“ภรรยาผมคลอดลูกเสียชีวิต เพราะทรัมป์ตัดเงินช่วยเหลือคลินิกแม่และเด็ก”

ที่มาของภาพ : Aakriti Thapar / BBC

Article Data

    • Creator, โยกิตา ลิมาเย
    • Position, ผู้สื่อข่าวภูมิภาคเอเชียใต้และอัฟกานิสถาน

ในทันทีที่ “ชาห์นาซ” หญิงชาวอัฟกันเริ่มเจ็บท้องคลอด “อับดุล” สามีของเธอก็รีบเรียกรถแท็กซี่ เพื่อพาเธอไปยังสถานพยาบาลแห่งเดียวที่พวกเขาสามารถเข้าถึงได้

“ตอนนั้นเธอเจ็บปวดมาก” อัลดุลเล่าให้ทีมข่าวบีบีซีฟัง เขายังบอกด้วยว่าสถานพยาบาลดังกล่าว คือคลินิกแม่และเด็กในหมู่บ้านเชชพลของจังหวัดบาดักชาน ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถาน คลินิกแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขา โดยขับรถเพียง 20 นาทีก็ไปถึง ทั้งยังเป็นคลินิกที่ลูกสองคนก่อนของเขาลืมตาดูโลกด้วย

ระหว่างอยู่บนรถที่ต้องวิ่งไปบนถนนขรุขระซึ่งเต็มไปด้วยหินกรวด อัลดุลคอยปลอบใจภรรยาอยู่ข้าง ๆ “แต่เมื่อพวกเราไปถึง กลับพบว่าคลินิกไม่เปิดทำการ เราไม่รู้มาก่อนว่าคลินิกแห่งนี้ปิดตัวลงแล้ว” อับดุลเล่าด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวเหยเกเพราะความโศกเศร้า

คำเตือน: รายละเอียดของเนื้อหาบางส่วนต่อไปนี้ อาจทำให้ผู้อ่านไม่สบายใจได้

คลินิกแม่และเด็กที่หมู่บ้านเชชพล เป็นเพียงหนึ่งในกว่า 400 แห่งทั่วอัฟกานิสถาน ที่ต้องปิดตัวลงหลังรัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งตัดงบประมาณด้านความช่วยเหลือ ซึ่งเคยมอบให้ประเทศที่จัดว่ายากจนที่สุดในโลกแห่งนี้เกือบทั้งหมด โดยเป็นการสั่งตัดงบอย่างมหาศาลและกะทันหันอย่างยิ่งในช่วงต้นปีนี้ หลังยุบเลิกองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ หรือยูเสด (USAID)

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Conclude of ได้รับความนิยมสูงสุด

คลินิกแม่และเด็กที่หมู่บ้านเชชพล เป็นแค่อาคารชั้นเดียวที่ประกอบไปด้วยห้องเล็ก ๆ เพียง 4 ห้อง สีขาวที่ทาผนังคลินิกเริ่มหลุดลอกออกแล้ว แต่ยังคงมีแผ่นโปสเตอร์ของยูเสด ที่ให้ความรู้และคำแนะนำต่าง ๆ แก่สตรีมีครรภ์และแม่ลูกอ่อน ติดอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง

ที่มาของภาพ : Aakriti Thapar / BBC

คลินิกแม่และเด็กที่หมู่บ้านเชชพล เป็นหนึ่งในสถานพยาบาลหลายร้อยแห่งที่ต้องปิดตัวลง เพราะสหรัฐฯ ตัดงบความช่วยเหลือที่มอบให้อัฟกานิสถาน

แม้คลินิกแห่งนี้จะไม่ใช่สถานพยาบาลขนาดใหญ่หรือล้ำสมัยอะไรนัก แต่ในถิ่นทุรกันดารท่ามกลางหุบเขาของจังหวัดบาดักชาน การที่หญิงมีครรภ์ไม่อาจเข้าถึงสถานพยาบาลได้นั้น คือสาเหตุหลักที่ทำให้อัตราการเสียชีวิตระหว่างคลอดของพวกเธอ พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทั้งที่ในสมัยก่อนคลินิกแม่และเด็กถือเป็นส่วนสำคัญ ในโครงการความช่วยเหลือขนาดใหญ่ ซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาลอัฟกานิสถานที่สหรัฐฯ หนุนหลัง เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของแม่และทารกแรกเกิด

