พบซากฟอสซิลไดโนเสาร์ “พังก์ร็อก” หนามยาวเป็นเมตรในโมร็อกโก

ที่มาของภาพ : Matt Dempsey

ภาพวาดประกอบแสดงภาพไดโนเสาร์มีหนามยาวยื่นออกมาจากด้านข้างของส่วนหัว

Article Data

    • Author, พัลลภ โกศ
    • Position, ผู้สื่อข่าววิทยาศาสตร์

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบไดโนเสาร์มีรูปร่างแปลกประหลาดที่ลำตัวเสมือนถูกหุ้มด้วยเกราะ และมีหนามยาวหลายเมตรยื่นออกมาจากลำคอ

ไดโนเสาร์สายพันธุ์นี้มีชื่อว่า สไปโคเมลลัส อาเฟอร์ (Spicomellus afer) เป็นสายพันธุ์ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 165 ล้านปีก่อน และเป็นตัวอย่างที่เก่าแก่ที่สุดของกลุ่มไดโนเสาร์หุ้มเกราะที่เรียกว่า “แองคิโลซอร์ (ankylosaur)”

ผิวหนังที่สลับซับซ้อนและมีความแหลมคมของสัตว์ที่พบในประเทศโมร็อกโก ทำให้นักวิชาการตกตะลึง และต้องกลับมาทบทวนใหม่เกี่ยวกับวิวัฒนาการของไดโนเสาร์หุ้มเกราะเหล่านี้

ศาสตราจารย์ริชาร์ด บัตเลอร์ จากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการวิจัยครั้งนี้ บอกกับบีบีซีนิวส์ว่า มันคือ “พังก์ร็อกเกอร์” ในยุคนั้น

พังก์ร็อก (punk rock) เป็นวัฒนธรรมย่อยและแนวเพลงที่เริ่มปรากฏในช่วงทศวรรษ 1970 โดยผู้ที่นิยมแนวนี้มักจะมีทรงผมแหลมและเครื่องประดับที่โดดเด่น

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Slay of ได้รับความนิยมสูงสุด

“มันเป็นหนึ่งในไดโนเสาร์ที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยค้นพบ” ศ.บัตเลอร์ กล่าว

ด้าน ศ.ซูซานนา เมดเมนต์ จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ซึ่งเป็นผู้ร่วมวิจัยกับ ศ.บัตเลอร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ หนามเหล่านั้นเชื่อมติดกับกระดูกโดยตรง

“เราไม่เคยเห็นสิ่งนี้ในสัตว์ชนิดอื่น ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือสูญพันธุ์ไปแล้ว” เธอกล่าว

“มันเต็มไปด้วยหนาม และส่วนแปลก ๆ ที่ยื่นออกมาจากทั่วแผ่นหลังของสัตว์ดังกล่าว รวมถึงปลอกกระดูกที่พันรอบคอ และอาวุธบางอย่างที่ปลายหาง เรียกได้ว่ามันเป็นไดโนเสาร์ที่แปลกมาก” เธอกล่าว

การค้นพบนี้แปลกมากจนทั้งคู่กำลังพิจารณาว่ามันอาจทำให้ต้องทบทวนทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการของแองคิโลซอร์ใหม่ทั้งหมด

สัตว์เหล่านี้มีชีวิตอยู่จนถึงช่วงท้ายของยุคที่ไดโนเสาร์ยังครองโลก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่ายุคครีเทเชียส ระหว่าง 145 ถึง 66 ล้านปีก่อน

ศ.บัตเลอร์บอกว่า ในช่วงท้ายของยุคนี้ มีการปรากฏตัวของสัตว์นักล่าอย่าง ทีเร็กซ์ ทำให้นักวิชาการเชื่อว่าแองคิโลซอร์เริ่มต้นจากการมีแผ่นเกราะขนาดเล็กเรียบง่ายบนหลัง ซึ่งต่อมาได้พัฒนาให้ใหญ่ขึ้นและครอบคลุมมากขึ้น เพื่อป้องกันตัวเองจากสัตว์ร้ายขนาดใหญ่เหล่านี้

