
ไทย-กัมพูชา: ฟังเสียงคนชายแดน ทั้งที่ยัง “กลับบ้านไม่ได้” และ “ไม่เหลือบ้านให้กลับ”

ที่มาของภาพ : Napasin Samkaewcham/ BBC Thai
Article Knowledge
-
- Author, ปณิศา เอมโอชา
- Role, ผู้สื่อข่าว.
นับตั้งแต่ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้นมาเมื่อวันที่ 24 ก.ค. แม้รัฐบาลของทั้งสองประเทศตกลงกันว่าจะหยุดยิvทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ณ ประเทศมาเลเซีย โดยมีตัวแทนจากสหรัฐอเมริกาและจีนเข้าร่วมสังเกตการณ์ แต่จนถึงวันนี้ (31 ก.ค.) ผู้อพยพจำนวนมากก็ยังไม่สามารถกลับบ้านได้ ขณะที่เหยื่อของความรุนแรงบางส่วนบอกว่า ตอนนี้พวกเขา “ไม่เหลืออะไรเลย”
.ลงพื้นที่พูดคุยกับประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษที่ได้รับความเดือดร้อนจากการต่อสู้และต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่ศูนย์อพยพครบหนึ่งสัปดาห์เต็ม โดยพวกเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘อยากกลับบ้าน' แม้ทางหน่วยงานราชการจะจัดเตรียมความช่วยเหลือไว้ให้อย่างพร้อมสรรพแล้วก็ตาม

ที่มาของภาพ : Napasin Samkaewcham/ BBC Thai
ในช่วงค่ำ ๆ ของวันที่ 30 ก.ค. นางศศิธร ใจตรง วัย 60 ปี กำลังพักผ่อนอยู่ที่ศูนย์อพยพแห่งหนึ่ง ใน อ.เบญจลักษ์ พร้อมกับสามีอย่างนายนิกร ใจตรง วัย 71 ปี ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ครอบครัวใจตรงอาศัยอยู่ที่บ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาราว 1-2 กิโลเมตรเท่านั้น
พวกเขาย้ายมาอยู่ที่ศูนย์อพยพแห่งนี้ในช่วงเย็นของวันที่ 24 ก.ค. เนื่องจากครอบครัวไม่มีรถยนต์ จึงไม่สามารถเดินทางมายังศูนย์อพยพได้ทันท่วงที และต้องรออยู่ในหลุมหลบภัยจนกว่ารถยนต์ของทางการจะเข้ามารับ
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด
“เคยเจอปี 2554 มา ก็ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้ จรวดตกใส่บ้านเรือนประชาชน เราก็กลัว นั่งอยู่ที่หลุม เวลาเสียงดุงตู้ม ๆ มาทีไร มันก็สะเทือนหลุมหลบภัยเรา” นางศศิธร เล่า
ช่วงแรกที่ต้องมาพักอยู่กับผู้คนมากหน้าหลายตา เธอเองกังวลอย่างมากว่าสามีอย่าง นิกร จะปรับตัวได้หรือไม่
“ตาเองก็คือป่วยแล้วก็เดินไม่ได้ กลัวมาอยู่ที่ชุมชนเยอะ ๆ แกจะร้องโวกเวกโวยวาย เราก็กลัว”
ตอนที่.ไปเยือนศูนย์อพยพแห่งนี้ เราพบว่ามีเตียงสำหรับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุจำนวนหนึ่ง ขณะที่คนส่วนมากนอนกันบนเสื่อที่ปูอยู่กับพื้น