คลินิกดังกล่าวมีผดุงครรภ์ที่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาอย่างดี ซึ่งช่วยทำคลอดให้บรรดาคุณแม่ได้ถึง 25-30 รายต่อเดือน ทั้งยังมีคลังยากินและยาฉีดที่จำเป็น รวมทั้งให้บริการสาธารณสุขมูลฐานด้วย

เมื่อคลินิกที่หมู่บ้านเชชพลปิดตัวลง อับดุลไม่สามารถไปพึ่งพาสถานพยาบาลแห่งอื่น ๆ เพราะล้วนตั้งอยู่ห่างไกลเกินไป ส่วนถนนที่ขรุขระจนทำให้รถยนต์กระแทกกระทั้นไปตลอดทาง ยังเสี่ยงต่อความปลอดภัยของคนที่กำลังเจ็บท้องคลอดอย่างชาห์นาซอย่างยิ่ง นอกจากนี้ อับดุลยังไม่มีเงินพอจะจ่ายค่าโดยสารหากต้องไปไกลกว่านั้น เพราะค่าเหมารถแท็กซี่มายังหมู่บ้านเชชพล ก็คิดเป็นเงินถึง 1,000 อัฟกานี หรือราว 470 บาทแล้ว ซึ่งเท่ากับ 1 ใน 4 ของค่าแรงต่อเดือน ที่แรงงานรับจ้างอย่างเขาพอจะหามาได้

พวกเขาตัดสินใจหันหลังกลับบ้าน “แต่เด็กจะคลอดออกมาแล้ว เราเลยต้องจอดรถกลางทางที่ข้างถนน” อับดุลเล่าต่อว่าภรรยาของเขาคลอดลูกในรถ แต่ก็สิ้นใจหลังจากนั้นไม่นานเพราะเสียเลืoดมาก ส่วนทารกหญิงที่เพิ่งเกิด หมดลมหายใจในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น และต้องลาโลกตามแม่ไปทั้งที่ยังไม่ได้ตั้งชื่อ

ที่มาของภาพ : Aakriti Thapar / BBC

อับดุลเล่าให้บีบีซีฟังถึงการเสียชีวิตที่แสนเจ็บปวดของภรรยาและลูกที่เพิ่งเกิด ร่างของทั้งคู่ถูกฝังไว้ที่หมู่บ้านเชชพล

“ผมทั้งร้องไห้และร้องตะโกนออกมา ลูกเมียผมอาจจะรอดหากคลินิกนั้นยังอยู่…ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก แต่ก็ยังได้อยู่ร่วมและผ่านมันมาด้วยกัน ผมมีความสุขเสมอในตอนที่เธอยังอยู่” อับดุลกล่าว เขาไม่มีภาพถ่ายของภรรยาไว้เป็นที่ระลึกด้วยซ้ำ

แม้จะไม่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ภรรยาและลูกของอับดุลจะรอดชีวิตหากคลินิกดังกล่าวยังเปิดทำการอยู่ แต่การที่ไม่มีสถานพยาบาลใด ๆ ให้พึ่งพาได้เลยนั้น เท่ากับว่าโอกาสรอดของพวกเขาเป็นศูนย์ ผลกระทบอันรุนแรงนี้ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ไม่ได้มาจากการตัดงบความช่วยเหลือของรัฐบาลสหรัฐฯ

ตลอดช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐฯ คือผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของอัฟกานิสถาน โดยในปี 2024 ความช่วยเหลือจากรัฐบาลอเมริกันคิดเป็นถึง 43% ของความช่วยเหลือที่มาจากต่างประเทศทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ให้เหตุผลว่า ต้องตัดงบและถอนความช่วยเหลือที่เคยมอบให้อัฟกานิสถาน เนื่องจาก “มีข้อสงสัยที่น่าเชื่อถือและน่าห่วงกังวลมาเป็นเวลานานแล้วว่า เงินสนับสนุนของสหรัฐฯ กลับไปเข้ากระเป๋ากลุ่มก่อการร้ายต่าง ๆ รวมถึงตาลีบัน” รัฐบาลสหรัฐฯ ยังระบุว่าได้รับรายงาน ซึ่งชี้ว่ามีการผองถ่ายเงินอย่างน้อย 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านท่อน้ำเลี้ยงที่ส่งตรงไปยังตาลีบัน ซึ่งปัจจุบันมีอำนาจในฐานะผู้ปกครองประเทศ

