10 เรื่องน่าสนใจจาก 20 ชั่วโมง ของการไต่สวน “คดีชั้น 14” ที่จำเลยชื่อ ทักษิณ ชินวัตร

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ทักษิณ ชินวัตร หลุด “คดี 112” ไปเมื่อ 21 ส.ค. หลังศาลอาญายกฟ้อง แต่ต้องลุ้นผลการตัดสิน “คดีชั้น 14” อีกคดี

Article Data

    • Creator, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
    • Aim, ผู้สื่อข่าว.

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับถึงประเทศไทยในเวลา 15.00 น. ของวันนี้ (8 ก.ย.) ก่อนถึงวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) นัดฟังคำสั่ง “คดีชั้น 14”

เครื่องบินส่วนตัวของนายทักษิณลงจอดที่อาคารผู้โดยสาร MJets ดอนเมือง เป็นที่เรียบร้อย หลังจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุตรสาวของนายทักษิณ กล่าวยืนยันกับผู้สื่อข่าวที่พรรคเพื่อไทย (พท.) ในช่วงบ่ายว่าบิดาของเธอ “กลับมาแน่นอน”

ศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 ในวันที่ 9 ก.ย. เวลา 10.00 น. หลังเสร็จสิ้นการไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงว่าการบังคับโทษจำคุกแก่นายทักษิณเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่

ศาลมีคำสั่งให้นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และนายทักษิณ ชินวัตร จำเลย มาฟังคำสั่งศาลด้วยตนเอง

ก่อนหน้านี้ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากอดีตนายกฯ เปิดเผยว่า ได้ยื่นแบบขออนุญาตเข้ารับฟังการพิจารณาคดีของศาลฎีกาในวันที่ 9 ก.ย. ให้แก่บุตรสาวของนายทักษิณ 2 คนคือ น.ส.แพทองธาร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ด้วย

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด

คำตัดสินคดีนี้มีขึ้นไม่กี่วันหลังจาก พท. ที่มี น.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรค ต้องแปรสภาพเป็นฝ่ายค้าน โดยถือเป็นการสูญเสียอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินในรอบ 2 ปีนับจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งแม้พรรค พท. แพ้การเลือกตั้ง แต่พลิกมาเป็นแกนนำจัดตั้ง “รัฐบาลผสมข้ามขั้ว” ได้สำเร็จ

นายทักษิณ เลือกเดินทางกลับประเทศในรอบ 15 ปี เมื่อ 22 ส.ค. 2566 ในวันเดียวกับที่รัฐสภามีมติเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตจากพรรค พท. เป็นนายกฯ คนที่ 30

มาครั้งนี้ เขาตัดสินใจเดินทางออกจากไทยเมื่อ 4 ก.ย. 2568 หรือ 1 วันก่อนการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อโหวตนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นนายกฯ คนที่ 32

“ผมตั้งใจจะกลับไปไทยไม่เกินวันที่ 8 เพื่อเดินทางไปศาลด้วยตัวเอง วันที่ 9 ก.ย. นี้ครับ” นายทักษิณโพสต์ข้อความผ่านเอกซ์ (ทวิตเตอร์เดิม) หลังโดยสารเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกในรอบ 2 ปี

นายทักษิณอ้างว่า “ตั้งใจเดินทางไปสิงคโปร์เพื่อตรวจสุขภาพกับหมอที่เคยดูแลระหว่างอยู่ต่างประเทศ” แต่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ไทยถ่วงเวลาไว้เกือบ 2 ชั่วโมง ทั้งที่ชนะคดีที่ถูกห้ามออกเดินทางไปต่างประเทศแล้ว มีสิทธิเดินทางเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป ทำให้นำเครื่องบินลงจอดที่สิงคโปร์ไม่ทัน เพราะสนามบินเปิดให้บริการถึง 22.00 น. สุดท้ายจึงเปลี่ยนแผนไปลงดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพราะ “มีหมอกระดูกและหมอปอดที่ใช้ประจำมานาน และยังมีโอกาสได้เยี่ยมเพื่อนที่ดูไบ ซึ่งไม่ได้เจอกันมา 2 ปีกว่าแล้ว”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับถึงไทยเวลา 15.03 น. วันที่ 8 ก.ย. หลังเดินทางออกนอกประเทศเมื่อ 4 วันก่อน

สรุปประเด็นสำคัญจากการไต่สวน “คดีชั้น 14” ครบ 7 นัด

อดีตนายกฯ คนที่ 23 ทักษิณต้องคำพิพากษาลงโทษจำคุกรวม 8 ปี จาก 3 คดีทุจริต แต่เขาไม่ได้นอนในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แม้แต่คืนเดียว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ส่งตัวนายทักษิณออกจากเรือนจำช่วงกลางดึกของวันที่ 22 ส.ค. 2566 ด้วย “อาการฉุกเฉิน” ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 หลังจากนั้นนักโทษชายเด็ดขาด (น.ช.) รายนี้ก็ไม่ได้กลับเข้าเรือนจำอีกเลย

