
แผนการสร้างนิคมในพื้นที่ E1 ที่เสมือนการฝังกลบแนวคิด “รัฐปาเลสไตน์” ของอิสราเอลเป็นอย่างไร

ที่มาของภาพ : Reuters
แผนการสำหรับโครงการตั้งถิ่นฐานที่ เบซาเลล สโมตริช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฝ่ายขวาจัดของอิสราเอล กล่าวว่าจะ “ฝังกลบแนวคิดเรื่องรัฐปาเลสไตน์” ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในขณะนี้
โครงการที่ว่านี้เรียกว่า โครงการในพื้นที่ E1 มีวัตถุประสงค์ในการสร้างบ้าน 3,401 หลังในเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครองโดยอิสราเอล พื้นที่จุดนี้ตั้งอยู่ระหว่างนครเยรูซาเลมตะวันออกและนิคมมาอาเล อาดูมิม โดยโครงการดังกล่าวถูกระงับมานานหลายทศวรรษท่ามกลางการต่อต้านอย่างหนัก
ประชาคมโลกส่วนใหญ่มองว่า การตั้งถิ่นฐานดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ แม้ว่าอิสราเอลจะโต้แย้งเรื่องนี้ก็ตาม
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (13 ส.ค.) รัฐมนตรีสโมตริชได้ออกมาแสดงการสนับสนุนโครงการนี้ โดยเรียกการตัดสินใจครั้งนี้ว่าเป็น “ความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์”
ขณะที่ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศปาเลสไตน์เรียกแผนนี้ว่า “การขยายผลอาชญากรรมการฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์ การพลัดถิ่น และการผนวกดินแดน” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่อิสราเอลปฏิเสธมานาน
สหประชาชาติ สหภาพยุโรป และประเทศต่าง ๆ เช่น สหราชอาณาจักร และตุรกี ต่างวิพากษ์วิจารณ์แผนการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ E1 รวมทั้งเรียกร้องให้โครงการนี้ยุติลงเช่นกัน
แผนการสร้างนิคมในพื้นที่ E1 คืออะไร

ที่มาของภาพ : Reuters
การตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์
โครงการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ E1 ซึ่งได้รับการนำเสนอครั้งแรกภายใต้การนำของยิตซัค ราบิน ในช่วงทศวรรษที่ 1990 เริ่มต้นด้วยแผนการเบื้องต้นสำหรับบ้าน 2,500 หลัง
ต่อมาในปี 2004 โครงการได้ขยายเป็นประมาณ 4,000 ยูนิต พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าและการท่องเที่ยว
ระหว่างปี 2009-2020 แผนการพัฒนาในเฟสใหม่ ๆ ถูกประกาศออกมา เช่น การยึดที่ดิน แผนการออกแบบ และการก่อสร้างถนน
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอเหล่านี้ถูกระงับไว้ทุกครั้งเนื่องจากแรงกดดันจากนานาชาติ
เหตุใดแผนดังกล่าวจึงเป็นที่ถกเถียง

การพัฒนาพื้นที่ E1 ถือเป็นอุปสรรคต่อการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์มาอย่างยาวนาน เนื่องจากทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ของพื้นที่ E1 กล่าวคือโครงการนี้จะทำให้พื้นที่ทางตอนใต้ของเยรูซาเลมแยกออกจากพื้นที่ทางตอนเหนือ และจะขัดขวางเขตเมืองของปาเลสไตน์ที่เชื่อมต่อระหว่างรามัลลาห์ เยรูซาเลมตะวันออก และเบธเลเฮม
ข้อมูลจากกลุ่มพีซ นาว (Peace Now) ของอิสราเอล ซึ่งติดตามกิจกรรมการตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์ ระบุว่า ที่อยู่อาศัยใหม่นี้จะมีขนาดใหญ่ขึ้นถึง 33% ในพื้นที่ของชุมชนมาอาเล อาดูมิม ซึ่งปัจจุบันมีประชากรประมาณ 38,000 คน
กลุ่มพีซ นาว ยังรายงานว่า โครงการนี้จะเชื่อมต่อพื้นที่อยู่อาศัยกับเขตอุตสาหกรรมโดยรอบ และจะปูทางไปสู่การขยายอำนาจควบคุมของอิสราเอลในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตเวสต์แบงก์อีกด้วย
กลุ่มดังกล่าวระบุว่า การพิจารณาอนุมัติขั้นสุดท้ายสำหรับแผนการตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ E1 จะจัดขึ้นในวันพุธหน้า โดยคณะกรรมการด้านเทคนิค ซึ่งได้ปฏิเสธข้อคัดค้านทั้งหมดต่อข้อเสนอนี้ไปแล้ว
เขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครองคือส่วนใด