ข้อมูลข้างต้นของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อ้างอิงจากรายงานที่จัดทำโดย คณะผู้ตรวจสอบพิเศษเพื่อการฟื้นฟูอัฟกานิสถาน (SIGAR) ซึ่งระบุว่าเงินของผู้เสียภาษีชาวอเมริกัน จำนวน 10.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้จ่ายไปอุดหนุนรัฐบาลอัฟกานิสถานที่ถูกตาลีบันควบคุม ผ่านทางองค์กรต่าง ๆ ที่ร่วมงานกับยูเสด ในรูปแบบของ “ภาษีอากร, ค่าธรรมเนียม, ค่าธรรมเนียมศุลกากร, หรือค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ”

ที่มาของภาพ : Aakriti Thapar / BBC

บีบีซีเยือนคลินิกในอัฟกานิสถานที่สหรัฐฯ เคยให้ทุนสนับสนุน หลังต้องปิดตัวลงเพราะถูกตัดงบความช่วยเหลือ

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลตาลีบันปฏิเสธว่า เงินที่เป็นความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ไม่เคยเข้ากระเป๋าของพวกเขา “ข้อกล่าวหานี้ไม่จริงเลย ความช่วยเหลือนั้นถูกมอบให้สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งจะส่งมอบต่อให้กับองค์กรเอกชนหรือเอ็นจีโอในแต่ละจังหวัด พวกเขาจะระบุตัวผู้ต้องการความช่วยเหลืออย่างชัดเจน และส่งมอบแจกจ่ายความช่วยเหลือให้กลุ่มเป้าหมายด้วยตนเอง รัฐบาลตาลีบันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง” ซูเฮล ชาฮีน หัวหน้าสำนักงานด้านการเมืองของตาลีบัน ในกรุงโดฮาของประเทศกาตาร์กล่าว

นโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลตาลีบัน มีความโหดร้ายทารุณต่อประชาชนมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการจำกัดสิทธิสตรี ทำให้แม้จะครองอำนาจมานานถึง 4 ปีแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลตาลีบันก็ยังคงไม่เป็นที่ยอมรับจากประชาคมนานาชาติ และนั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้มีผู้บริจาคความช่วยเหลือลดน้อยลงเรื่อย ๆ

ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ยืนกรานว่า ไม่มีใครต้องเสียชีวิตเพราะถูกตัดงบความช่วยเหลือ แต่เรื่องราวของชาห์นาซและลูกที่เสียชีวิตแต่แรกคลอดของเธอ ไม่มีการลงบันทึกไว้ในที่แห่งใดเลย เช่นเดียวกับโศกนาฏกรรมของแม่และเด็กอีกจำนวนมาก ที่ไม่มีใครได้เคยล่วงรู้มาก่อน

ทีมข่าวบีบีซีได้สืบทราบข้อมูลเกี่ยวกับกรณีดังข้างต้น ว่าเกิดขึ้นถึงอย่างน้อย 6 ราย ในพื้นที่ซึ่งคลินิกแม่และเด็กของยูเสดได้ปิดตัวลง

ชาวบ้านที่มารวมตัวกันเพื่อพูดคุยกับทีมข่าวบีบีซี ชี้ไปที่หลุมศwอีกสองแห่ง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับสถานที่ฝังร่างของชาห์นาซและลูก โดยบอกว่าทั้งสองหลุมเป็นของหญิงที่เสียชีวิตตอนคลอดลูกเช่นกัน ชื่อของพวกเธอคือ “ดอลัต เบกี” และ “จาฟฮาร์” ซึ่งจากไปในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามลูกของพวกเธอยังมีชีวิตและปลอดภัยดี

