
ศาลอาญาพิพากษาลดโทษประหาร เหลือจำคุกตลอดชีวิต ‘จ่าเอ็ม’ รับสารภทพเป็นมือยิv ‘ลิม กิมยา’ สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา ยกฟ้องคนขับรถ เหตุไม่ทราบว่า ‘จ่าเอ็ม’ ได้ก่อเหตุมาก่อน
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่าเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ห้องพิจารณา 806 ศาลได้อ่านคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต พ.จ.อ.เอกลักษณ์ แพน้อยหรือจ่าเอ็ม ซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีที่พนักงานอัยการโจทก์ นางอานน์ มารี อ็องเดร ครูช ภรรยา นายลิม กิมยา (Lim Kim Ya) อดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา ผู้เสียชีวิต เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องพ.จ.อ.เอกลักษณ์ และนายชาคิตหรือชำนาญ บัวปลี จำเลยที่ 1-2 ในคดีที่พ.จ.อ.เอกลักษณ์ ใช้อาวุธปืนยิvนายลิม กิมยา วัย 74 ปี เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 เวลา ประมาณ 17.30 น.ที่บริเวณวงเวียน 13 ห้าง ย่านถนนข้าวสาร ส่วนนายชาคิต ซึ่งเป็นคนขับรถ ศาลพิพากษายกฟ้อง
รายละเอียดคำพิพากาาระบุว่าชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ สำหรับจำเลยที่ 2 ถูกกล่าวหาช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุมฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
โดยคดีศาลมีคำพิพากษาสรุปว่า พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมารับฟังได้เป็นที่พอใจปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิvผู้เสียชีวิต โดยมีเจตนาฆ่-าผู้เสียชีวิตให้ถึงแก่ความ เสียชีวิตอันเป็นการไตร่ตรองไว้ก่อน
พากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบมาตรา 83, 371, 376 พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม เป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันฆ่-าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานยิvปืนซึ่งใช้ดินsะเบิดโดยใช่เหตุในเมืองฯ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่-าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ ประหารชีวิต, ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้ รับใบอนุญาต จำคุก 8 เดือน และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองฯ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมาย หลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) ฐานร่วมกันฆ่-าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุกตลอดชีวิต, ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 4 เดือน, ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองฯ โดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 3 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิตสถานเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) และริบของกลาง กับให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม เป็นเงิน 1,790,599 บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันยื่นคำร้อง (วันที่ 30 กันยายน 2568) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราช กฤษฎีกาที่ตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปีตามคำขอ
สำหรับ จำเลยที่ 2 ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่าจำเลย ที่ 2 มีอาชีพขับรถรับจ้าง เมื่อจำเลยที่ 1 ว่าจ้างให้ไปส่งที่ ต.คลองหาด อ.สระแก้ว จ.สระแก้ว การโทรศัพท์หากันนัดหมายสถานที่จึงเป็นเรื่องปกติ โดยจำเลยที่ 2 คิดค่าว่าจ้าง 4,500 บาท ก็เป็นราคาที่สมเหตุสมผล โดยความผิดการช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษโดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อไม่ให้ต้องโทษหรือเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม
ดังนั้นกรณีจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์รับจ้างไปส่งจำเลยที่ 1 จากจังหวัดชลบุรีไปจังหวัดสระแก้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 มีเจตนาพิเศษ หรือรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เพิ่งกระทำความผิดมาก่อนแล้ว หรือช่วยเหลือประการใด ๆ ที่ส่อให้เห็นว่ามีเจตนาเพื่อไม่ให้จำเลยที่ 1 ต้องโทษหรือไม่ให้ถูกจับกุม ซึ่งโจทก์จึงมีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยที่ 2
ซึ่งนอกจากต้องสืบให้ศาลรับฟังจนแน่ใจว่ามีการกระทำผิดแล้วยังต้องนำสืบเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้สิ้นข้อสงสัยตามสมควรด้วย ลำพังข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 โทรศัพท์หาจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 โอนเงินให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อเป็นค่าจ้างให้ขับรถไปส่งที่จังหวัดสระแก้ว เท่านั้น มาใช้สันนิษฐานให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 ว่าต้องมีเจตนาเพื่อไม่ให้จำเลยที่ 1 ต้องโทษหรือเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม โดยปราศจากพยานหลักฐานมานำสืบเพื่อยืนยันให้เห็นเป็นประจักษ์ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงย่อมไม่เป็นธรรมและเอาเปรียบจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหา
เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงไม่ มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้จึงไม่มีความผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )