
แกะรอยประวัติศาสตร์ฝั่งธนฯ ผ่านโครงกระดูกกว่า 300 โครงที่ขุดค้นพบใต้สะพานอรุณอมรินทร์

ที่มาของภาพ : HANDOUT/สุริยา สุดสวาท
Article Recordsdata
-
- Writer, จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
- Role, ผู้สื่อข่าว.
การขุดพบโครงกระดูกอย่างน้อย 301 โครงบริเวณใต้สะพานอรุณอมรินทร์ในฝั่งธนบุรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร อาจทำให้ผู้คนตกใจในช่วงแรกว่าที่นี่กำลังกลายเป็นสถานที่เกิดเหตุสังหารหมู่หรือเปล่า
ทว่าแท้จริงแล้ว นักโบราณคดีกำลังทำงานร่วมกับบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีส้ม เพื่อเก็บกู้โครงกระดูกเหล่านี้ และโครงการดังกล่าวเริ่มต้นมาตั้งแต่ ธ.ค. ปีที่แล้ว
นักโบราณคดีบอกกับ.ว่าการศึกษาขุดค้นในครั้งนี้เป็นไปเพื่อลดผลกระทบต่อหลักฐานทางโบราณคดีที่อยู่ใต้ดิน เนื่องจากทราบดีว่าบริเวณนี้มีความหนาแน่นของหลักฐานทางโบราณคดีอยู่แล้วเมื่อพิจารณาจากจากการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ร่วมกับข้อมูลการขุดค้นจากแหล่งใกล้เคียงกันในอดีต
“เรารู้อยู่แล้วว่าจะเจอ โครงกระดูก แต่เราไม่คาดคิดว่าจะเจอเยอะมากขนาดนี้” สุภมาศ ดวงสกุล ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดี กองโบราณคดี กรมศิลปากร กล่าวกับ.
เหตุใดจึงพบโครงกระดูกจำนวนมากในพื้นที่บริเวณนี้
ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์โครงกระดูกหลายร้อยชิ้น พบว่าส่วนใหญ่มีอายุอยู่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประมาณช่วงรัชกาลที่ 4-5 หรือมีอายุราว 200 กว่าปี
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
Discontinuance of ได้รับความนิยมสูงสุด
สุริยา สุดสวาท นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษจากกลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดีฯ บอกว่าพื้นที่บริเวณนี้ถูกใช้เป็นพื้นที่ฝังศwของวัดอมรินทรารามวรวิหารอย่างเต็มตัวในช่วงสมัยดังกล่าว เนื่องจากเมื่อย้อนกลับไปดูข้อมูลเพิ่มเติม เธอพบว่าบริเวณนี้ยังไม่ได้เป็นพื้นที่ป่าช้าในช่วงสมัยอยุธยา และถึงแม้จะมีร่องรอยการตั้งชุมชนก็ตาม แต่อาจมีบ้างที่ผู้คนนำภาชนะบรรจุอัฐิที่ถูกเผามาฝังไว้ตามเจดีย์ของวัดตามความเชื่อ
เธอบอกว่า “การเป็นป่าช้าหรือสุสานน่าจะเริ่มขึ้นในช่วงหลังรัชกาลที่ 3 เป็นต้นไป เมื่อความสำคัญของพื้นที่ในฐานะวังหลังลดลง ทำให้กลายเป็นพื้นที่รกร้าง และกลายเป็นพื้นที่ฝังศw” ในเวลาต่อมา จนกระทั่งเกิดการสร้างทางรถไฟทับพื้นที่ดังกล่าวในช่วง พ.ศ. 2443-2446 ซึ่งตรงกับช่วงสมัยรัชกาลที่ 5

ที่มาของภาพ : HANDOUT/สุริยา สุดสวาท
อิสราวรรณ อยู่ป้อม นักโบราณคดีชำนาญจากกลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดีฯ กล่าวเสริมว่าแม้ในแหล่งขุดค้นที่พวกเขากำลังทำงานอยู่นั้น มีการพบแนวกำแพงเมืองธนบุรีด้วยเช่นกัน แต่ย่อมไม่มีการนำศwมาฝังในบริเวณนี้ เพราะถือว่าเป็นพื้นที่ท้ายวังในช่วงสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งคนในสมัยนั้นไม่นิยมฝังศwไว้ในเมือง
ประกอบกับในเวลาต่อมาพบว่าเส้นทางหลักของวัดอมรินทรารามวรวิหาร ซึ่งเคยเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่าหรือคลองบางกอกน้อยในปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้โครงสร้างพื้นที่ของวัดเปลี่ยนแปลงตามกันไปด้วย พื้นที่บริเวณนี้จึงสิ้นสภาพในเวลาต่อมา
