เมื่อศิลปะกลายเป็นภัย จีนพยายามเซ็นเซอร์งานแสดงในไทยอย่างไร จนศิลปินต้องหนีการจับกุม

ที่มาของภาพ : Constellation of Complicity

รูปนี้แสดงให้เห็นถึงการเตรียมงานแสดงศิลปะของเท็นซิน มิงเยอร์ พัลดรอน ศิลปินชาวทิเบต โดบในเวลาต่อมา ธงของชาวทิเบตและอุยกูร์ถูกถอดออกไป

Article Records

    • Author, เทสซา หว่อง
    • Role, บีบีซีนิวส์, สิงคโปร์

สามสัปดาห์ก่อน ไซ ศิลปินชาวเมียนมาเดินทางมากรุงเทพมหานคร เพื่อร่วมฉลองการเปิดนิทรรศการศิลปะที่เขาดูแลร่วมกับภรรยา ณ หอศิลป์ชั้นนำแห่งหนึ่งของประเทศไทย

ในตอนนี้ ทั้งคู่ได้หลบหนีไปยังสหราชอาณาจักรเพื่อขอลี้ภัย นิทรรศการเกี่ยวกับการปราบปรามแบบเผด็จการของพวกเขา ถูกเซ็นเซอร์หลังจากสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลจีน

ทั้งคู่กล่าวหาว่าตำรวจไทยกำลังตามหาพวกเขาอยู่ แม้ว่าโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ก็ตาม

นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนประณามสถานการณ์นี้ว่าเป็นตัวอย่างของการปราบปรามข้ามชาติ

ไซ ระบุว่า นิทรรศการของเขาซึ่งจัดแสดงโดยศิลปินผู้ลี้ภัยจากประเทศต่างๆ เช่น จีน รัสเซีย และอิหร่าน ซึ่งเปิดเมื่อวันที่ 26 ก.ค. ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยพบว่า มีตัวแทนสถานทูตจีนเข้ามาเยี่ยมชมอยู่หลายครั้ง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร ไม่นานหลังจากเปิดนิทรรศการ

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Discontinuance of ได้รับความนิยมสูงสุด

นิทรรศการนี้มีชื่อว่า “”ดาราภิวัตน์ ■ ภูมิทัศน์เงา: สำรวจกลไกระดับโลกของความเป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้ระบอบอำนาจนิยม” หรือชื่อในภาษาอังกฤษคือ “Constellation of Complicity: Visualising the Global Machine of Authoritarian Solidarity” มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นว่าระบอบเผด็จการร่วมมือกันในการปราบปรามอย่างไร ตามคำอธิบายอย่างเป็นทางการฉบับหนึ่ง

ไซ อ้างว่าเจ้าหน้าที่จีนได้ยื่นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผลงานของศิลปินชาวทิเบต อุยกูร์ และฮ่องกง และในตอนแรกได้เรียกร้องให้ยุติการจัดแสดงนิทรรศการทั้งหมด

อย่างไรก็ดี เขากล่าวว่า หอศิลปกรุงเทพฯ แห่งนี้สามารถเจรจาประนีประนอม จึงทำให้นิทรรศการสามารถดำเนินการต่อได้ หลังจากนำงานศิลปะและองค์ประกอบศิลป์ต่าง ๆ ที่มีความอ่อนไหวออกไป

นักข่าวบีบีซีคนหนึ่งที่ไปเยี่ยมชมนิทรรศการที่กรุงเทพฯ ในสัปดาห์นี้ พบว่าชื่อศิลปินหลายคนถูกปกปิดด้วยสีดำในคำอธิบายผลงานศิลปะ

คำอธิบายเกี่ยวกับบ้านเกิดของศิลปินก็ถูกปกปิดด้วยการป้ายสีดำทับบางส่วน เพื่อปกปิดข้อความที่อ้างอิงถึงทิเบต ฮ่องกง และเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์

รายชื่อของศิลปินชาวทิเบต ฮ่องกง และอุยกูร์ ถูกแถบสีดำปกปิดไว้

ผลงานศิลปะที่ถูกเซ็นเซอร์ส่วนใหญ่เป็นผลงานของเท็นซิน มิงเยอร์ พัลดรอน ศิลปินชาวทิเบต จอโทรทัศน์ที่นำมาจัดวางไว้กลับถูกปิด ทั้งที่มันควรจะฉายภาพยนตร์หลายเรื่องของศิลปินผู้นี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์ดาไลลามะ

