“เคยขับรถให้ไวที่สุด ตั้งใจให้ชนกับที่กั้นแล้วให้ตกน้ำไป” เสียงผู้ป่วยซึมเศร้าสะท้อนปัญหาสุขภาพจิตที่น่ากังวลมากขึ้นในสังคมไทย

ที่มาของภาพ : Getty Photos

คำเตือน: บทความนี้อาจจะมีเนื้อหาที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ

“เอาตรง ๆ จากชีวิตอยู่บนสวรรค์กลายเป็นตกนรกไปเลย” แก้ม (นามสมมติ) ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าวัย 33 ปี บอกกับ. ถึงเหตุผลว่าทำไมโรคซึมเศร้าจึงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตเธอ

แก้มได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าเมื่ออายุ 26 ปี และเคยมีความพยายามจบชีวิตตนเองอยู่หลายครั้งในช่วง 5-6 ปีแรกของการป่วย แต่ปัจจุบันแพทย์ให้เธอหยุดยาโรคซึมเศร้าแล้วเพราะอาการของเธอดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม แก้มยอมรับว่า ยังเผชิญกับ “ช่วงดิ่ง” อย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง

กรณีของแก้มเป็นเพียงหนึ่งในภาพสะท้อนสถานการณ์ของโรคซึมเศร้าที่ส่งผลต่อความเสี่ยงในการปลิดชีพตนเองที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทย จากสถิติจากกรมสุขภาพจิต ในปี 2567 ชี้ว่า ในไทยมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่-าตัวเสียชีวิตจำนวน 5,126 ราย หรือเฉลี่ยทุก ๆ 1 ชั่วโมงจะมีคนพยายามฆ่-าตัวเสียชีวิตถึง 4 คน โดยส่วนใหญ่เหยื่ออยู่ในช่วงวัยทำงานอายุราว 20-59 ปี

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Discontinuance of ได้รับความนิยมสูงสุด

ทว่า กลุ่มที่มีอัตราการพยายามจบชีวิตตนเองสูงสุดคือกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี โดยเป็นกลุ่มที่มีอัตราการพยายามฆ่-าตัวเสียชีวิตสูงที่สุดถึง 136.4 ต่อแสนประชากร

ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับการเปิดเผยของ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ซึ่งอ้างอิงถึงรายงานสุขภาพคนไทยปี 2568 ภายในงาน Sustrends 2026 one year of Volunteers ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ที่ระบุว่า ทุกปีมีผู้พยายามฆ่-าตัวเสียชีวิตกว่า 30,000 คน โดยกลุ่มอายุ 15-19 ปี เป็นสัดส่วนมากที่สุด ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง นอกจากนี้ ภาวะซึมเศร้ายังพบมากที่สุดในกลุ่มเยาวชนอายุ 18-24 ปี หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการเกิดภาวะซึมเศร้ามาจากการเลี้ยงดูในครอบครัว

จากสถิติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า มีกลุ่มวัยรุ่นถือว่าเป็นกลุ่มที่ดูเหมือนเปราะบางสำหรับปัญหานี้

.ได้พูดคุยกับ อาร์ม (นามสมมติ) ซึ่งเป็นโรคซึมเศร้าเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เขาได้เผชิญมาในช่วงที่เป็นวัยรุ่น

เขาเล่าว่า ได้สังเกตถึงความผิดปกติของตัวเองตอนที่เขาอายุเพียง 16 ปี จากอาการนอนไม่หลับและไม่มีสมาธิในการเรียน ก่อนที่หมอจะวินิจฉัยว่าเขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและภาวะออทิซึม และนั่นก็เปลี่ยนชีวิตของเขาไป

“ผมเรียนรู้ได้ช้าลง แล้วก็ไม่ได้เรียนปริญญาเหมือนเพื่อน ๆ เพราะว่าผมโฟกัสกับการเรียนไม่ได้ เลยรู้สึกหมดไฟในการเรียนไป” อาร์ม ที่ตอนนี้อายุ 25 ปี บอกกับ.

