรรมดาอย่างเรา”
เรื่องอื้อฉาวนี้สะเทือนใจเป็นพิเศษในประเทศจีนที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งแพทย์ต้องทำงานหนักหลายชั่วโมงเพื่อให้ได้วุฒิแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลชั้นนำ หรือเพียงเพื่อรักษาตำแหน่งหน้าที่การงานที่พวกเขามีอยู่
“ทำไมทุกอย่างถึงไม่ยุติธรรมนัก” คำถามนี้ของเธอสะท้อนถึงความผิดหวังที่แพร่หลายในความคิดเห็นออนไลน์
“เราทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อรักษาผู้ป่วยด้วยความเอาใจใส่อย่างที่สุด ราวกับว่าเราเป็นหลานของพวกเขา แต่ชีวิตของเรากลับแย่กว่า นางสาว ตง มาก”

ที่มาของภาพ : Getty Photography
ความไม่พอใจนี้เองที่เป็นตัวขับเคลื่อนความโกรธแค้นต่อ ยูหรง ลวนนา เจีย บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ด้วยเช่นกันเมื่อเดือน มิ.ย.
เธอกลายเป็นจุดสนใจหลังจากสุนทรพจน์ของเธอในพิธีสำเร็จการศึกษากลายเป็นกระแสไวรัล ที่เกิดขึ้นวันเดียวกับที่ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ระงับคำสั่งห้ามนักศึกษาต่างชาติเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตามคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
เมื่อเธอแบ่งปันประสบการณ์ดังกล่าวทางออนไลน์ เธอเล่าถึงวัยเด็กที่ยากลำบาก ตั้งแต่การ “ล่องลอยจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง” และการเรียนอย่างหนักทำให้เธอมีทุกสิ่งทุกอย่างในปัจจุบัน
ในตอนแรก เธอได้รับเสียงชื่นชมจากการเรียกร้องความสามัคคีในโลกที่แตกแยก แม้แต่ชาวจีนบางคนยังแสดงความคิดเห็นว่าพวกเขาซาบซึ้งกับคำพูดของเธอ แต่ไม่นานโพสต์บนโซเชียลมีเดียของเธอกลับสร้างความไม่พอใจให้กับอินเทอร์เน็ตจีน ซึ่งต่อมาก็เริ่มตรวจสอบประวัติย่อของเธอ ทำให้เกิดข้อโต้แย้งต่อคำกล่าวอ้างของเธอที่ว่า การทำงานหนักเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่นำเธอไปสู่ความสำเร็จ
ผู้คนที่วิจารณ์เธอไม่รู้สึกเห็นใจกับการก้าวผ่านความท้าทายของเธอ พวกเขาพบช่องโหว่มากมายในทุกเรื่องราวที่เธอเล่า และเมื่อเธอโต้แย้ง ชาวเน็ตก็เพิ่มความพยายามมากขึ้นอีก
เธอดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องเตือนใจถึงโอกาสความก้าวหน้าที่ริบหรี่ลง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนหนุ่มสาวชาวจีนจำนวนมากต้องเผชิญ
การเติบโตที่ซบเซาหลังโควิด-19 นำมาซึ่งการเลิกจ้าง ลดเงินเดือน และระงับการจ้างงาน บัณฑิตจบใหม่หลายล้านคนกำลังดิ้นรนหางาน ยอมรับงานที่ได้รับค่าจ้างต่ำ หรือล้มเลิกความพยายามไปเลย
ผู้ใช้ เรดโน้ต (RedNote) แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและอีคอมเมิร์ซของจีน รายหนึ่งกล่าวว่า เธอโพสต์ข้อความออนไลน์ด้วยความโกรธเคืองเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวเหล่านี้ แต่เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเธอก็พบว่าข้อเสนองานที่เธอได้รับถูกยกเลิก เนื่องจากบริษัทอยู่ในช่วงระงับการจ้างงาน