“เราย้ายพระนครไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ก็จริง แต่มันมีการใช้พื้นที่ฝั่งนี้อยู่ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ ลดความสำคัญลง และเมื่อมีการย้ายเขตพระราชวังหลังออกไป พื้นที่ตรงนี้ก็รกร้างกลายเป็นที่ลับตา” อิสราวรรณ กล่าว
เมื่อหลายปีที่ผ่านมาเคยมีรายงานการขุดค้นเจอสุสานหรือกุโบร์เก่าแก่ของชาวมุสลิมต่อเนื่องกับพื้นที่ป่าช้าของชาวพุทธในสมัยก่อน ซึ่งทั้งสองบริเวณอยู่ใกล้กับพื้นที่ขุดค้นใต้สะพานอรุณอมรินทร์ในปัจจุบัน
อิสราวรรณกล่าวต่อว่าเมื่อเกิดโครงการขุดค้นเพื่อลดผลกระทบต่อหลักฐานทางโบราณคดีจากการก่อสร้างรถไฟใต้ดินสายสีส้ม ทีมนักโบราณคดีจึงมีความจำเป็นต้องหาขอบเขตของพื้นที่ฝังศwตรงจุดนี้ให้ได้ รวมถึงศึกษาต่อว่าพื้นที่ที่ทีมนักโบราณคดีกำลังทำงานอยู่นั้นมีความเกี่ยวเนื่องกับพื้นที่ป่าช้าซึ่งมีรายงานกล่าวถึงก่อนหน้านี้หรือไม่
“ในตอนแรกเราก็ตั้งข้อสงสัยว่าพวกเขาแบ่งพื้นที่หรือปนกันหรือเปล่า ความสนใจในตอนแรกจึงมุ่งไปที่การหาขอบเขตของป่าช้าบริเวณนี้ก่อน ไม่ได้มองที่จำนวน”
“แต่จากตำแหน่งที่โซนนี้อยู่ไปทางวัดอมรินฯ มากกว่า เลยคิดว่าน่าจะเป็นป่าช้าพุทธมากกว่ามุสลิม” เธอกล่าว
ท่าทางและรูปแบบการจัดการศwกำลังบอกอะไรกับเรา

ที่มาของภาพ : HANDOUT/BORUN D และ บมจ.ช.การช่าง
นักโบราณคดีบอกว่าโครงกระดูกส่วนใหญ่เป็นวัยผู้ใหญ่ แต่ก็พบโครงกระดูกของเด็กด้วยเช่นกัน รวมถึงพบวัตถุอื่น ๆ ร่วมกับโครงกระดูกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเหรียญสมัยรัชกาลที่ 4-5 ตะปู หรือเศษไม้ โดยสันนิษฐานว่าตะปูถูกใช้ในการกลัดผ้าขาวที่ใช้ห่อศw
ที่น่าสนใจ คือ โครงกระดูกต่าง ๆ มีลักษณะการจัดวางศwหลายท่าทางด้วยกัน เช่น นอนหงายเหยียดยาว นอนคว่ำเหยียดยาว นอนตะแคง แต่ท่าทางที่โดดเด่นและพบมากที่สุด คือ ท่านอนคว่ำ พับแขนไพล่หลังและพับขาไปทางด้านหลัง ซึ่งคนในสมัยปัจจุบันอาจไม่คุ้นชินและชวนกันตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงอยู่ในท่าทางเช่นนี้
สุภมาศ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดีฯ อธิบายว่าในช่วงรัชกาลที่ 4-5 มีบันทึกระบุว่าเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ ได้แก่ กาฬโรค อหิวาตกโรค และไข้ทรพิษ ซึ่งเป็นสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นทั่วโลกและแพร่เข้ามาในประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจนฌาปนกิจไม่ทัน ดังนั้นการจัดวางศwในท่าพับขาและไพล่แขนไปข้างหลัง จึงมีข้อสันนิษฐานว่าเป็นไปเพื่อให้การขนย้ายศwและจัดการศwทำได้อย่างรวดเร็วท่ามกลางความฉุกละหุกในช่วงที่เกิดการระบาดครั้งใหญ่
“ไม่ใช่ว่าเขาพับโดยไม่มีเหตุผล เขาพับเพราะต้องการนำมาขัดกับไม้เพื่อแบกหาม ซึ่งทำให้ไม่ต้องสัมผัสกับศwโดยตรงด้วย” เธอกล่าว
ด้านจิรนันท์ คอนเซฟซิออน นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ กล่าวเสริมว่า จากภาพถ่ายในหนังสือชื่อว่า Siam, Land ude Volk ของคาร์ล ดอห์ลิง สถาปนิกชาวเยอรมันที่เข้ามารับราชการในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 ถึงต้นรัชกาลที่ 6 ยังทำให้มีข้อสันนิษฐานเพิ่มเติมว่าท่าทางดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับวิธีการเผาศwก็เป็นได้