ต่อมา นายทักษิณทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาและได้รับการพระราชทานอภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี กระทั่ง 18 ก.พ. 2567 ผู้ต้องขังสูงวัยเข้าเกณฑ์ได้ “พักโทษกรณีพิเศษ” ตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ จึงได้ย้ายออกจาก รพ.ตำรวจ ไปอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ถ.จรัญสนิทวงศ์ ในฐานะผู้ถูกคุมประพฤติตามมาตรการพักโทษ ก่อนกลายเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ในอีก 6 เดือนต่อมา

ในระหว่างศาลฎีกาฯ เปิดไต่สวนรวม 7 นัด จำเลยได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องมาศาล แต่แต่งตั้งทนายความเข้าร่วมกระบวนการแทน

ขณะที่โจทก์คือ อัยการสูงสุด (อสส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) มาศาลทุกนัด

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ศาลฎีกาฯ เปิดไต่สวน “คดีชั้น 14” รวม 7 นัด ระหว่างเดือน มิ.ย-ก.ค.

.สรุป 10 ประเด็นน่าสนใจใน “คดีประวัติศาสตร์”

ก่อนถึงวันตัดสิน “คดีประวัติศาสตร์” .ขอสรุปเกร็ดน่าสนใจและบรรยากาศที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีที่ 1 ภายในศาลฎีกา สนามหลวง ซึ่ง.เข้าร่วมรับฟังและสังเกตการณ์กระบวนการไต่สวนทุกนัด

1. ศาลฎีกาฯ ตั้งองค์คณะประกอบด้วยผู้พิพากษา 5 คนให้ดำเนินการไต่สวนการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณ โดยมีผู้ซักถามหลัก ๆ 3 คนคือ หัวหน้าองค์คณะ มุ่งซักถามในภาพรวม, ผู้พิพากษาคนที่ 1 มุ่งซักถามข้อกฎหมาย, ผู้พิพากษาคนที่ 2 มุ่งซักถามข้อเท็จจริงเชิงลึก และผู้พิพากษาอีก 2 คนซักถามประเด็นทั่วไปหรือเก็บตกประเด็น

2. ศาลนัดไต่สวนทั้งหมด 7 ครั้ง เริ่มนัดแรก 13 มิ.ย., 4 ก.ค., 8 ก.ค., 15 ก.ค., 18 ก.ค., 25 ก.ค. และปิดท้ายที่ 30 ก.ค. จากนั้นองค์คณะใช้เวลาอีก 41 วันในการประชุม ปรึกษาหารือ และจัดทำคำพิพากษา ก่อนนัดฟังคำสั่ง 9 ก.ย.

3. ศาลเรียกพยานบุคคลมาไต่สวนทั้งสิ้น 31 ปาก

  • ในจำนวนนี้ มี 12 คนที่ถูกกล่าวหาคดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งถูกไต่สวนในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. )
  • ในจำนวนนี้ มี 3 คนที่เป็นแพทย์ถูกสั่งลงโทษตามมติแพทยสภา กำหนดให้มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. โดยนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ได้เปิดเผยกลางศาลว่า เขายื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อขออุทธรณ์คำสั่งลงโทษแล้ว
  • ในจำนวนนี้ เป็นพยานฝ่ายจำเลยเพียง 1 คน

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

พยาน 2 ปากที่ขึ้นเบิกความต่อศาลเมื่อ 4 ก.ค. คือ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ และ นพ.นทพร ปิยะสิน จากทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์

4. ศาลใช้เวลาไต่สวนรวมทั้งสิ้น 20 ชม. 20 นาที (ไม่นับเวลาพักศาล) พยานที่ใช้เวลาเบิกความสั้นที่สุด ใช้เวลาเพียง 3 นาที ส่วนพยานที่ใช้เวลาเบิกความนานที่สุด ใช้เวลาถึง 1 ชม. 30 นาที

  • เบิกความสั้นที่สุด 2 คน คือ น.ส.จิราพร มีนวลชื่น และ น.ส.ณิชามล มากจันทร์ พยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยแพทย์ในการตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับเมื่อ 22 ส.ค. 2566 แต่ทั้งคู่ไม่ถูกเรียกใช้งาน จึงไม่มีส่วนร่วมในวันนั้น
  • เบิกความนานที่สุด 2 คน พันตำรวจเอก นพ.ชนะ จงโชคดี แพทย์ รพ.ตำรวจ ในฐานะแพทย์เจ้าของไข้ของนายทักษิณ และนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คนปัจจุบัน
  • เบิกความเกิน 1 ชม. 7 คน นอกจาก พันตำรวจเอก นพ.ชนะ และนายมานพ แล้ว ยังมีอีก 5 คน ได้แก่ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ผู้ตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับ, นายจารุวัฒน์ เมืองไทย นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องขัง, นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ รองผู้อำนวยการทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์, นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวรเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันเกิดเหตุ, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา และอดีตคณบดีแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