ธงชาติทิเบตและอุยกูร์ก็ถูกถอดออกไปเช่นกัน รวมถึงนวนิยายเกี่ยวกับครอบครัวชาวทิเบตในต่างแดน และโปสการ์ดเกี่ยวกับจีน อิสราเอล และเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์

เจ้าหน้าที่ของหอศิลปกรุงเทพฯ รายหนึ่งบอกกับบีบีซีว่า นิทรรศการนี้สามารถดึงดูดผู้เข้าชมจำนวนมากในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา หลังจากข่าวการเซ็นเซอร์แพร่สะพัดไปทั่วโลกออนไลน์

ด้านฝ่ายบริหารของหอศิลปกรุงเทพฯ ไม่ได้ตอบคำถามของบีบีซี แต่บีบีซีเข้าใจว่า มีอีเมลที่หอศิลป์กรุงเทพฯ ระบุว่า พวกเขาได้รับคำเตือนว่า นิทรรศการนี้อาจเสี่ยงต่อการสร้างความตึงเครียดทางการทูตระหว่างไทยและจีน

อีเมลดังกล่าวยังระบุ ด้วยว่า พวกเขาได้ทำการปรับเปลี่ยน “เนื่องจากแรงกดดันจากสถานทูตจีน” ที่ส่งผ่านกระทรวงการต่างประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร ( กทม. ) ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของหอศิลปกรุงเทพฯ

ขณะที่แถลงการณ์ของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยที่ตอบข้อซักถามของบีบีซี กล่าวหาว่าการจัดนิทรรศการดังกล่าว เป็นการส่งเสริมเอกราชของทิเบต อุยกูร์ และฮ่องกงอย่างเปิดเผย

แถลงการณ์นี้ยังระบุด้วยว่า “มาตรการที่ทันท่วงที” ของไทยแสดงให้เห็นว่า “แนวคิดที่ผิด” เช่นนี้ “ไม่มีตลาดรองรับในระดับสากลและไม่เป็นที่นิยม”

นอกจากนี้ในคำชี้แจงฉบับนี้ยังระบุด้วยว่างานจัดแสดงดังกล่าว “เพิกเฉยต่อข้อเท็จจริง… บิดเบือนนโยบายของจีนเกี่ยวกับทิเบต ซินเจียง และฮ่องกง และทำลายผลประโยชน์หลักและศักดิ์ศรีทางการเมืองของจีน”

“ทางการจีนคัดค้านความพยายามใด ๆ ของบุคคลใด ๆ ที่จะใช้ข้ออ้างการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและศิลปะเพื่อแทรกแซงทางการเมือง และแทรกแซงกิจการภายในของจีน”

ทั้งนี้ แถลงการณ์ไม่ได้กล่าวถึงข้อกล่าวหาที่ระบุว่าเจ้าหน้าที่ทางการจีนได้กดดันเจ้าหน้าที่ไทยและหอศิลป์กรุงเทพฯ

โทรทัศน์ที่นำมาจัดวางไว้ควรจะฉายภาพยนตร์หลายเรื่องของ เท็นซิน มิงเยอร์ พัลดรอน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับองค์ดาไลลามะ แต่มันกลับถูกปิดลง

ภัณฑารักษ์และศิลปินที่ร่วมแสดงผลงานต่างปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวของทางการจีน

เทนซิน มิงยูร์ พัลดรอน กล่าวว่า ภาพยนตร์ของเขา “ถ่ายทอดเรื่องราวจากใจจริงและส่งสารแห่งความน้ำหนึ่งใจเดียวกันในระดับโลก” พร้อมกล่าวเสริมว่า การเซ็นเซอร์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ “การรณรงค์เพื่อลบล้างและปราบปราม” ชาวทิเบตทั่วโลกของจีน

“แม้ว่าฉันจะสนับสนุนเจตจำนงของประชาชน แต่ก็ไม่มีป้ายหรือการสนับสนุนเรื่องเอกราช ในงานศิลปะ” คลาร่า เจิ้ง หนึ่งในศิลปินที่ถูกสีดำคาดปิดบังชื่อ กล่าวกับบีบีซี

ทั้งนี้ ผลงานจัดวางของศิลปินชาวฮ่องกงผู้นี้ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสอดแนมของจีนในสหราชอาณาจักร กลับไม่ได้รับผลกระทบ

แทนที่จะเป็นอิสระจากจีน “เราส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออก การกำหนดชะตากรรมของตนเอง และการระบุอัตลักษณ์ของตนเอง… สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน” ไซกล่าวกับบีบีซี