โดย ข้อมูลจากศูนย์ความรู้โรคซึมเศร้าไทยปี 2567 คาดการณ์ว่า ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าอายุ 15 ปีขึ้นไป มีจำนวนกว่า 1.3 ล้านคน

อ.ดร.รุ่งอรุณ อนุพันธ์สืบสาย อาจารย์ประจำ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล บอกกับ.ว่าสถิติการพยายามฆ่-าตัวเสียชีวิตและอัตราการทำสำเร็จข้างต้นถือว่าเป็นเลขที่สูง

ทำไมวัยรุ่นเสี่ยงซึมเศร้า เชื่อมโยงกับปัญหายาเสพติดหรือไม่ ?

อ.ดร.รุ่งอรุณ อธิบายว่า วัยรุ่นตอนปลายและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงหลักในการพยายามจบชีวิตตนเอง เนื่องจากพวกเขากำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านทั้งด้านอารมณ์และสังคม

“อายุที่เริ่มทำร้ายตัวเองจริง ๆ จะเป็นวัยรุ่นตอนต้น เพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจิตใจ หรือการเปลี่ยนแปลงในเชิงสังคม อารมณ์ก็เปลี่ยนแปลงง่าย รับมือกับอารมณ์ไม่ค่อยได้” อีกทั้งยังเป็นวัยที่ “ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการมีตัวตน” จึงทำให้ได้รับอิทธิพลจากกลุ่มเพื่อนมาก เธอ กล่าว

นั่นตรงกับเรื่องราวของอาร์ม ที่บอกกับ.ว่า สังคมที่โรงเรียนทำให้เขารู้สึกแปลกแยกผนวกกับแรงกดดันเรื่องการเรียนจากครอบครัว เป็นสาเหตุหลักของการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าของเขา

“ตอนนั้นผมไม่ได้อยากเรียนโครงการนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้านวิชาการ แต่แม่ผมบอกให้ผมเรียน และผมก็คัดค้านไม่ได้ ผมขอลาออกจากโครงการหลายครั้ง แต่พ่อแม่ไม่อนุญาต…เพื่อนก็เรียกว่าคุยกันไม่ค่อยเข้าใจ มองผมแบบไม่เข้าพวก” อาร์มเล่า

นอกจากนี้ อาร์ม ยังไม่สนิทสนมกับครอบครัว และเขายอมรับว่าบ้าน ไม่ใช่ “พื้นที่ปลอดภัย (stable zone)”

ในกรณีเช่นนี้ อ.ดร. รุ่งอรุณ อธิบายว่า หากเด็กที่ป่วยซึมเศร้าไม่สามารถเรียกบ้านหรือครอบครัวว่าเป็นพื้นที่ปลอดภัยได้ ก็จะทำให้พวกเขาเสี่ยงมีปัญหาการพยายามทำร้ายตนเอง หรือการหันไปพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสารเสพติด

“เมื่อไหร่ก็ตามที่บ้านไม่ใช่เซฟโซน (stable zone) เด็กก็จะไปหาที่พึ่งหรือไปหาที่ปรึกษาทางอื่น อาจจะเป็นเพื่อนที่ยังไม่ใช่วัยผู้ใหญ่ ดังนั้นสำหรับครอบครัวจึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องทำให้เป็นเซฟโซน ทำอย่างไรให้เด็กอยากเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจหรือแม้กระทั่งเรื่องความคิดการทำร้ายตัวเอง” อ.ดร. รุ่งอรุณ ระบุ

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ผู้เชี่ยวชายแนะ ผู้ปกครองควรสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่เด็กเพื่อป้องกันเด็กไม่ให้เกิดภาวะซึมเศร้า พยายามทำร้ายตนเอง หรือการหันไปพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้สารเสพติด

