ชายชาวยูเครนถูกซ้อมและคุมตัวในรัสเซียสามปีกว่า โดยที่ไม่เคยมีการตั้งข้อกล่าวหาใด ๆ

ที่มาของภาพ : Francesco Tosto/BBC

ดมิโตร ไคลิอุค ถูกควบคุมตัวในรัสเซียเป็นเวลาสามปีครึ่ง

Article Recordsdata

    • Writer, ซาราห์ เรนส์ฟอร์ด
    • Role, ผู้สื่อข่าวประจำยุโรปใต้และตะวันออก
    • Reporting from รายงานจากภูมิภาคเคียฟ

ดมิโตร ไคลิอุค แทบจะไม่ได้พักจากสายโทรศัพท์เลยนับตั้งแต่ที่เขาได้รับการปล่อยตัวจากคุกรัสเซีย

ผู้สื่อข่าวชาวยูเครนคนนี้ถูกควบคุมตัวโดยกองทัพรัสเซียในวันแรก ๆ ของการรุกรานยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ สามปีครึ่งหลังจากนั้น เขาจึงได้รับการปล่อยตัวในการแลกเปลี่ยนนักโทษ โดยเป็นหนึ่งในพลเรือนจำนวนแปดคนที่ได้รับการปล่อยตัวอย่างไม่คาดคิด

แม้ว่ารัสเซียและยูเครนจะเคยแลกเปลี่ยนเชลยศึกทหารกันมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่มีน้อยครั้งมากที่รัสเซียจะปล่อยพลเรือนชาวยูเครนออกมา

ดมิโตรไล่ตามทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพลาดไปอย่างรีบร้อน แต่เขาก็ได้โทรศัพท์หาครอบครัวของชาวยูเครนที่เขาได้พบในสถานที่คุมขังด้วย โดยเขาจดจำชื่อของผู้ที่ถูกจับกุมและรายละเอียดของแต่ละคนเอาไว้

เขารู้ว่าสำหรับบางคน สายโทรศัพท์ของเขาอาจเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าญาติของพวกเขายังมีชีวิตอยู่

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Discontinue of ได้รับความนิยมสูงสุด

การต้อนรับกลับบ้าน

การเฉลิมฉลองเกิดขึ้นที่นี่ในเดือนที่แล้ว เมื่อดมิโตรได้รับการส่งตัวกลับจากรัสเซีย โดยเป็นหนึ่งในกลุ่มชาวยูเครน 146 คนที่ถูกส่งกลับมาพร้อมกัน

ผู้คนต่างออกมาโบกธงชาติสีน้ำเงิน-เหลือง และส่งเสียงเชียร์ขณะรถบัสซึ่งบรรทุกเหล่าผู้ได้รับอิสรภาพวิ่งผ่านพร้อมบีบแตรไปด้วย

คนส่วนใหญ่บนรถบัสคือบรรดาทหารที่มีสภาพแก้มตอบและผอมแห้ง หลังถูกคุมขังเป็นเวลาหลายปี

ทางการไม่ได้ระบุชัดเจนว่าพวกเขาทำอย่างไรจึงได้พลเรือนชาวยูเครนแปดคนกลับมาในคราเดียวกันด้วย พวกเขาเปิดเผยเพียงว่ามีการส่งกลับ “คนที่รัสเซียสนใจ” เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน

แหล่งข่าวรายหนึ่งเปิดเผยว่า มีการส่งกลับพลเรือนในภูมิภาคเคิร์สก์ของรัสเซีย ผู้ซึ่งอพยพหลบหนีเมื่อตอนที่กองกำลังของยูเครนเปิดฉากบุกในปี 2024 ซึ่งไม่ชัดเจนว่าสถานะของคนกลุ่มนี้นับจากนั้นเป็นอย่างไร

ที่มาของภาพ : Ombudsman's Place of work

ทางการยูเครนเปิดเผยภาพนักโทษที่ได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านในเดือนที่ผ่านมา ซึ่งดมิโตรอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

หลังจากก้าวเท้าลงจากรถบัสท่ามกลางเสียงเชียร์ของผู้คนที่รายล้อม สายแรกที่ดมิโตรโทรศัพท์หาคือแม่ของเขาเอง เพื่อที่จะแจ้งข่าวว่าเขาเป็นอิสระแล้ว ทั้งพ่อและแม่ของเขาอายุมากและสุขภาพไม่ค่อยจะดี ซึ่งสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดคือการที่จะไม่ได้พบหน้าพวกเขาอีก

“สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คุณจะได้รับอนุญาตให้กลับไป คุณอาจได้รับการปล่อยตัวในวันถัดไป หรืออาจจะต้องอยู่เป็นนักโทษต่อไปอีก 10 ปีเลยก็ได้ ไม่มีใครรู้ว่ามันจะยาวนานเท่าไหร่”

ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ

เราได้พบกับดมิโตรในขณะที่เขากำลังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลเคียฟ ไม่นานนักหลังจากที่เขาได้รับการปล่อยตัว

เรื่องราวในระหว่างถูกควบคุมตัวที่เขาเล่าให้เราฟังนั้นน่าสะพรึงกลัว

“พวกเขาคว้าเราและลากเราเข้าไปในคุก ระหว่างทางก็ตีเราด้วยกระบองยางและตะโกนถ้อยคำเช่น ‘แกฆ่-าไปกี่คนแล้ว'” เขาเล่าเหตุการณ์ระหว่างที่ถูกพาตัวไปรัสเซีย

เขาถูกควบคุมตัวอยู่ในหลายสถานที่ และเรื่องราวของเขาก็สอดคล้องกับเรื่องราวของคนอื่น ๆ ที่เราเคยได้ยินมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

“บางครั้งพวกเขาก็ปลดโซ่ล่ามสุนัขและปล่อยให้มันกัดพวกเรา ความโหดร้ายนั้นน่าสะพรึงมากจริง ๆ และมันเกิดขึ้นอยู่ซ้ำ ๆ”

เขาบอกกับเราว่า เขาถูกกัดและถูกปล่อยให้เลืoดไหลอยู่อย่างนั้น “ผมเครียดมากจนผมมารู้สึกเจ็บปวดก็อีก 20 นาทีต่อมา”

ผู้สื่อข่าวคนนี้ไม่เคยถูกตั้งข้อกล่าวหาอาชญากรรมใด ๆ

ที่มาของภาพ : Francesco Tosto/BBC

ดมิโตรหาทางส่งจดหมายฉบับหนึ่งออกมาได้ในขณะที่เขาถูกควบคุมตัวในรัสเซีย ในจดหมายเขาเขียนว่า “ผมยังมีชีวิต ผมสบายดี ทุกอย่างยังโอเค”

สิ่งที่ยากที่สุดในปีแรกคือสภาพร่างกาย “พวกเราหิวโหย เราได้รับอาหารน้อยมาก ๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน” เขาย้อนเล่า น้ำหนักเขาลดลงไปกว่า 20 กก. ในช่วงไม่กี่เดือนแรก ทำให้เขามีอาการวิงเวียนศีรษะ แต่ทหารที่ถูกจองจำอยู่ด้วยกันได้รับการปฏิบัติที่แย่เสียยิ่งกว่าที่เขาเผชิญมาก

“พวกนั้นเรียกพวกเขาไปสอบปากคำ และพวกเขาก็ถูกซ้อมและทรมานด้วยการช็อตไฟฟ้า”

เขาได้ยินเสียงความเจ็บปวดนี้และได้เห็นรอยฟกช้ำ

ความกลัวของพ่อแม่

บ้านที่ครอบครัวของนักข่าวคนนี้พักอาศัยอยู่ห่างไกลจากทุกสิ่ง มันอยู่ในหมู่บ้านโคซาโรวิชี (Kozarovychi) อันสวยงามนอกกรุงเคียฟ

ที่นี่ให้ความรู้สึกสงบเงียบถ้าไม่นับการโจมตีทางอากาศ มีสวนหลายแห่งที่เต็มไปด้วยสัตว์ปีก พุ่มไม้แบล็คเบอร์รี่ และไม้ผลต่าง ๆ

แต่กำแพงหลังบ้านของดมิโตรยังมีร่องรอยแตกจากเศษกระสุน และสนามหญ้าก็เพิ่งถูกซ่อมแซมไปหลังจากที่กองทัพรัสเซียมาจอดรถถังไว้

ในปี 2022 ช่วงเริ่มต้นของการรุกรานอย่างเต็มรูปแบบที่ชาวรัสเซียรุกคืบเข้ามาในกรุงเคียฟ พวกเขาเข้ายึดครองหมู่บ้านแห่งนี้

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ในขณะที่ดมิโตรและ วาซิล พ่อของเขา กำลังตรวจสอบความเสียหายในบริเวณบ้าน พวกเขาก็ถูกจับกุม