“นิทรรศการของเราเปิดพื้นที่ให้กับศิลปินที่ต่อต้านระบอบเผด็จการ เสียงเหล่านี้มักถูกปิดปากในประเทศของตนเอง ความจริงที่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามปิดกั้น มันพิสูจน์ให้เห็นถึงประเด็นที่พวกเขากำลังพูดถึง”

“เรารู้ตัวแล้วว่าต้องหนี”

ไซและภรรยาตัดสินใจเดินทางออกจากประเทศไทย เนื่องจากกังวลว่าจะถูกส่งตัวกลับเมียนมา ซึ่งเขาเชื่อว่าตนเองจะถูกดำเนินคดีจากการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา

สองวันหลังจากเปิดนิทรรศการดังกล่าว สามีภรรยาคู่นี้ได้มุ่งหน้าไปยังบ้านพักในกรุงเทพฯ เมื่อพวกเขารู้ตัวว่า ตำรวจไทยกำลังตามหาพวกเขาอยู่

บีบีซีเข้าใจว่าทั้งคู่ได้รับข้อความจากเจ้าหน้าที่ของหอศิลปกรุงเทพฯ แจ้งว่าตำรวจมาเยี่ยมชมนิทรรศการ และเจ้าหน้าที่ได้ขอเบอร์ติดต่อของทั้งคู่

ไซกล่าวว่า ในห้วงเวลานั้น “เรารู้ตัวแล้วว่าต้องหนีออกจากประเทศไทย”

ทั้งคู่รีบจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวแรกสุดที่หาได้ไปยังสหราชอาณาจักรทันที “เรามีเวลาแค่ไม่กี่นาทีในการจัดเก็บสัมภาระ ภรรยาผมตัวสั่น เธอเก็บอะไรไม่ได้เลย” เขากล่าว

เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ได้รับข้อความ พวกเขาก็ได้เดินทางออกนอกประเทศไทยแล้ว

พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า เขาไม่ได้รับข้อมูลใด ๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตามหาตัวนายไซ และกล่าวว่าข้อกล่าวหานี้กว้างเกินกว่าจะพิสูจน์ได้

“หากไม่มีข้อมูลที่เจาะจง เราไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ หากมีหลักฐานเพียงพอ เราจะสามารถบอกได้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่” พล.ต.ท.อาชยน กล่าว

ทั้งนี้ ทั้งคู่หลบหนีออกจากเมียนมาตั้งแต่ปี 2021 หลังจากเกิดการรัฐประหาร

บิดาของไซ คือ ลิน ทุต อดีตมุขมนตรีของรัฐฉาน ซึ่งเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมา และเป็นสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยของนางอองซาน ซูจี ที่ถูกโค่นอำนาจ

พ่อของเขาถูกจับกุมและถูกจำคุกในข้อหาคอร์รัปชันในเวลาต่อมา

ส่วนมารดาของไซถูกกักบริเวณในบ้านเป็นเวลาหลายเดือน และปัจจุบันยังคงอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด

ไซยืนยันมาโดยตลอดว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวนั้นเป็นเท็จ และยืนยันว่าบิดาของเขาเป็นนักโทษการเมือง เขาได้รณรงค์อย่างแข็งขันเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัว พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหาร

ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้ตั้งรกรากในประเทศไทย และตัดสินใจจัดแสดงงานศิลปะที่กรุงเทพฯ เพราะมีชุมชนชาวพม่าจำนวนมากอยู่ที่นั่น นอกจากนี้ไซยังกล่าวว่าเป็นเพราะ “ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพให้กับเมียนมา… เป็นสถานที่ที่ปลอดภัย”

ทว่า ตอนนี้เขาไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว “เมื่ออำนาจต่างชาติสามารถกำหนดได้ว่าศิลปะใดควรจัดแสดง มันก็บั่นทอนอธิปไตยทางวัฒนธรรม” เขากล่าว

“เพราะการเคลื่อนไหวของเรา การถูกระบอบเผด็จการจ้องจับผิดเราจึงทวีคูณขึ้น… ผมและภรรยาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องขอลี้ภัยในสหราชอาณาจักร”

ที่มาของภาพ : Constellation of Complicity

การจัดแสดงนิทรรศการดังกล่าวในกรุงเทพฯ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับระบอบเผด็จการและการปราบปราม ซึ่งนำเสนอโดยกลุ่มศิลปินพลัดถิ่นจากอิหร่าน จีน และรัสเซีย