อาร์ม บอกกับ.ว่า เขาเคยทำร้ายตนเองด้วยการ “เอาไม้ตีตัวเอง” และเพราะครอบครัวไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยของเขา เขาจึง “ไม่กล้าบอกใคร” และยอมรับว่าเขาเคย “เครียดและอยากดื่มแอลกอฮอล์” เพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย

อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจเยาวชนจากคิด for คิดส์ ปี 2025 พบว่าเยาวชนอายุ 15-25 ปี ที่ใช้สารเสพติด เช่น สุรา บุหรี่มวน บุหรี่ไฟฟ้า กัญชา หรือกระท่อม มีแนวโน้มเผชิญปัญหาทางจิตมากกว่าผู้ที่ไม่ใช้สารเสพติด

“กลุ่มผู้ใช้สารเสพติดทั้ง เหงา เครียด และมีแนวโน้มขาดความมั่นใจมากกว่า โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าและกลุ่มผู้ใช้กัญชามีแนวโน้มเผชิญปัญหาทางจิตทั้ง 3 ประการในระดับที่สูงกว่าสารเสพติดตัวอื่น” รายงานผลสำรวจ ระบุ

ด้าน อ.ดร. รุ่งอรุณ อธิบายด้วยว่า การใช้สารเสพติดถือเป็น “ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ” เพราะ “บางคนอาจใช้เสพติดขณะที่อารมณ์เศร้ามาก ๆ บางครั้งอาจจะลงมือทำร้ายตัวเองได้”

“เริ่มทำร้ายตัวเองตั้งแต่วัยรุ่นแต่ทำสำเร็จช่วงวัยผู้ใหญ่”

อีกกลุ่มอายุที่ “เสี่ยงสูงสุด” ต่อการฆ่-าตัวเสียชีวิตคือกลุ่มคนอายุ 20-29 ปี หรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ตามข้อมูลจาก กรมสุขภาพจิต

อ.ดร.รุ่งอรุณ อธิบายถึงสาเหตุของสถิตดังกล่าวว่า เป็นเพราะวัยรุ่นตอนต้นเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ต้องแบกรับความรับผิดชอบมากขึ้นและมักจะกังวลถึงเรื่องอนาคตของตัวเอง

“สถิติที่บอกว่าวัยผู้ใหญ่ตอนต้นนั้นเป็นวัยที่มีการพยายามฆ่-าตัวเสียชีวิตมาก…เพราะเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงจากตอนที่เป็นวัยรุ่นเยอะ เป็นวัยที่จะต้องทำงานมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง มีมุมมองต่ออนาคตมากขึ้น” อาจารย์ประจำ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ศิริราชฯ ระบุ

ที่มาของภาพ : Getty Photos

แก้ม ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเมื่อวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เล่าให้.ฟังว่า อาการป่วยของเธอมีสาเหตุมากจากความผิดหวังเรื่องงานและความสัมพันธ์ส่วนตัว

“พ่อกับแม่เลิกกันแบบแยกทางกันไปเลยโดยที่เราไม่ได้เตรียมใจไว้ เป็นความผิดหวังสูงสุดที่เราไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น แล้วระหว่างนั้นก็ทำธุรกิจที่ไทยและต่างประเทศแล้วถูกโกงและล้มละลาย ทำให้เราช็อกทั้งสองเรื่องพร้อม ๆ กัน…อาการเราคือไม่ออกจากบ้านเลยสองเดือน” แก้มเล่า

เธอเสริมว่า ความผิดหวังครั้งนั้นทำให้เธอในช่วงอายุ 26 จนถึง 30 ปี มี “ความคิดไม่อยากอยู่บนโลกนี้” หลายครั้งและเคย “ขับรถให้ไวที่สุด ตั้งใจ ให้ชนกับที่กั้นแล้วให้ตกน้ำไป” พร้อมกับลูกสาวของเธอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ซึ่งเป็นคนฉุดรั้งเธอเอาไว้ในวินาทีชีวิตนั้น