5. การไต่สวนที่มีจำนวนผู้เข้าฟังในห้องพิจารณาคดีมากที่สุดคือนัดที่ห้า ซึ่งเป็นชุดผู้บริหารและแพทย์ รพ.ตำรวจ รวม 6 ปาก เนื่องจากพยานบางคนมีคณะผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีแพทย์/อาจารย์แพทย์จากมหาวิทยาลัยให้ความสนใจมาร่วมรับฟังด้วย

6. คำเบิกความของพยานมีทั้งที่เนื้อหาสาระสอดคล้องกันและย้อนแย้งกัน ข้อน่าสังเกตคือ ถ้าพยานชุดไหนขึ้นเบิกความในวันเดียวกัน คำตอบมักจะเหมือนหรือใกล้เคียงกัน แต่อาจไม่ตรงกับพยานชุดอื่นที่ศาลเรียกมาไต่สวนคนละวัน อาทิ

  • กลุ่มแพทย์ รพ.ตำรวจ ให้การไม่ตรงกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ปฏิบัติหน้าที่ “ผู้คุม” เฝ้าอยู่ที่ชั้น 14 เกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย
  • ผบ.เรือนจำในขณะนั้น กับ ผบ.เรือนจำคนปัจจุบัน ชี้แจงไม่ตรงกันเกี่ยวกับขั้นตอนการส่งตัวผู้ต้องขังป่วยว่าจำเป็นต้องผ่าน รพ.ราชทัณฑ์ก่อน หรือสามารถส่งไปรักษาที่ รพ.ภายนอกได้เลย
  • แพทย์ รพ.ตำรวจ กับผู้บริหารกรมราชทัณฑ์/เรือนจำ ชี้แจงไม่ตรงกันเกี่ยวกับการติดตามนำตัวนักโทษที่รักษาอาการจนทุเลาแล้ว กลับไปรักษาต่อที่ รพ.ราชทัณฑ์ หรือกลับไปจองจำภายในเรือนจำ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

สหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ (ซ้าย) กับ มานพ ชมชื่น ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คือพยานอีก 2 ปากที่ศาลเรียกมาไต่สวน 15 ก.ค. และ 13 มิ.ย. ตามลำดับ

7. แม้ผู้ต้องขังคดีนี้เป็นบุคคลสำคัญที่มีตำแหน่งเป็นอดีตนายกฯ แต่เมื่อถูกถามถึงเหตุการณ์ที่พยานเข้าไปเกี่ยวข้อง บางปากตอบว่า “จำไม่ค่อยได้ชัดเจน” บางปาก “แสดงความสนใจเป็นช่วง ๆ เดี๋ยวจำได้ เดี๋ยวจำไม่ได้” บางปากระบุว่า “ไม่แน่ใจ” ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่การคาดการณ์ในอนาคต พยานบางคนเบิกความเลี่ยงไปมา โดยพูดถึงกรณีทั่วไป แทนที่จะชี้แจงจำเพาะกรณีนายทักษิณ ทำให้ศาลต้องเตือนหลายคน-หลายครั้งว่า “พยานสาบานตนแล้วว่าจะเบิกความตามความเป็นจริง”

8. การขึ้นศาลน่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่ของผู้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ จึงเห็นหลายคนออกอาการประหม่า พยานรายหนึ่งเผลอยืนให้การต่อศาลในช่วงต้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะใช้จังหวะเหมาะสม กระซิบให้เขานั่งลง อีกรายขอให้ศาลทวนคำถามหลายข้อโดยบอกว่าไม่เข้าใจคำถาม อีกรายใช้จังหวะนั่งรอที่คอกพยานพลิกอ่านเอกสารข้อกฎหมายไปมาก่อนที่องค์คณะจะขึ้นบัลลังก์

แต่คนที่ออกอาการทั้งอึดอัดและอึกอักชัดเจนที่สุด หนีไม่พ้น แพทย์เจ้าของไข้ของนายทักษิณที่เริ่มต้นด้วยการเอ่ยปากขอกระดาษกับปากกามาจดคำถามศาล เพราะเกรงจะฟังไม่ทัน และยังยกมือไหว้ “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” องค์คณะเป็นระยะ ๆ เมื่อต้องขอแก้ไขคำตอบใหม่ ในระหว่างตอบคำถามศาล เกิดเดตแอร์เป็นบางช่วง และเมื่อการไต่สวนดำเนินไปถึงช่วงท้าย ๆ เขาถึงกับหลุดปากกลางศาลว่า “ผมมีหน้าที่แค่รักษา (เงียบ) ไม่ใช่ต้องมาขึ้นศาลแบบนี้” พลางยกมือปาดบริเวณใบหน้า ทว่า.นั่งอยู่ด้านหลังพยาน จึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้

