ไทยแลกด้วยอะไรกว่าจะได้อัตราใหม่ “ภาษีทรัมป์” เท่ากัมพูชาที่ 19%

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ทำเนียบขาวประกาศคำสั่งฝ่ายบริหารเรียกเก็บภาษีขาเข้าจากไทยในอัตรา 19% เท่ากับกัมพูชา จากเดิมที่ทั้ง 2 ประเทศต้องเผชิญกับอัตราภาษี 36%

อัตราภาษีแบบต่างตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จะมีผลบังคับใช้กับสินค้าที่เข้ามาเพื่อการบริโภค หรือถูกนำออกจากคลังสินค้าเพื่อการบริโภค ในอีก 7 วันข้างหน้า หลังเวลา 00.01 น. (ตามเวลาฝั่งตะวันออก)

อัตราภาษีใหม่นี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐฯ ใน 2 มิติ ทั้งการที่รัฐบาลไทยต้องเปิดเจรจาการค้าและเสนอเงื่อนไขที่สหรัฐฯ พึงพอใจ และการต้องเปิดเจรจาเพื่อยุติการสู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนบรรลุข้อตกลงหยุดยิvเมื่อ 28 ก.ค.

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ พยายามเข้ามามีส่วนร่วมกับการยุติความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลังทหาร 2 ฝ่ายเปิดฉากปะทะกันตั้งแต่ 24 ก.ค. โดยนายทรัมป์ได้ต่อสายตรงถึงนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีไทย เมื่อ 26 ก.ค. ก่อนเปิดเผยผ่านโซเชียลทรูธ แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของเขาว่า “ผมเพิ่งคุยกับผู้นำไทยและกัมพูชาขอให้หยุดนิง หากไม่หยุดยิv ผมจะไม่ทำข้อตกลงทางการใด ๆ กับทั้งไทยและกัมพูชา”

ในปี 2024 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มูลค่า 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.5 ล้านล้านบาท)

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด

Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด

ภายหลังทราบคำสั่งใหม่ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการแก้ไขและขยายผลจากคำสั่งเดิมเมื่อ 2 เม.ย. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของเขา โดยชี้ว่า การการประกาศอัตราภาษีที่ 19% สะท้อนถึงมิตรภาพและความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย–สหรัฐฯ ช่วยให้ไทยยังคงแข่งขันได้ในเวทีโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และเปิดประตูสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รายได้ และโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย

นายพิชัย ซึ่งเป็นผู้นำเจรจากับสหรัฐฯ กล่าวขอบคุณ “ทีมไทยแลนด์” พร้อมระบุว่า การทำงานยังไม่สิ้นสุด รัฐบาลตระหนักถึงผลกระทบต่อผู้ประกอบการและเกษตรกร จึงได้จัดเตรียมมาตรการรองรับอย่างรอบด้าน ทั้งงบประมาณสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Mortgage) เงินอุดหนุน มาตรการภาษี และการปฏิรูปกฎระเบียบที่จำเป็นเพื่อยกระดับให้ไทยสามารถปรับตัวและก้าวสู่โลกเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมั่นใจ

รมว.คลังยอมรับมีสินค้าในดีลนับหมื่นรายการ

ในระหว่างให้สัมภาษณ์ในรายการ “กรรมการข่าว คุยนอกจอ” นายพิชัยยอมรับว่ามีสินค้าที่อยู่ในดีลนับหมื่นรายการ แต่ส่วนใหญ่เป็นรายการที่ไทยเปิดการค้าเสรี (Free Substitute Settlement – FTA) อยู่ที่ 0% ให้ประเทศที่มีข้อตกลงอยู่แล้ว เช่น ออสเตรเลีย จีน เท่าไร ก็เปิดให้สหรัฐฯ เท่านั้น พูดง่าย ๆ ว่าสินค้าบางรายการ เดิมมีคู่แข่งอยู่ 2 ราย ก็เพิ่มเป็น 3 ราย ให้แข่งกันเอง โดยที่จำนวนซื้อของไทยยังเท่าเดิม

รองนายกฯ กล่าวว่า หากมองมุมผู้บริโภคในสหรัฐฯ ต้องบริโภคสินค้าในราคาแพงขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคชาวไทยได้บริโภคสินค้าในราคาถูกลง แต่มีข้อเสียคือ หากสินค้าที่เข้ามาเป็นของที่ไทยผลิตไม่ได้ อันนี้ไม่มีปัญหา เพราะได้ของถูก แต่รัฐบาลไม่ได้รายได้ แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ไทยผลิตได้ แต่ไม่พอ ส่วนที่เข้ามาถ้า 0% จะมีปัญหาต่อผู้ผลิตในไทย จึงนำเรื่องนี้มาเป็นโจทย์ด้วย

สำหรับรายการสินค้าที่ไทยไม่เรียกเก็บภาษีศุลกากรจากสหรัฐฯ เพื่อแลกกับการลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยเหลือ 19% แบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ

1. สินค้าที่ไทยไม่ผลิต ไม่มี

2. สินค้าที่ไทยผลิตได้เอง แต่ไม่เพียงพอ มีบางส่วน เช่น ข้าวโพด

3. สินค้าไทยมีรายการซื้อจากต่างประเทศอยู่แล้ว และสหรัฐฯ ไม่ได้ขาย เช่น ลำไย “เขาไม่ปลูก เราเสนอไปรายการที่เขาไม่มี มันเลยดูเยอะเป็นหมื่นรายการ”

ที่มาของภาพ : Facebook/Pichai Chunhavajira

พิชัยพบปะทูตสหรัฐฯ และทีม USTR เมื่อ 4 ก.ค.