ที่มาของภาพ : Reuters
เวสต์แบงก์เป็นดินแดนระหว่างอิสราเอลและแม่น้ำจอร์แดน และเป็นที่อยู่อาศัยของชาวปาเลสไตน์ประมาณ 3 ล้านคน
เช่นเดียวกับเยรูซาเลมตะวันออกและกาซา เวสต์แบงก์เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่รู้จักกันในชื่อดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครอง
ขณะเดียวกันมีนิคมของอิสราเอลประมาณ 160 แห่ง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวยิวประมาณ 700,000 คน อยู่ในเวสต์แบงก์และเยรูซาเลมตะวันออก
ชาวปาเลสไตน์คัดค้านการมีอยู่ของอิสราเอลในพื้นที่เหล่านี้มาโดยตลอด ขณะที่อิสราเอลยังคงควบคุมเขตเวสต์แบงก์โดยรวม แต่ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมา รัฐบาลปาเลสไตน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ องค์การบริหารปาเลสไตน์ ได้บริหารหมู่บ้านและเมืองส่วนใหญ่ของตน
นับตั้งแต่การโจมตีอิสราเอลของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2023 แรงกดดันของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งอิสราเอลอ้างว่าเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ชอบธรรม
ในเดือน มิ.ย. สหประชาชาติพบว่า มีจำนวนผู้บาดเจ็บในแต่ละเดือนสูงสุดในรอบกว่าสองทศวรรษ โดยระบุว่า มีชาวปาเลสไตน์ 100 คนได้รับบาดเจ็บจากผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอล
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 มีการโจมตีจากกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐาน 757 ครั้ง ซึ่งส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตหรือทรัพย์สินเสียหาย ซึ่งเพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024
ชาวปาเลสไตน์และกลุ่มสิทธิมนุษยชนยังกล่าวหาว่า กองกำลังความมั่นคงของอิสราเอลล้มเหลวต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะผู้ยึดครองในการปกป้องชาวปาเลสไตน์และพลเมืองของตนเอง ไม่ใช่แค่เพิกเฉยต่อการโจมตีของผู้ตั้งถิ่นฐานเท่านั้น แต่ยังเข้าร่วมด้วย ตามรายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ในปี 2024
อิสราเอลอ้างว่าอนุสัญญาเจนีวาที่ห้ามการตั้งถิ่นฐานในดินแดนที่ถูกยึดครองนั้นไม่สามารถนำมาบังคับใช้ได้ ซึ่งเป็นมุมมองที่พันธมิตรของอิสราเอลหลายฝ่าย รวมถึงนักกฎหมายระหว่างประเทศโต้แย้งด้วย
ชาวปาเลสไตน์ต้องการให้อิสราเอลรื้อถอนถิ่นฐานทั้งหมดออกไป เนื่องจากพวกเขามองว่าเขตเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครองเป็นดินแดนของรัฐปาเลสไตน์ที่เป็นอิสระในอนาคต
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอิสราเอลไม่ยอมรับสิทธิของชาวปาเลสไตน์ที่จะมีรัฐของตนเอง และโต้แย้งว่าเขตเวสต์แบงก์เป็นส่วนหนึ่งของมาตุภูมิของอิสราเอล
ในเดือน ก.ค. 2024 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งเป็นศาลสูงสุดของสหประชาชาติ ได้กล่าวว่าการที่อิสราเอลยังคงดำรงอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองนั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และอิสราเอลควรถอนกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานออกไป
ในบรรดาข้อสรุปที่มีผลกระทบอย่างมาก คือการที่ศาลระบุว่าข้อจำกัดของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ในดินแดนที่ถูกยึดครองนั้น ถือเป็น “การเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบบนพื้นฐานของปัจจัยต่างๆ เช่น เชื้อชาติ ศาสนา หรือชาติพันธุ์”
ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล กล่าวว่าศาลได้ตัดสินด้วย “คำโกหก”
เนทันยาฮูกล่าวในแถลงการณ์ว่า “ชาวยิวไม่ใช่ผู้ยึดครองดินแดนของตนเอง ไม่ใช่ในนครเยรูซาเลม เมืองหลวงอันเป็นนิรันดร์ของเรา หรือในมรดกบรรพบุรุษของเราในเขตจูเดียและซามาเรีย เขตเวสต์แบงก์”