ที่มาของภาพ : Francesco Tosto/BBC

ฮาลีนา (ซ้าย) และวาซิล (ขวา) คือพ่อแม่ของดมิโตร วาซิลเองก็ถูกชาวรัสเซียควบคุมตัวไว้ในฐานะนักโทษเป็นเวลาสั้น ๆ ด้วยเช่นกัน

กองทัพรัสเซียผลักชายทั้งคู่ให้ล้มลงกับพื้น จับมัดและปิดตาพวกเขา ก่อนจะนำตัวไปเป็นเชลย ตอนนี้ทั้งคู่รู้แล้วว่าสถานที่ที่พวกเขาถูกควบคุมตัวในขณะนั้น คือห้องใต้ดินในโกดังท้องถิ่น ที่ซึ่งทหารรัสเซียใช้เป็นฐาน

ทั้งคู่ถูกย้ายตัวหลายครั้งเมื่อจำนวนพลเรือนที่ถูกจับเป็นเชลยมีมากขึ้น

วาซิลได้รับการปล่อยตัวออกมาในที่สุด แต่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เขากลัวว่าสิ่งเลวร้ายที่สุดจะเกิดขึ้นกับลูกชาย

“ผมไม่รู้ว่าเขาถูกพาตัวไปที่ไหน และผมกลัว” ชายวัยเกษียณผู้นี้เปิดเผย “มีเสียงปืนหลายนัดดังขึ้นในตอนกลางคืน ชายคนหนึ่งถูกพาตัวออกไปข้างนอก จากนั้นก็มีเสียงปืนดัง เขาไม่ได้กลับมาอีก ผมยังคงไม่รู้ชะตากรรมของทุกคนที่เคยอยู่ที่นั่น”

จากนั้นเขาและภรรยาก็ได้รับเศษกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่ส่งมาจากคุกรัสเซีย

“ผมยังมีชีวิต ผมสบายดี ทุกอย่างยังโอเค” ดมิโตรเขียนถึงพวกเขาทั้งสองในภาษายูเครน นี่คือจดหมายเพียงฉบับเดียวที่พ่อและแม่ของเขาได้รับในช่วงเวลาที่ดมิโตรถูกจองจำ

ชาวยูเครนที่หายสาบสูญ

แต่ครอบครัวอื่น ๆ ไม่ได้รับข่าวสารอะไรเลย

ทางการระบุว่ามีพลเรือนกว่า 16,000 คนที่ยังคงสูญหายทั่วทั้งยูเครน จนถึงตอนนี้พวกเขาระบุตัวตนได้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นที่พบว่าอยู่ในเรือนจำต่าง ๆ ของรัสเซีย

ขณะที่รัฐบาลรัสเซียก็ไม่เผยแพร่รายชื่อออกมา เพราะการจองจำพลเรือนโดยไม่มีสาเหตุถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และนั่นก็ยิ่งทำให้การจะนำพวกเขากลับบ้านเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก

เฉพาะจากรอบ ๆ หมู่บ้านของดมิโตร มีชาย 43 คน ที่ยังคงถูกจองจำอยู่

ในจำนวนนี้คือ โวโลดีมีร์ โลบูเร็ตส์ ซึ่งถูกควบคุมตัวไปพร้อม ๆ กัน โดยเขาถูกจองจำในห้องใต้ดินเดียวกันก่อนจะถูกพาตัวไปยังรัสเซีย ตอนนี้เขาเป็นคุณปู่แล้ว โดยที่ยังไม่มีโอกาสได้พบหน้าหลานชาย และมีครอบครัวที่คิดถึงเขามาก ๆ

“มันยาก มันยากมาก ๆ เรายิ้ม ใช่ และขอบคุณพระเจ้า ฉันได้หลานชายคนใหม่” เวรา ภรรยาของโวโลดีมีร์กล่าวในขณะที่ทารกน้อยยาโรสลาฟส่งเสียงอ้อแอ้อยู่บนผ้าปูรองเล่นข้าง ๆ “แต่ฉันก็เคยมีสามีอยู่คนหนึ่งด้วย และตอนนี้ฉันไม่มีเขาแล้ว”

“รัฐบาลบอกว่าจะไม่แลกเปลี่ยนญาติของเรากับทหารรัสเซีย เราจึงถูกทิ้งให้รอมาเป็นปีที่สี่ติดต่อกันแล้ว จนกว่าจะมีวิธีไหนซักทางที่จะได้ตัวพวกเขากลับมา”