ที่มาของภาพ : Napasin Samkaewcham/ BBC Thai
ศูนย์อพยพหลายแห่งที่เราไปลงพื้นที่ มีโรงครัวและแม่ครัวประจำการอย่างดี ทุกคนได้รับประทานอาหารครบสามมื้อ สำหรับบางศูนย์ฯ ยังมีการจัดกิจกรรมสันทนาการให้กับเด็ก ๆ ที่ต้องหนีการปะทะด้วย
“เขาดูแลเราแบบดีที่สุดเลย เราได้หนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่ไม่มีใครหรอกที่อยากห่างบ้านตัวเอง … แม่ก็อยากกลับบ้าน เพราะพ่อแกก็ไม่สบายก็อยากให้แกไปอยู่ที่บ้านของตัวเอง” นางศศิธร กล่าว
ผู้คนจำนวนมากที่.ได้พูดคุยด้วยต่างก็มีความเห็นแบบเดียวกัน ยิ่งตอนที่พวกเขาได้ข่าวเรื่องการตกลงหยุดยิvระหว่างไทยและกัมพูชา ต่างก็พร้อมที่จะเก็บที่หลับที่นอนเพื่อกลับบ้านตัวเอง
น.ส.สุรีรัตน์ ทบสี ชาวบ้าน ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เล่าให้.ฟังว่า ในฐานะผู้ที่คอยประสานงานระหว่างชาวบ้านในศูนย์อพยพกับฝั่งข้าราชการ เธอเองมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้คนมากมายที่พักอาศัยอยู่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เธอเล่าว่า ช่วงแรก ๆ นั้น ผู้ใหญ่จำนวนมากจะเกิดภาวะนอนไม่หลับ ขณะที่เด็ก ๆ จะพากันร้องไห้
“ตอนที่ทางราชการมีคำสั่ง ว่าเขมรกับไทยจะหยุดยิv ตอนนั้นชาวบ้านดีใจมากเลยค่ะ ดีใจแบบเห็นได้ชัดเลยค่ะว่า เราจะได้กลับบ้าน แต่พอมีคำสั่งมาอีกว่า ภูผาหมอกยังกลับไม่ได้ ก็เลยยังอยู่ต่อไปค่ะ” น.ส.สุรีรัตน์ กล่าว
ด้านนายภิญโญ ศรีศุภร นายกองค์การบริหารส่วน ต.ท่าคล้อ อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ บอกกับ.ว่า ศูนย์อพยพแห่งนี้ที่เขาเป็นผู้ดูแล นับว่าอยู่ไม่ห่างจากชายแดนเท่าไหร่นัก แต่ในเชิงยุทธศาสตร์การทหารอาจไม่ได้ถือว่าตกเป็นเป้าการโจมตีเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี เพราะตำแหน่งที่ตั้งไม่ไกลจากชายแดนนัก ผู้อพยพที่มาพักกันในศูนย์แห่งนี้จึงได้ยินเสียงการปะทะกันของทหารทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน

ที่มาของภาพ : Napasin Samkaewcham/ BBC Thai
เขาเล่าว่า ในวันที่สามของการเปิดศูนย์พักพิง การปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาเกิดขึ้นอย่างหนัก “ศูนย์เราจะได้ยินเสียงการยิvตลอดเวลาเลย” จึงทำให้ประชาชนที่มาพักอาศัยเกิดความแตกตื่น พร้อมกับมีข่าวปลอมว่าทางการให้อพยพอีกครั้ง
นอกจากนี้ เขายังเล่าด้วยว่า การอยู่ท่ามกลางภาวะที่มีการปะทะกันตลอดเวลา กลายเป็นบาดแผลทางจิตใจของผู้คนจำนวนไม่น้อย
“บางคนเขาเข้ามาศูนย์อพยพก็ขาอ่อนแขนอ่อนกันมาเลย เนื่องจากว่าเพิ่งลี้ภัยมาใหม่ ๆ แล้วก็มีเหตุการณ์อย่างเช่น มีรถบริจาคมาแล้วเขาปิดประตูท้ายรถดัง ทุกคนก็ตกใจกันนะครับ หรือบางทีมีเด็กเล่นลูกโป่งแค่ลูกโป่งsะเบิด เขาก็รู้สึกกลัวกันแล้ว” นายภิญโญเล่า
สำหรับ นายก อบต.หนุ่มคนนี้ เขายอมรับว่าชาวบ้านทุกคนต่างก็อยากกลับบ้านกันทั้งนั้น และในวันที่ทางการไทยและกัมพูชาประกาศจะหยุดยิvทั้งตัวเขาและชาวบ้านที่อยู่ในศูนย์อพยพต่างก็รอฟังข่าวกันอย่างใจจดใจจ่อ
ในช่วงเวลา 18.00 น. ของวันที่ 28 ก.ค. เขาได้ขึ้นมาจับไมค์ประกาศให้กับชาวบ้านฟังว่ามีคำสั่งหยุดยิvแล้ว แต่ให้รอจนกว่าทางการจะสั่งให้กลับบ้านได้
ทว่าเป็นเวลาสามวันแล้วจนถึงวันนี้ (31 ก.ค.) ก็ยังไม่มีคำสั่งประกาศใด ๆ ให้ผู้อพยพกลับบ้าน
.มีโอกาสได้พูดคุยกับ ครอบครัวหนึ่งซึ่งกำลังขึ้นรถเพื่อกลับไปยังบ้านของตนเองซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านด่าน อ.ราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ แม้จะปราศจากคำสั่งของทางการ
นางสาวกมลวรรณ จันทร์สิน บอกกับเราว่า ที่บ้านของเธอมีสัตว์เลี้ยงที่ถูกทิ้งเอาไว้ และเธอเป็นกังวลอย่างหนักและต้องการจะกลับบ้านไปดูพวกมันแล้ว แม้จะยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการก็ตาม
นอกจากนี้ ผู้สูงอายุในบ้านของเธอซึ่งบางรายมีภาวะติดเตียง ก็อยากจะกลับไปรักษาตัวกันต่อที่บ้านแล้ว
เมื่อถามว่าเธอยังกังวลเรื่องความสงบและการปะทะอยู่ไหม เธอตอบว่า “กังวลอยู่ค่ะ ยังระแวงอยู่ค่ะ แต่ก็กลับไปเพราะคนอื่นเขาก็เริ่มกลับทยอยกลับกันแล้ว บ้านเราเนาะ ผู้สูงอายุแกอยู่อย่างนี้ แกอาจจะเครียดคิดถึงบ้านด้วยค่ะ”