นายพิชัยยังอธิบายถึงผลกระทบที่จะตามมาต่อสินค้าสำคัญ ๆ เป็นรายการ ดังนี้

ข้าวโพด: ทุกวันนี้ที่ไทยใช้อยู่ 10 ล้านตัน ผู้ประกอบการโรงงานผลิตอาหารสัตว์ระบุว่าสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 13 ล้านตันได้ แต่ที่ผ่านมา มีวัตถุดิบไม่เพียงพอ โดยเกษตรไทยปลูกได้ 5 ล้านตัน ที่เหลือต้องนำเข้า สิ่งที่รัฐบาลทำคือจะใช้ระบบโควต้า เนื่องจากต้นทุนการเพาะปลูกข้าวโพดในไทยสูงกว่าสหรัฐฯ สมมติใช้ 10 ล้าน ก็ต้องกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องซื้อของไทยให้หมดก่อนในราคาไทย จากนั้นซื้อของประเทศเพื่อนบ้านที่ค้าขายกันอยู่เดิมคือ เมียนมา ลาว กัมพูชา ในราคาเพื่อนบ้าน โดยเน้นที่มีเอกสารรับรองว่าไม่ได้มาจากการเผา แล้วที่เหลือถึงซื้อของสหรัฐฯ ซึ่งมีต้นทุนถูกที่สุด “ผมบอกผู้ประกอบการว่าสัดส่วนที่มาจากอเมริกา พวกคุณต้องตกลงว่าแบ่งกัน”

ปลานิล: อันนี้คิดว่าเปิดได้ เพราะสินค้าจากสหรัฐฯ มาในรูปแบบแปรรูป และต้นทุนต่างกัน 10-20 เท่า “เปิดไปก็ไม่มีปัญหา บ้านเราถูกจะเสียชีวิต มาเถอะ เราเช็กแล้วว่าเขาแพงกว่าเราเยอะมาก ดังนั้นคนเลี้ยงปลานิลเราไม่ต้องกลัว ต้นทุนเขาสูงกว่าเยอะ ทั้งเลี้ยงแพง ขนส่งข้ามทวีปแพง เขาจึงไม่น่าจะส่งมา”

เนื้อหมู: ถ้าจะเปิด จะให้จำนวนน้อยมาก ยังไม่ได้คุยตัวเลขกัน อาจแค่ 1% และต้องมีการตรวจที่มาของหมู ถ้าโรงงานไหนจะขายให้ไทย ต้องขอไปตรวจต้นทาง “ถ้าจะเปิด ต้องต่ำมาก ๆ ทำให้เขาแค่รู้ว่าเปิด นิดเดียวจริง ๆ… ส่วนเครื่องใน เราไม่เปิด เราไม่ยอม”

น้ำมันและปิโตรเคมี: เดิมไทยนำเข้าน้ำมัน 90% โดยซื้อทั่วโลกอยู่แล้ว ต่อไปจะโฟกัสที่สหรัฐฯ มากหน่อย มีความเป็นไปได้ที่จะซื้อจากสหรัฐฯ 10% หรือประมาณ 1.2 แสนบาร์เรล ส่วนก๊าซธรรมชาติ ปัจจุบันไทยนำเข้าอยู่ 50% จากตะวันออกกลาง แต่ส่วนใหญ่ยังติดสัญญาระยะยาว บางตัวเซ็น 15-20 ปี ทยอยหมดอายุ ก็ค่อย ๆ ปลดไป แต่ไม่ใช่ซื้อเลย ต้องตรวจสอบต้นทุนก่อน “ตอนนี้ก๊าซ สัญญาแรกเซ็นแล้ว 1 ล้านตัน จาก 15 ล้านตันที่เรานำเข้า ส่งปีหน้าแล้ว อันนี้จะมีผลทำให้ค่าไฟถูก”

เครื่องบิน: จากการตรวจสอบพบว่าสายการบินแห่งชาติของไทยต้องการซื้อเครื่องบินโบอิ้ง ซึ่งจะทยอยซื้อใน 5-10 ปี จำนวนเยอะ เพราะเคยมีฝูงบิน 100 กว่าเครื่อง แต่ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ได้ซื้อเลย วันนี้ก็ทยอยซื้อ ทยอยเปลี่ยน “นี่คือสิ่งที่เราอยากได้ และเขาอยากขาย”