“แน่นอนว่าสิ่งที่คุณไม่ได้เกิดมาพร้อมกับมัน คุณก็จะไม่มีวันได้ครอบครองในชีวิตนี้” เธอเขียน
‘รู้ ๆ กันอยู่'

ที่มาของภาพ : AFP by technique of Getty Photography
ความโกรธแค้นเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ รัฐบาลจีนได้เซ็นเซอร์การแสดงออกถึงความมั่งคั่งอย่างมากเกินไปของเหล่าคนดังและผู้ทรงอิทธิพลมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็มีบางสิ่งที่หลุดรอดออกมาได้ แม้อยู่ท่ามกลางสายตาของรัฐบาลที่จับจ้องอยู่ เช่น ต่างหูคู่หนึ่ง
เรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นกับนักแสดงสาว หวง หยาง เทียนเทียน เมื่อชาวเน็ตช่างสงสัยคาดเดาว่าต่างหูที่เธอเพิ่งใส่ไปมีมูลค่ามากกว่า 2.3 ล้านเยน (ราว 10.3 ล้านบาท)
พวกเขาเริ่มตั้งคำถามว่าเธอมีเงินซื้อมันได้อย่างไร และพบว่าพ่อของเธอเป็นข้าราชการที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจ จากนั้นพวกเขาก็พบว่าพ่อของนักแสดงสาวทำงานในรัฐบาลท้องถิ่นในเมืองหย่าอัน ซึ่งได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 2008
ข้อถกเถียงนี้ทวีความรุนแรงขึ้นพร้อมกับคำถามเกี่ยวกับความมั่งคั่งของครอบครัว และการกล่าวหาว่าพวกเขาได้กำไรจากกองทุนฟื้นฟูหลังแผ่นดินไหว เจ้าหน้าที่ปฏิเสธเรื่องนี้และกล่าวว่าต่างหูของหวง ทำจากแก้วและเป็นของเลียนแบบต่างหูหรู
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อ ความคิดเห็นหนึ่งในเว่ยป๋อที่มีคนกดไลก์มากกว่า 1,000 ครั้งระบุว่า “รู้ ๆ กันอยู่” และผู้ใช้อีกรายก็เขียนว่า “เจ้าหน้าหลุดหัวเราะบ้างไหม ?”
แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเกิดความกังวลมากพอที่จะเริ่มการสอบสวน แต่การตอบสนองอย่างรวดเร็วของพวกเขาดูเหมือนจะไม่เพียงพอ
“การสูญเสียความไว้วางใจจากสาธารณชนไม่ได้เกิดขึ้นในวันหรือสองวัน” ผู้ใช้รายหนึ่งใน เรดโน้ต เขียน “แต่มันเป็นผลของการสอบสวนครั้งแล้วครั้งเล่าที่ดูหมิ่นสติปัญญาของเรา เป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขครั้งแล้วครั้งเล่า”
ความคับข้องใจของสาธารณชนยังคงอยู่ ขณะที่พรรคพยายามรับมือกับความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้น และสารที่พรรคส่งถึงคนหนุ่มสาวคือ พวกเขาควร “ยอมรับความขมขื่น” ซึ่งเป็นสำนวนภาษาจีนที่หมายถึงการอดทนต่อความยากลำบาก เพื่อแสวงหา “การฟื้นฟูชาติ”
แต่บนโลกออนไลน์ หนึ่งในไม่กี่แห่งที่ชาวจีนยังคงพูดได้อย่างเปิดเผย สารนั้นดูเหมือนจะไร้ความหมาย ขณะที่ผู้คนถกเถียงกันถึงข้อได้เปรียบที่ “ชนชั้นนำ” ได้รับ ซึ่งมักถูกเรียกสั้น ๆ ว่า “พวกเขา”
“พวกเขาคือเหตุผลที่ทำให้เราทำงานหนักมาสามชั่วอายุคนแล้ว แต่ยังคงทุกข์ยาก” หนึ่งในความคิดเห็นบนเว่ยป๋อ ที่มีคนกดถูกใจมากที่สุดระบุ
อีกความคิดเห็นหนึ่งบนเรดโน้ต ที่ไม่ได้กล่าวหาใครเป็นพิเศษ ระบุว่า “เราหาเงินได้ครั้งละหนึ่งเซ็นต์ ในขณะที่พวกเขายักยอกเงินไปหลายร้อยล้าน แล้วพวกเขาก็สอนเราว่าการทำงานหนักนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง และการทำงานอย่างหนักนั้นเป็นเรื่องมีเกียรติ”
ที่มา BBC.co.uk