ที่มาของภาพ : Napasin Samkaewcham/ BBC Thai
ในทางกลับกัน นายทองสวย สายแก้ว ผู้ใหญ่บ้านบ้านน้ำเย็น บอกกับ.ว่า เขาเองในฐานะผู้ที่ประจำอยู่ในหมู่บ้านร่วมกับชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านต่างก็ยังไม่อยากให้ชาวบ้านกลับเข้ามาในบางพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับอนุญาต
“ณ ตอนนี้ยังไม่ปลอดภัยนะครับก็ไม่อยากให้ชาวบ้านเข้ามาในพื้นที่ มาดูสิ่งของแป๊บนึงออกไปได้นะครับแต่ว่าจะมานอนค้างคืนนี่ไม่อยากให้อยู่เพราะมันอันตราย” นายทองสวย กล่าว
ผู้ใหญ่บ้านรายนี้เสริมว่าอยากให้การปะทะจบลง “จริง ๆ” เสียที เนื่องจากเขารู้ดีว่าประชาชนในท้องที่ต้องการกลับบ้านแค่ไหน
ผู้ที่ไม่เหลือบ้านให้กลับแล้ว

ที่มาของภาพ : Napasin Samkaewcham/ BBC Thai
ณ หมู่บ้านเดียวกันกับที่นายทองสวยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ร้านขายของชำที่เคยเป็นศูนย์รวมของชาวบ้านในพื้นที่ และเป็นที่อยู่อาศัยซึ่งสร้างขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงตลอดชีวิตของสองเสียชีวิตายอย่าง นางคูม กันโท และนายนารี ผาแก้ว ถูกจรวดจากฝั่งกัมพูชาโจมตีจนบ้านทั้งหลังเหลือแต่เศษซากไม้เท่านั้น
“หมด ไม่เหลืออะไรเลย อย่าให้พูดเลย” นางคูมเล่าให้.ขณะที่กำลังนั่งมองสภาพบ้านของตัวเองจากบ้านเพื่อนบ้านซึ่งตั้งอยู่ตรงกันข้าม
นางคูมและนายนารีเล่าให้ฟังต่อว่า พวกเขามีข้าวบางส่วนอะไรที่เสียหายบ้าง เช่น ตู้เย็นสำหรับแช่สินค้า 4-5 ตู้ รถมอเตอร์ไซค์ 2 คัน รวมไปถึงเสื้อผ้าและข้าวของในส่วนที่เป็นที่พักอาศัยด้วย
นับจนถึงวันที่.ไปลงพื้นที่ ยังคงมีซากsะเบิดฝังอยู่ใจกลางบ้าน
นางคูมเล่าย้อนความกลับไปวันที่ 24 ก.ค. ว่า พอมีsะเบิดมาลงที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจากบ้านของเธอนั้น ทั้งเธอและครอบครัวต่างก็พากันหนีออกมาจากบ้าน

ที่มาของภาพ : Google Map
เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง สามีของเธอและลูกเขยจึงพากันเข้าไปเก็บข้าวของบางส่วนออกมา แต่คล้อยหลังเมื่อพวกเขาออกมาได้ไม่นาน sะเบิดก็มาลงที่บ้านของเธอ
“ตอนนั้นเก็บของไม่เสร็จ กลัวคนจะมาขโมย ก็กลับไปอีก กลับมาปิดช่องนั้นช่องนี้ให้เรียบร้อย แต่ก็เก็บได้ไม่หมด ถ้าจะเก็บของจริง ๆ ก็ไม่ทันแล้ว ไม่มีใครช่วยหรอก แต่ก็โชคดีที่ครอบครัวไม่มีใครเสียชีวิตเลย”
เธอบอกว่า ร้านและบ้านหลังนี้คือสิ่งที่เธอและสามีค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบทยอยสร้างขึ้นมา แต่มาวันนี้ “อายุมากแล้วไม่เหมือนตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว ตอนนี้ก็หมดแรงแล้ว ไม่มีแรงไปหาอะไรอีกหรอก ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะช่วยยายแค่ไหน ก็รับแค่นั้นได้แหละ”
ที่มา BBC.co.uk