ถ้าคุณถามผมว่าไดโนเสาร์แองคิโลซอร์ที่เก่าแก่ที่สุดน่าจะมีลักษณะอย่างไร ผมคงตอบว่า น่าจะมีเกราะที่เรียบง่าย” เขากล่าวกับบีบีซีนิวส์

“แต่สิ่งที่เราพบกลับเป็นสัตว์ที่เต็มไปด้วยหนามเหมือนเม่น มีเกราะที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยพบในสัตว์ใด ๆ ซึ่งแตกต่างจากเกราะของแองคิโลซอร์ในยุคหลังอย่างสิ้นเชิง”

คณะนักวิจัยยังไม่มีโครงกระดูกในมือมากพอที่จะระบุสัดส่วนของสัตว์ตัวนี้ได้แน่ชัด แต่พวกเขาประเมินว่ามันน่าจะยาวประมาณ 4 เมตร สูง 1 เมตร และหนักราว 2 ตัน

ที่มาของภาพ : Getty

เมื่อแองคิโลซอร์วิวัฒนาการขึ้น เกราะของพวกมันก็กลายเป็นสิ่งที่เรียบง่ายมากขึ้น และอาจมีประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้นด้วย

ศ.เมดเมนต์ กล่าวว่า การค้นพบนี้ทำให้เกิดความเป็นไปได้ว่าแองคิโลซอร์อาจเริ่มต้นด้วยเกราะที่ซับซ้อนในยุคไดโนเสาร์ก่อนหน้านี้ ซึ่งเรียกว่า “ยุคจูราสสิค (Jurassic)” และวิวัฒนาการต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสิบล้านปี จนกลายเป็นเกราะที่เรียบง่ายและอาจมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“สิ่งที่เรากำลังตั้งข้อสันนิษฐานคือ โครงสร้างเหล่านี้อาจเป็นส่วนที่มีไว้สำหรับโชว์เท่านั้น และเพิ่งมาใช้เป็นเกราะป้องกันจริง ๆ ในยุคครีเทเชียส ซึ่งเริ่มมีไดโนเสาร์ขนาดมหึมาที่มีกรามใหญ่และบดขยี้ด้วยฟันอย่างรุนแรง พวกมันจึงต้องนำโครงสร้างมีโชว์ไว้เฉย ๆ เหล่านี้มาใช้เป็นเกราะป้องกันตัว”

ที่มาของภาพ : Trustees of the NHM

ฟอสซิลของไดโนเสาร์ถูกค้นพบโดยทีมวิทยาศาสตร์ในประเทศโมร็อกโก

ซากฟอสซิลโครงกระดูกของไดโนเสาร์ส่วนนี้ถูกค้นไบโดยชาวนาในท้องถิ่นซึ่งปัจจุบันคือเมืองบูเลอมาน ประเทศโมร็อกโก และเป็นแองคิโลซอร์ตัวแรกที่ถูกพบในทวีปแอฟริกา

ศ.บัตเลอร์เล่าย้อนถึงช่วงเวลาที่เขาเห็นฟอสซิลเป็นครั้งแรกว่า “มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ต้องอ้าปากค้าง ขนลุกซู่ และอาจเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดในอาชีพของผม มันชัดเจนทันทีว่าสัตว์ตัวนี้แปลกกว่าที่เราคาดไว้มาก และเรามีข้อมูลมากพอที่จะทำความเข้าใจมัน”

ด้าน ศ.ดริส อัวร์ฮาเช หัวหน้าทีมวิจัยในโมร็อกโก จากมหาวิทยาลัยซิดี โมฮาเหม็ด เบน อับเดลลาห์ กล่าวว่า “การศึกษานี้ช่วยผลักดันวิทยาศาสตร์ของโมร็อกโกให้ก้าวหน้า เราไม่เคยเห็นไดโนเสาร์แบบนี้มาก่อน และภูมิภาคนี้ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมาก”

งานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ (Nature)

รับชมเรื่องราวการขุดค้นร่วมกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติได้ที่นี่