ที่มาของภาพ : Reuters
ประชาคมโลกมีปฏิกิริยาต่อแผนการสร้างนิคมนี้อย่างไร
หลังจากการประกาศแผนดังกล่าว สโมตริช รัฐมนตรีคลังของอิสราเอล ได้กล่าวขอบคุณประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และเอกอัครราชทูตไมค์ ฮัคคาบี สำหรับการสนับสนุน โดยยืนยันว่าในมุมมองของเขา เวสต์แบงก์เป็น “ส่วนที่แยกออกจากดินแดนอิสราเอลที่พระเจ้ามอบให้ไม่ได้”
เขายังกล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู สนับสนุนแผนการของเขาที่จะนำผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จำนวน 1 ล้านคนเข้าสู่เขตเวสต์แบงก์
กระทรวงการต่างประเทศของปาเลสไตน์ประณามโครงการ E1 โดยเรียกโครงการนี้ว่า เป็นการโจมตีเอกภาพของดินแดนปาเลสไตน์และเป็นการทำลายความเป็นไปได้ในการจัดตั้งรัฐ
กระทรวงยังกล่าวว่า แผนนี้บั่นทอนความสามัคคีทางภูมิศาสตร์และประชากร และยิ่งเป็นการแบ่งแยกเขตเวสต์แบงก์ออกเป็นพื้นที่โดดเดี่ยว แต่ล้อมรอบด้วยการขยายตัวของอาณานิคม ซึ่งทำให้การผนวกดินแดนเป็นไปได้ง่ายขึ้น
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มีความเห็นเกี่ยวกับแผนการก่อสร้างในพื้นที่ E1 ว่า “เขตเวสต์แบงก์ที่มั่นคงจะช่วยรักษาความมั่นคงของอิสราเอล และสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลชุดนี้ในการบรรลุสันติภาพในภูมิภาค”
อย่างไรก็ตาม สหประชาชาติและสหภาพยุโรปกลับเรียกร้องให้อิสราเอลไม่ดำเนินการตามแผนดังกล่าว
สหประชาชาติกล่าวว่า การก่อสร้างในพื้นที่ E1 จะตัดขาดเขตเวสต์แบงก์ทางตอนเหนือและตอนใต้ ซึ่ง “บั่นทอนโอกาสในการสร้างรัฐปาเลสไตน์ที่ต่อเนื่องและยั่งยืนอย่างร้ายแรง”
คาจา คัลลาส หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป กล่าวว่าแผนการตั้งถิ่นฐานใหม่ของ E1 “ยิ่งบ่อนทำลายแนวทางแก้ปัญหาแบบสองรัฐ (two-say solution) ในขณะเดียวกันก็เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ”
ด้านเดวิด แลมมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร คัดค้านแผนดังกล่าว โดยกล่าวว่าแผนนี้จะ “แบ่งแยกรัฐปาเลสไตน์ในอนาคตออกเป็นสองส่วน และถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง”
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของตุรกีออกประณามการตัดสินใจดังกล่าว โดยบอกว่าเป็นการ “เพิกเฉยต่อกฎหมายระหว่างประเทศ” และมุ่งเป้าไปที่ “บูรณภาพแห่งดินแดน” ของรัฐปาเลสไตน์
ทางการอียิปต์เรียกโครงการนี้ว่า “การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและมติคณะมนตรีความมั่นคงอย่างร้ายแรง”
กระทรวงการต่างประเทศของจอร์แดนก็คัดค้านแผนดังกล่าวเช่นกัน โดยระบุว่าเป็นการละเมิด “สิทธิที่ไม่อาจเพิกถอนได้ของชาวปาเลสไตน์ในการสถาปนารัฐเอกราชและอธิปไตยบนพรมแดนเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 1967 โดยมีเยรูซาเลมตะวันออกเป็นเมืองหลวง”
การประกาศแผนการก่อสร้างในพื้นที่ E1 เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่หลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศสและแคนาดา ประกาศว่ามีแผนที่จะรับรองรัฐปาเลสไตน์ในปลายปีนี้
ปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่ 147 ประเทศ จากทั้งหมด 193 ประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ ได้ให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการแล้ว
เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร กล่าวว่า สหราชอาณาจักรจะรับรองรัฐปาเลสไตน์ในเดือน ก.ย. นี้ เว้นแต่อิสราเอลจะปฏิบัติตามเงื่อนไขบางประการ รวมถึงการตกลงหยุดยิvในฉนวนกาซา และการฟื้นคืนความเป็นไปได้ของการแก้ปัญหาแบบสองรัฐ
หลังจากการประกาศแผนการตั้งถิ่นฐานใหม่ในพื้นที่ E1 สโมตริชกล่าวว่าจะ “ไม่มีรัฐใดให้รับรอง” ปาเลสไตน์
“ใครก็ตามในโลกที่พยายามจะรับรองรัฐปาเลสไตน์ในวันนี้ จะได้รับคำตอบจากเราโดยตรง ไม่ใช่ด้วยเอกสารหรือคำตัดสินหรือคำแถลง แต่ด้วยข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงของบ้านเรือน ข้อเท็จจริงของชุมชน” เขากล่าวเสริม
รายงานเพิ่มเติมโดย อัลลา ดาราฟมี และมูฮันหนัด ตุตันจิ จาก บีบีซีแผนกภาษาอาหรับ
ที่มา BBC.co.uk