ลอร์ด อัลตัน แห่งลิเวอร์พูล ประธานคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งรัฐสภาสหราชอาณาจักร กล่าวกับบีบีซีว่า กรณีของไซ “แสดงให้เห็นถึงขอบเขตอันกว้างขวางของการปราบปรามข้ามชาติของจีน” และเขาจะสนับสนุนการขอลี้ภัยของไซ

“การกดดันให้นิทรรศการศิลปะจนต้องถูกเซ็นเซอร์การจัดแสดงในศูนย์วัฒนธรรมในต่างประเทศเป็นการละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกอย่างร้ายแรง และควรได้รับการเปิดเผยและประณามอย่างกว้างขวาง ความหวาดกลัวเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นกับไซ จนทำให้เขาต้องหลบหนีออกจากประเทศไทยเพื่อความปลอดภัย เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง” เขากล่าวเสริม

มูลนิธิสิทธิมนุษยชนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การข่มขู่” ซึ่ง “สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามร่วมกันในการปราบปรามการแสดงออกทางศิลปะ”

ขณะที่ ฟิล โรเบิร์ตสัน นักเคลื่อนไหวชื่อดังในไทยกล่าวว่า การที่เจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานครปล่อยให้จีนเข้ามาให้เกิดการเซ็นเซอร์นั้น “อุกอาจและยอมรับไม่ได้”

บีบีซีได้สอบถามไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีของไทยเพื่อขอความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าวแล้ว

ความกังวลหรือความเกรงกลัวเกี่ยวกับการปราบปรามข้ามชาติของจีน ซึ่งนิยามอย่างกว้าง ๆ ว่าคือการที่รัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งมีพฤติกรรมคุกคามหรือเฝ้าติดตามบุคคลในดินแดนอื่น ๆ ได้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดคำถามว่า ประเทศต่าง ๆ รับรู้ถึงการกระทำดังกล่าวหรือแม้แต่สมรู้ร่วมคิดหรือไม่

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับจีนก็ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

ย้อนกลับไปในปี 2015 กุ้ย หมินไห่ พลเมืองชาวสวีเดน หนึ่งในผู้ก่อตั้งร้านหนังสือในฮ่องกงที่จำหน่ายและจัดพิมพ์หนังสือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจีนได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ระหว่างเดินทางมาพักผ่อนในประเทศไทย

ต่อมาเขาได้ปรากฏตัวอีกครั้งในจีนแผ่นดินใหญ่ภายใต้การควบคุมตัวของตำรวจ เจ้าหน้าที่กล่าวว่าเขาเดินทางไปจีนโดยสมัครใจ แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนยืนยันว่า เขาถูกลักพาตัวโดยสายลับจีน

ต้นปีที่ผ่านมา ชาวอุยกูร์อย่างน้อย 40 คนถูกเนรเทศจากไทยไปยังจีน แม้ว่าสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรจะแสดงความกังวลอย่างมากก็ตาม ด้านรัฐบาลจีนอ้างว่า การส่งตัวกลับประเทศดังกล่าวดำเนินการตามกฎหมายจีน ไทย และกฎหมายระหว่างประเทศ

กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่ไซกำลังวางแผนจัดแสดงผลงานในกรุงเทพฯ เขากล่าวว่าหอศิลปกรุงเทพฯ ตัดสินใจเดินหน้าจัดนิทรรศการนี้ต่อไป แม้จะมีความกังวล

ขณะนี้ ไซกำลังพิจารณาเกี่ยวกับขั้นตอนต่อไประหว่างที่อยู่ที่สหราชอาณาจักร เขาและภรรยาวางแผนที่จะจัดแสดงผลงานศิลปะแบบที่ไม่เซ็นเซอร์นี้ในประเทศอื่น ๆ หลังจากนิทรรศการที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ จะสิ้นสุดลงในเดือน ต.ค. นี้

เขาเชื่อว่าการเซ็นเซอร์กลับกลายเป็นการช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของนิทรรศการ โดย “ตอนนี้ผู้คนมากมายทั่วโลกสนใจอยากชมนิทรรศการนี้” และมีการพูดถึงเรื่องนี้กันทางออนไลน์

“เราไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มการเคลื่อนไหวนี้ แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือ ซีซีพี (Chinese Communist Birthday celebration – CCP) เป็นผู้ริเริ่ม เราแค่วางรากฐาน (ด้วยนิทรรศการ)… ส่วนที่เหลือได้รับการบ่มเพาะอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับได้รับปุ๋ยบำรุงจากการจากการเซ็นเซอร์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน”

รายงานเพิ่มเติมโดย ธัญญารัตน์ ดอกสน