9. อาการเจ็บป่วยของนายทักษิณถูกบันทึกไว้ในเอกสารหลายฉบับ เฉพาะที่ปรากฏในศาลระหว่างการเปิดไต่สวน 7 นัด มีเอกสารสำคัญอย่างน้อย 9 รายการ ถูกหยิบยกมาสอบถามพยาน

สำหรับเอกสารหลักฐานใหม่ที่ปรากฏกลางศาลเป็นครั้งแรก หลังจากหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบกรณีชั้น 14 เคยขอเอกสารไปยังผู้เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ อาทิ

  • เอกสารประวัติการรักษาตัวในต่างประเทศของนายทักษิณ ศาลเรียกจากทางเรือนจำ แต่ทนายของนายทักษิณเป็นผู้ส่งมอบให้ศาลเอง
  • บันทึกคำสั่งการรักษาของแพทย์ รพ.ตำรวจ หรือเรียกย่อ ๆ ว่าใบสั่งแพทย์ หรือ “doctor notify sheet” หลังมาตรวจเยี่ยมอาการของนายทักษิณที่ชั้น 14 ซึ่งศาลเรียกจาก รพ.ตำรวจ และได้มาในการไต่สวนนัดรองสุดท้าย ทั้งนี้มีข้อสังเกตคือ มีการบันทึกของแพทย์ในวันที่ 23, 24, 25 ส.ค. 2566 แต่วันที่ 26 หายไป แล้วโดดไปที่วันที่ 27 ส.ค. 2566 เลย
  • เอกสารค่ารักษาพยาบาลของผู้ต้องขังที่ รพ.ตำรวจ ในช่วง 6 เดือน (ส.ค. 2566 – ก.พ. 2567) ซึ่งปรากฏรายการ “ค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลืoด” จำนวน 9 ฉบับ จากทั้งหมด 27 ฉบับ
  • ภาพถ่ายทักษิณขณะรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจ 2 ภาพ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

เจ้าหน้าที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้ ขนเอกสารประกอบการพิจารณาคดีเข้าไปยังพื้นที่ศาล

10. นอกจากคู่ความ สื่อมวลชน ยังมีนักวิชาการ อดีตนักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายต่อต้านนายทักษิณ เป็นกลุ่ม “ขาประจำ” ร่วมรับฟังการไต่สวนคดีนี้ ก่อนออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อสรุปสาระสำคัญในแต่ละนัด และให้ความเห็นเพิ่มเติมในฐานะแพทย์ ทำให้ทนายความของนายทักษิณยื่นคำร้องต่อองค์คณะหลายครั้ง โดยมีทั้งขอให้ไต่สวนลับ หรือขอจำกัดผู้เข้าฟังการไต่สวนในห้องพิจารณาคดี แต่ไม่เป็นผล เนื่องจากศาลคงไว้ซึ่งหลักการในการพิจารณาโดยเปิดเผย

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่เกาะติดการไต่สวนคดีนี้ เนื่องจากเขาเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลดำเนินการไต่สวนการบังคับโทษจำคุกแก่นายทักษิณโดยมิชอบ แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ร้องไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในชั้นบังคับตามคำพิพากษา จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล อย่างไรก็ตามศาลได้เปิดไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีนี้เอง

ศาลสั่งให้คู่ความและผู้เข้ารับฟังการพิจารณาคดี “งดเว้นการเผยแพร่โฆษณาคำเบิกความพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ศาลไต่สวน” ในการไต่สวนนัดที่สอง เมื่อ 4 ก.ค. จากนั้นในการไต่สวนนัดที่สี่ 15 ก.ค. ศาลแจ้งว่า “ไม่อนุญาตให้จดบันทึกคำเบิกความ” แต่อนุญาตให้เข้าฟังได้ ทำให้สื่อมวลชนและผู้สนใจติดตามกระบวนพิจารณาคดีนี้ต้องอาศัยความจำล้วน ๆ ยกเว้นให้เฉพาะคู่ความที่จดบันทึกได้

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

คมสัน โพธิ์คง, ชาญชัย อิสระเสนารักษ์, ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, นิติธร ล้ำเหลือ (จากซ้ายไปขวา) คือ “ขาประจำ” ในห้องไต่สวนคดีชั้น 14