ไม่ไกลจากหลุมฝังศwดังกล่าว ทีมข่าวบีบีซีได้พบกับข่าน โมฮัมหมัด ชาวหมู่บ้านเชชพล ซึ่ง “กุลจัน” ภรรยาวัย 36 ปีของเขา เสียชีวิตขณะคลอดบุตรเมื่อ 5 เดือนที่แล้ว ส่วนลูกชายชื่อ “ซาฟีอุลลาห์” ที่เพิ่งเกิด สิ้นใจตามแม่ไป 3 วันหลังจากนั้น

ที่มาของภาพ : Aakriti Thapar / BBC

อาหมัด ข่าน กล่าวโทษการตัดงบความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ “ไมดาโม” ลูกสาวของเขาต้องเสียชีวิตระหว่างการคลอดบุตร

“ตอนที่เธอตั้งท้อง เธอจะไปตรวจครรภ์ที่คลินิกอยู่เป็นประจำ แต่พออายุครรภ์ได้ 4-5 เดือน คลินิกก็ปิดตัวลง พอถึงเวลาคลอดเธอจึงเจ็บปวดและเสียเลืoดมาก” ข่าน โมฮัมหมัดกล่าว “ลูก ๆ ของผม เศร้าเสียใจอยู่ตลอดเวลา ไม่มีใครจะให้ความรักกับพวกเขาได้เหมือนแม่อีกแล้ว ผมคิดถึงเธอทุกวัน เรามีชีวิตแต่งงานที่หวานซึ้งและรักใคร่กันอย่างดีตลอดมา”

หากขับรถออกไปจากหมู่บ้านเชชพลประมาณ 5 ชั่วโมง เราจะมาถึงหมู่บ้านคาวกานี ซึ่งเป็นอีกแห่งที่คลินิกแม่และเด็กของยูเสดปิดตัวลง อาหมัด ข่าน ชาวหมู่บ้านคาวกานี เปิดบ้านที่ก่อจากโคลนให้ผู้สื่อข่าวบีบีซีดูห้องของ “ไมดาโม” ลูกสาวของเขา เนื่องจากห้องนั้นเป็นสถานที่ที่เธอเสียชีวิต ขณะให้กำเนิดเด็กน้อย “คารีมา”

“หากคลินิกยังเปิดทำการอยู่ เธออาจจะรอดชีวิตก็ได้ หรือถึงแม้เธอจะเสียชีวิต ผมก็จะไม่เสียใจเพราะรู้ว่าแพทย์พยาบาลได้พยายามช่วยถึงที่สุดแล้ว ตอนนี้เราถูกทิ้งให้อยู่กับความเจ็บปวดและความเศร้าเสียใจ อเมริกาคือผู้กระทำสิ่งนี้กับเรา” อาหมัด ข่าน กล่าวทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

ที่บ้านอีกหลังซึ่งอยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ซอย บาฮีซาบอกเล่าประสบการณ์ที่น่าพรั่นพรึง ขณะคลอดบุตรคนเล็กเองที่บ้านให้ทีมข่าวบีบีซีฟัง ลูกสามคนของเธอที่เกิดก่อนหน้านี้ ล้วนได้รับการทำคลอดที่คลินิกแม่และเด็กของหมู่บ้านคาวกานี

“ฉันกลัวมาก เพราะที่คลินิกเรามีผดุงครรภ์และมียากินยาฉีดครบครัน แต่เมื่อต้องคลอดที่บ้าน ฉันกลับไม่มีอะไรเลยแม้แต่ยาระงับปวด ตอนนั้นฉันเจ็บมากจนแทบทนไม่ได้ รู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังจะออกจากร่าง หลังจากนั้นก็รู้สึกชาไปทั้งตัว” บาฮีซากล่าว ส่วนลูกสาวของเธอที่เพิ่งลืมตาดูโลกชื่อ “ฟากีฮา” สิ้นใจลงสามวันหลังจากนั้น

ที่มาของภาพ : Aakriti Thapar / BBC

บาฮีซาต้องคลอดบุตรโดยไม่มียาระงับปวดและยาอื่น ๆ ทั้งยังไม่มีผดุงครรภ์คอยช่วยเหลือ หลังคลินิกแม่และเด็กที่หมู่บ้านคาวกานีปิดตัวลง