ด้าน อ.ดร. รุ่งอรุณ บอกกับ.ว่า ความคิดพยายามฆ่-าตัวเสียชีวิตก็ถือว่าอันตรายมากแล้ว เพราะ “การฆ่-าตัวเสียชีวิตหรือการพยายามส่วนใหญ่แล้วจะไม่ใช่การทำร้ายตัวเองครั้งแรก มักมีการทำร้ายตัวเองมาก่อน ซึ่งอาจจะยังไม่ได้รุนแรงมาก หลังจากนั้นก็อาจจะมีการพัฒนาความรุนแรงมากขึ้น” ทำให้เกิดกรณี “เริ่มทำร้ายตัวเองตั้งแต่วัยรุ่นแต่ทำสำเร็จช่วงวัยผู้ใหญ่”

ทำไมญาติหรือคนใกล้ชิดจับสัญญาณเตือนการฆ่-าตัวเสียชีวิตได้น้อย ?

ที่มาของภาพ : Getty Photos

อีกประเด็นสำคัญที่ รายงานสถานการณ์การฆ่-าตัวเสียชีวิตในประเทศไทย ปี 2566 จากกรมสุขภาพจิต แสดงคือ ญาติหรือคนใกล้ชิดของผู้ที่เสียชีวิตจากการฆ่-าตัวเสียชีวิตสามารถจับสัญญาณเตือนการฆ่-าตัวเสียชีวิตได้น้อย “เพียง 29.4%”

นอกจากนี้ วารสารเรื่อง “ระยะเวลาของกระบวนการฆ่-าตัวเสียชีวิต: มีเวลาเท่าใดในการแทรกแซงระหว่างการพิจารณาจนถึงการพยายามฆ่-าตัวเสียชีวิตสำเร็จ ?” ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2009 ได้ทำการประเมินผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลังจากพยายามฆ่-าตัวเสียชีวิตกว่า 80 คน ว่าพวกเขาเริ่มคิดที่จะลองฆ่-าตัวเสียชีวิตนานแค่ไหนก่อนที่จะตัดสินใจลงมือปฏิบัติ โดย Forty eight% ตอบว่าทุกอย่างเกิดขึ้นภายใน 10 นาที

ทั้งนี้ นอกจากความเร็วระหว่างขั้นตอนการตัดสินใจถึงการลงมือ อ.ดร. รุ่งอรุณ อธิบายถึงอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนใกล้ชิดตรวจจับสัญญาณเตือนการฆ่-าตัวเสียชีวิตได้น้อย เพราะผู้ป่วยมักจะ “ปิด ไม่บอกใครแล้วก็ทำตัวเหมือนปกติ” เพราะ “ในประเทศไทยยังมีเรื่องของการตรีตรา” และทำให้ “บางคนไม่กล้าบอกใครด้วยซ้ำว่า พวกเขามีปัญหาด้านจิตใจ”

คำอธิบายของผู้เชี่ยวชาญรายนี้ สอดคล้องกับประสบการณ์ของแก้ม ที่เล่าว่าตอนเธอคิดจบชีวิตตนเอง เธอเลือกที่จะ “ไม่บอกใคร” แม้เธอจะ “คิดเรื่องนี้วน วันหนึ่งประมาณ 30 รอบ” โดยเธอให้เหตุผลว่า ไม่อยากบอกใครเพราะไม่อยากเป็นภาระ

เช่นเดียวกันกับ อาร์ม ที่ไม่ได้บอกใครเรื่องที่เขาลงมือทำร้ายตัวเอง เพราะ “ไม่กล้า เพราะผมรู้ว่าเดี๋ยวเขาเห็น รอยแผล แล้วก็จะไม่สบายใจ”