“มีภาพการเผาศwที่วัดสระเกศในท่าพับขาและมัดมือไพล่หลังในหนังสือ” เธอกล่าว และบอกว่า ผศ.นพ.ดร.ณปกรณ์ ฉายแสง จากภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานร่วมกับคณะศึกษาขุดค้น สันนิษฐานว่าการเผาศwในท่าดังกล่าวอาจช่วยให้ศwไม่ดีดตัวขึ้นมา
“หากคุณจับเขานอนหงาย ตัวเขาจะดีดขึ้นมา เพราะกล้ามเนื้อมันจะเกร็งแน่นแล้วก็ดีดขึ้นมา ฉะนั้นถ้านอนคว่ำ มันก็ง่ายต่อการเผาด้วย” จิรนันท์กล่าว

ที่มาของภาพ : HANDOUT/BORUN D และ บมจ.ช.การช่าง
ขณะที่สุริยาเสริมว่าอีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง คือ การจัดท่าทางให้ศwอยู่ในท่ามือไพล่หลังและพับขาไปด้านหลังอาจช่วยให้พื้นที่ฝังศwซึ่งมีอยู่จำกัดสามารถรองรับศwจำนวนมากในช่วงเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ เพราะท่าทางดังกล่าวกินพื้นที่น้อยกว่าท่านอนเหยียดยาว
อย่างไรก็ตาม คณะนักโบราณคดีที่ให้สัมภาษณ์กับ.ต่างเห็นตรงกันว่าท่าทางดังกล่าวเป็นการจัดการศwที่ปกติ และไม่ใช่ศwของเชลยศึกที่ถูกประหัตประหารอย่างที่เกิดข่าวลือในสื่อสังคมออนไลน์ก่อนหน้านี้
ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจาก ผศ.นพ.ดร.ณปกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชากายวิภาคศาสตร์ของคณะแพทย์ศิริราชฯ ที่ระบุว่าโครงกระดูกที่ขุดพบ ไม่พบร่องรอยบาดแผลจากการถูกทำร้ายหรือสาเหตุการเสียชีวิตที่ผิดปกติ เช่น รอยตัด รอยฟัน หรือการทุบตี แต่อย่างใด
กระดูกจำนวนมากที่ถูกขุดค้นได้จะถูกดำเนินการอย่างไรต่อจากนี้
นักโบราณคดีเปิดเผยว่าโครงกระดูกที่ขุดพบจะถูกนำไปเก็บรักษาไว้ที่ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ของคณะแพทย์ศิริราชฯ เนื่องจากมีความพร้อมทางด้านสถานที่การจัดเก็บมากกว่า
อิสราวรรณบอกว่าการศึกษาขุดค้นในครั้งนี้ ทำให้เห็นพัฒนาการของพื้นที่ตั้งแต่ช่วงสมัยอยุธยา ต่อเนื่องมาถึงกรุงธนบุรี และช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
“อย่างน้อยเราก็ได้ข้อมูลพื้นที่เกี่ยวกับชุมชนวัดบางหว้าน้อย รวมถึงย่านวัดอมรินฯ เพิ่มเติมว่ามันไม่ได้มีแค่ชุมชนตรงวัดอมรินฯ มีสถานีรถไฟตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ยังมีเรื่องราวอื่น ๆ ที่เพิ่มเติมหน้าประวัติศาสตร์เข้าไป เหมือนได้รู้จักคนที่นี่เพิ่มมากขึ้น” เธอกล่าว
ทางด้านสุภมาศ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนางานโบราณคดีฯ กล่าวเสริมด้วยว่า “คนในช่วงยุคประวัติศาสตร์ เราแทบไม่มีหลักฐานที่เป็นโครงกระดูกของเขาจริง ๆ ให้เราศึกษาว่าเขาเป็นประชากรกลุ่มไหนอะไรอย่างไรบ้าง เพราะว่าส่วนใหญ่ในยุคหลังเขาเผาศwกันหมดแล้ว และไม่ค่อยเหลือที่ฝังให้เห็นเป็นกระดูก”
เจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรคนนี้เห็นว่า การค้นพบโครงกระดูกจำนวนมากซึ่งมีอายุช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถสืบหาต่อได้ว่ามีประชากรกลุ่มใดบ้างที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณนี้ ซึ่งเธอเชื่อว่าน่าจะมีความหลากหลายของกลุ่มประชากร และบางส่วนอาจเทียบเคียงกับเชื้อสายที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันได้ด้วย
ที่มา BBC.co.uk