นายพิชัยยังพูดถึงกรณีสินค้าสวมสิทธิ์ว่า เป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ไม่อยากเห็น ขณะนี้ยังตกลงกันไม่ได้ว่าสัดส่วนการผลิตในไทยต้องเป็นตัวเลขกี่ % แต่ที่แน่ ๆ ไม่ต่ำกว่า 40% หากตรวจพบว่าเข้าเกณฑ์สวมสิทธิ์จะโดนภาษีเพิ่มขึ้นไปอีก 40% ซึ่งสหรัฐฯ ใช้สัดส่วนนี้เป็นมาตรฐานทั่วโลก

“ถ้าดูเมียนมากับลาวโดน 40% แปลว่าเขาคิดในใจว่าเป็นสินค้าสวมสิทธิ์ เขาถึงดักไว้ 40% จนกว่าจะเอามาแบบนโต๊ะ เพราะเชื่อว่าไม่มีฐานผลิตของตัวเองเลย ไทยจึงมีโจทย์ เรามีอะไรไหมที่สวมสิทธิ์ ต้องเร่งแก้ไข” นายพิชัยกล่าว

ส่วนการถูกเรียกเก็บภาษีขาเข้า 19% จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกหรือไม่อย่างไรนั้น นายพิชัยแสดงความเชื่อมั่นว่าไทยยังแข่งขันได้ จริง ๆ คาดหวังว่าถ้าได้น้อยกว่านี้ก็ดี แต่ถ้าน้อยกว่านี้แปลว่าระหว่างประเทศจะมีได้เปรียบเสียเปรียบ คนได้มากกว่าจะขายของไม่ได้ ซึ่งคาดว่าผู้ให้ต้องการให้เกาะกลุ่มกัน

“เขาประกาศว่าสินค้าอะไรที่ส่งออกก่อนวันที่ 7 ส.ค. ไปถึงสหรัฐฯ ยังถูกเก็บ 10% อยู่ แต่ถ้าออกจากเมืองไทยหลังวันที่ 7 ส.ค. จะถูกเก็บ 19%” นายพิชัยกล่าว

ที่มาของภาพ : Reuters

บทบัญญัติสำคัญในคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าข้ามแดนคือ ภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ ซึ่งหมายถึงการส่งสินค้าไปยังประเทศที่ 3 ก่อนจุดหมายปลายทาง เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร

เปิดอัตราภาษีใหม่ของชาติอาเซียน

สำหรับประเทศในอาเซียนที่บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ แล้ว และได้รับการประกาศอัตราภาษีแบบต่างตอบโต้ใหม่มีทั้งหมด 7 ประเทศ ได้แก่

  • 20% – เวียดนาม (ลดลงจาก 46%)
  • 19% – อินโดนีเซีย (ลดลงจาก 32%), ฟิลิปปินส์ (ลดลงจาก 20%), ไทย (ลดลงจาก 36%), กัมพูชา (ลดลงจาก 36%), มาเลเซีย (ลดลงจาก 25%)
  • สิงคโปร์ 10%

ส่วนอัตราภาษีสวมสิทธิ์ หรือภาษีทางผ่าน (Transshipment)

  • เวียดนาม 40%
  • อินโดนีเซีย 19% บวกเพิ่มภาษีต่างตอบโต้ของประเทศนั้น ๆ

ขณะที่อีก 3 ประเทศ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีตามที่ประกาศไว้ ได้แก่ ลาว 40%, เมียนมา 40%, บรูไน 25%

ประเทศใดบ้างถูกเก็บภาษีในอัตราสูงสุด

นี่คืออัตราภาษีศุลกากรที่สูงที่สุดที่ทรัมป์ประกาศต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ

  • ซีเรีย เป็นประเทศที่ถูกประกาศอัตราภาษีใหม่สูงสุดโดยได้รับอัตราภาษีใหม่อยู่ที่ 41% นี่ถือเป็นอัตราภาษีที่สูงอย่างมากสำหรับประเทศที่กำลังดิ้นรนฟื้นตัวหลังจากสิ้นสุดสงครามกลางเมืองอันยาวนาน 14 ปี
  • ลาวและเมียนมา ประกาศอัตราภาษีใหม่ยังคงเดิมจากครั้งแรกที่ 40% โดยก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนว่าอัตราภาษีใหม่ของสหรัฐฯ จะกระทบเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเอเชียอย่างรุนแรง
  • สวิตเซอร์แลนด์ ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรอยู่นี้ 39% โดยเป็นประเทศเดียวที่มีการค้าขายกับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง แต่กลับถูกเก็บภาษีในอัตราสูงในระดับนี้
  • อิรักและเซอร์เบีย อัตราภาษีถูกเรียกเก็บที่ 35%
  • 4 ประเทศที่ถูกเก็บภาษีในอัตรา 30% ได้แก่ แอลจีเรีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ลิเบีย และแอฟริกาใต้