ทั้งนี้ รายงานจากกรมสุขภาพจิต ระบุถึงสัญญาณเตือนการฆ่-าตัวเสียชีวิตที่พบบ่อย เช่น

  • สัญญาณเตือนทางคำพูด เช่น บอกลา หรือสั่งเสีย
  • ทางพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น กราบลา ขอขมา แยกตัว
  • การลงมือทำร้ายตนเองซ้ำ ๆ

ขณะที่ อ.ดร. รุ่งอรุณ แนะนำวิธีการสังเกตคนใกล้ตัวที่อาจเสี่ยงมีพฤติกรรมทำร้ายตนเองหรือฆ่-าตัวเสียชีวิต โดยเน้นไปที่ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือคำพูดตัดพ้อ

“อารมณ์จากที่เคยมีความสุขก็จะเศร้ามากขึ้นเหมือนสิ้นหวังมากขึ้น หรืออาจจะเป็นลักษณะหงุดหงิดง่าย มีความเครียด กังวลมาก ๆ …บางคนอาจจะพูดว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากหลับไม่อยากตื่น หรือถ้าหายไปก็คงจะดี หรืออาจมีสัญญาณเตือนอื่น เช่นแยกตัวมากขึ้น หรือลักษณะของการสั่งเสีย”

คนซึมเศร้าอยากได้ยินอะไรบ้าง ตัวอย่างคำที่ไม่ควรพูด

ที่มาของภาพ : Getty Photos

เมื่อ. สอบถามผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทั้งสองถึงคำพูดที่พวกเขาไม่อยากได้ยินและอาจตอกย้ำอาการโรคซึมเศร้าให้รุนแรงขึ้น ว่ามีอะไรบ้าง

อาร์ม ตอบว่าสำหรับตนเรื่องของบริบทหรือน้ำเสียงเป็นเรื่องสำคัญ เช่น “การใช้เสียงดังที่แฝงด้วยอารมณ์หงุดหงิด” หรือคำพูดเช่น “ไม่ได้เป็นอะไรหรอก คิดไปเอง ฆ่-าตัวเสียชีวิตมันบาปเดี๋ยวก็ตกนรก ทำร้ายตัวเองทำไม มันไม่ดีเสียภาพลักษณ์”

ขณะที่แก้ม แบ่งปันคำพูดที่เธอไม่อยากได้ยิน โดยยกตัวอย่างคำว่า “สู้ ๆ นะ” เพราะ “เขา ผู้ป่วย สู้กับโรคอยู่”

เธอเสริมด้วยว่าประโยคที่ทำให้เธอฉุกคิดได้ เมื่อตอนเกิดอาการซึมเศร้า “หาทางออกไม่เจอ ดิ่งเหมือนตกหลุมดำไปประมาณ 10 เมตร” คือคำพูดจากหมอที่บอกเธอว่า “เราป่วยอยู่นะ เราไม่สามารถไปดูแลใครได้หรอก เราพยายามรักษาตัวเราให้หาย เสร็จเราค่อยไปเริ่มต้นดูแลคนอื่นดีกว่า ตอนนี้เรามีหน้าที่ดูแลรักษาตัวเอง”

ด้าน อาจารย์ประจำ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ รพ. ศิริราชฯ ยกตัวอย่างคำที่ไม่แนะนำให้พูด เช่น “ปัญหาเล็กนิดเดียว” เพราะ “ไม่ควรตัดสินว่าที่เขาทำคือถูกหรือผิด แต่ให้เข้าใจเขามากที่สุด”

ทั้งนี้ อาร์ม และแก้ม ตอบตรงกันว่าสิ่งที่อยากได้ยินคือประโยคคำถามง่าย ๆ เช่น เธอกำลังทุกข์ใจอยู่ใช่ไหม มีอะไรอยากให้ฉันช่วยไหม วันนี้ผิดพลาดได้ไม่เป็นไรฉันพร้อมอยู่เคียงข้างเธอเสมอนะ