ที่มาของภาพ : Francesco Tosto/BBC

โวโลดีมีร์ สามีของเวรา ยังคงถูกควบคุมตัวในรัสเซีย

เวราอึดอัดใจมาก และผู้ตรวจการด้านสิทธิมนุษยชนของยูเครนก็รู้สึกไม่ต่างกัน

ดมิโตร ลูบิเน็ตส์ อธิบายการต่อรองกับรัสเซียว่าเหมือนกับการเล่นหมากรุก คุณยึดมั่นตามกติกา เพียงเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามลุกขึ้นยืน คว้านวมมาสวม และต่อยคุณ

ปัญหาก็คือ ยูเครนโจมตีกลับไม่ได้ ยูเครนไม่มีกลุ่มนักโทษพลเรือนชาวรัสเซียเพราะมันขัดต่อกฎของสงครามภายใต้สนธิสัญญาเจนีวา และการจะส่งทหารรัสเซียกลับไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับพลเรือนชาวยูเครนก็จะเป็นหายนะ

“เดี๋ยววันรุ่งขึ้นรัสเซียก็จะจับพลเรือนหลายพันคนในพื้นที่ที่ถูกยึดครองเป็นตัวประกัน เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนกับทหารของพวกเขาอีก” ผู้ตรวจการรายนี้ชี้ “ดังนั้นรัสเซียจึงจับพลเรือนของเราไปและยังไม่มีกลไกทางกฎหมายที่จะพาตัวพวกเขากลับมา”

ที่ผ่านมาเคยมีการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มพลเรือนชาวยูเครนที่ถูกควบคุมตัวและตัดสินโทษที่นี่ในฐานให้ความร่วมมือกับศัตรู คนกลุ่มนี้ที่ถูกเรียกว่า “อาสาสมัคร” นั้น ถูกใช้แลกเปลี่ยนกับพลเรือนชาวยูเครนที่ถูกควบคุมตัวในรัสเซีย

แต่ไม่ชัดเจนว่ามีกรณีการแลกเปลี่ยนลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำหรือไม่

ผลกระทบที่ยังหลงเหลือ

สำหรับครอบครัวของดมิโตร การรอคอยอย่างยาวนานและเจ็บปวดใกล้จะจบลงแล้ว เขาจะกลับหมู่บ้านไปอยู่กับครอบครัวในทันทีที่โรงพยาบาลประกาศว่าสุขภาพของเขากลับมาแข็งแรงแล้ว

ฮาลีนา แม่ของเขากล่าวติดตลกว่า เธอมีรายการงานสารพัดอย่างที่เตรียมไว้ให้ดมิโตรทำ อย่างเช่นการซ่อมแซมความเสียหายที่รัสเซียทำ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอแทบจะเอ่ยชื่อลูกชายโดยที่ไม่สะอื้นไม่ได้เลย

“ฉับควบคุมความรู้สึกของตัวเองไม่ได้” เธอบอกกับเราทั้งน้ำตา “ตอนที่ดีมา (ชื่อเล่นของดมิโตร) โทรมา เขาบอกให้ฉันใจเย็น ๆ เขาบอกว่าเขากลับมาถึงยูเครนแล้ว และฉันไม่ควรจะร้องไห้อีกต่อไป แต่เราไม่ได้เจอลูกชายของเรามาสามปีครึ่งแล้วนะ!”

ดมิโตรค่อย ๆ ทำทุกอย่างอย่างช้า ๆ เพราะเขายังต้องปรับตัวกับการกลับมาอยู่ที่นี่

“ผมรู้ว่าสงครามยังคงดำเนินอยู่ แต่ผมไม่รู้มาก่อนว่าพวกเขาใช้โดรนทิ้งsะเบิดใส่กรุงเคียฟอยู่เรื่อย ๆ มันเป็นเรื่องที่ผมไม่ได้คาดคิดและมันน่าเศร้า” เขาระบุ “ต้นไม้ยังเหมือนเดิม อาคารต่าง ๆ ยังเหมือนเดิม แต่ตอนนี้คุณเข้าใจแล้วว่านี่คือคนละประเทศ และคุณกำลังอยู่ในสภาพความเป็นจริงที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”

รายงานเพิ่มเติมโดยมาเรียนา มัตเวย์ชุค และคริสตินา โวล์ค