การปิดตัวลงของคลินิกแม่และเด็กในชนบท ทำให้มีคนไข้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในแผนกสูตินรีเวชของโรงพยาบาลศูนย์ประจำภูมิภาค อย่างเช่นโรงพยาบาลประจำเมืองไฟซาบัด ซึ่งเป็นเมืองหลักของจังหวัดบาดักชาน

แม้แต่การเดินทางไปยังโรงพยาบาลแห่งนี้ ก็ต้องฝ่าฟันผ่านเส้นทางทุรกันดารที่เสี่ยงอันตราย บีบีซีได้เห็นภาพอันน่ากลัวของทารกแรกเกิดผู้หนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตก่อนจะเดินทางมาถึงโรงพยาบาลไฟซาบัด เนื่องจากคอหักหลังคลอดออกมาในรถยนต์ ที่ต้องวิ่งวิบากมาบนถนนสายขรุขระ

บีบีซีเคยมาเยือนโรงพยาบาลแห่งนี้เมื่อปี 2022 ในตอนนั้นจำนวนแพทย์พยาบาลก็มีน้อย จนไม่ค่อยจะพอรองรับคนไข้อยู่แล้ว แต่มาบัดนี้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงกว่าเก่า ชนิดที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน เพราะแต่ละเตียงของแผนกสูตินรีเวช มีคนไข้หญิงใช้ร่วมกันถึง 3 คน ซึ่งหากมีใครเกิดจะคลอดหรือแท้งลูกขึ้นมา ก็จะไม่มีที่ให้คนไข้เอนตัวลงนอนได้เลย

ที่มาของภาพ : Aakriti Thapar / BBC

ซูห์รา เชวาน (ซ้าย) ต้องแท้งลูกที่โรงพยาบาลไฟซาบัด เพราะจำนวนเตียงที่สามารถรองรับคนไข้มีไม่เพียงพอ

ซูห์รา เชวาน คนไข้ที่เพิ่งแท้งลูกเล่าให้เราฟังว่า “ฉันเลืoดออกอย่างหนัก แต่ไม่มีที่ให้นั่งลงเลย มันช่างยากลำบากเหลือเกิน เพราะกว่าจะมีเตียงว่างให้นอนพักได้ ผู้หญิงที่แท้งลูกก็คงตกเลืoดเสียชีวิตไปแล้ว”

นพ.ชาฟิก ฮัมดาร์ด ผู้อำนวยการโรพยาบาลไฟซาบัด บอกว่า “โรงพยาบาลของเรามี 120 เตียง แต่ตอนนี้เราต้องรับผู้ป่วยในราว 300-305 คนต่อวัน” เขายังบอกว่าแม้จำนวนคนไข้จะเพิ่มขึ้นจนล้นโรงพยาบาล แต่งบประมาณสนับสนุนกลับถูกตัดลดไปอย่างมาก “เมื่อสามปีก่อน เราได้งบสนับสนุน 80,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี แต่ตอนนี้เหลือเพียง 25,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น”

ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จำนวนยอดสะสมของแม่ที่เสียชีวิตขณะคลอดบุตรในปี 2025 สูงยิ่งกว่าสถิติของทั้งปี ในปี 2024 เสียอีก ซึ่งหมายความว่าอัตราการเสียชีวิตของสตรีมีครรภ์ได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 50% เลยทีเดียว ส่วนอัตราการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด พุ่งสูงขึ้นราว 1 ใน 3 ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติเมื่อช่วงต้นปี 2025

โซเนีย ฮานีฟี หัวหน้าพยาบาลผดุงครรภ์ของโรงพยาบาลไฟซาบัด บอกว่าเธอรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก “ฉันทำงานมานานถึง 20 ปี ปีนี้คือปีที่งานหนักที่สุด เพราะคนไข้ล้นโรงพยาบาล แต่เราขาดทรัพยากรและบุคลากรที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเพียงพอ”

ที่มาของภาพ : Aakriti Thapar / BBC

พยาบาลผดุงครรภ์อย่างโซเนีย ฮานีฟี ต้องทำงานท่ามกลางความยากลำบากอย่างสูง เพราะโรงพยาบาลขาดแคลนเจ้าหน้าที่ ทั้งยังมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีก หลังตาลีบันสั่งห้ามฝึกอบรมผู้หญิงให้เป็นผดุงครรภ์

แต่ถึงกระนั้น ยังไม่มีวี่แววว่ารัฐบาลตาลีบันจะส่งมอบความช่วยเหลือ เพื่อมาบรรเทาภาระหนักของบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากนโยบายจำกัดสิทธิสตรีที่ออกมาตั้งแต่สามปีก่อน ทำให้ผู้หญิงไม่อาจเข้าถึงการศึกษาขั้นสูง รวมทั้งไม่อาจเรียนวิชาทางการแพทย์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นในเดือน ธ.ค. ปี 2024 รัฐบาลตาลีบันยังสั่งห้ามการฝึกอบรมผดุงครรภ์และพยาบาลหญิงด้วย

ทีมข่าวบีบีซีได้ลอบพบกับนักศึกษาหญิง 2 คน ที่ต้องเลิกเรียนในหลักสูตรพยาบาลและผดุงครรภ์ไปกลางคัน หลังจากรัฐบาลตาลีบันมีคำสั่งห้ามดังกล่าว “อันยา” (นามสมมติ) บอกว่าพวกเธอทั้งสองคนเคยเรียนในมหาวิทยาลัยมาก่อน แต่เมื่อตาลีบันห้ามผู้หญิงเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา เมื่อเดือนธ.ค. ปี 2022 พวกเธอจึงหันมาเรียนหลักสูตรพยาบาลและผดุงครรภ์แทน เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะได้รับการศึกษาและมีงานทำ

“ฉันหมดหวังทันทีหลังถูกสั่งห้ามเรียนอีก ฉันร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน กินอะไรไม่ลง มันเป็นสถานการณ์ที่เจ็บปวดมาก” อันยากล่าว

ส่วนคาริชมา (นามสมมติ) อดีตนักศึกษาหญิงอีกคนหนึ่งบอกว่า “ก่อนหน้านี้อัฟกานิสถานก็ขาดแคลนพยาบาลและผดุงครรภ์อยู่แล้ว หากไม่มีการฝึกอบรมเพื่อสร้างบุคลากรเพิ่มเติม ผู้หญิงจะถูกบังคับให้ต้องคลอดลูกเองที่บ้าน ซึ่งจะยิ่งทำให้พวกเธอต้องเสี่ยงชีวิต”

บีบีซีได้ตั้งคำถามกับซูเฮล ชาฮีน ผู้แทนรัฐบาลตาลีบันในกรุงโดฮาของกาตาร์ว่า จะอธิบายอย่างไรถึงกรณีที่นโยบายห้ามผู้หญิงเรียนพยาบาลและผดุงครรภ์ ส่งผลให้ประชากรกว่าครึ่งของประเทศ ไม่อาจเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้

ชาฮีนตอบว่า “นี่เป็นเรื่องภายในของเรา มันเป็นปัญหาของเราเอง การที่จะจัดการอย่างไร จะพิจารณาหรือตัดสินใจอย่างไรนั้น นี่เป็นเรื่องของกิจการภายในประเทศ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้นำของเราเท่านั้น พวกเขาจะตัดสินใจตามความต้องการของสังคม”

แต่ในภาวะที่โอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ถูกจำกัดอย่างมาก สตรีชาวอัฟกันซึ่งถูกทำร้ายด้วยการจำกัดสิทธิครั้งแล้วครั้งเล่า ล้วนตกอยู่ในความเสี่ยงและภยันตรายใหญ่หลวง ซึ่งแม้กระทั่งสิทธิในการมีสุขภาพดี หรือสิทธิในการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็จะไม่หลงเหลือสำหรับพวกเธออีกต่อไป

ภาพประกอบและคลิปวิดีโอ รวมทั้งรายงานเพิ่มเติมโดย อากรีติ ทาปาร์, มาห์ฟูซ ซูไบเด, สัญชัย กังกูลี