
สนิท มณีศรี อายุ 54 ปี ชาวบ้านหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ใช้ชีวิตผูกพันกับสระน้ำหนองพะวามากว่า 20 ปี มันคือแหล่งทำมาหากิน ทั้งเลี้ยงปลาในกระชัง จับปู และเก็บผักเพื่อบริโภคและนำไปขายหาเงินจุนเจือครอบครัว
ปกติบ้านหนองพะวา แบ่งพื้นที่ออกเป็นที่เนินกับที่ลุ่มน้ำ คนที่อยู่ในที่เนินมักประกอบอาชีพปลูกยางพารา ส่วนที่ลุ่มน้ำประกอบอาชีพทำเกษตรกรรม ทำนา และขุดบ่อเลี้ยงปลา
จนกระทั่งปี 2556 การเข้ามาของโรงงานรับกำจัดกากอุตสาหกรรม ‘วิน โพรเสส' ซึ่งตั้งห่างจากบ้านของสนิท ราว 1 กม. ทำให้เขาเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของสภาพแวดล้อมบริเวณรอบๆ สระน้ำหนองพะวาส่งกลิ่นเหม็น น้ำเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ปลาในกระชังที่เลี้ยงไว้เสียชีวิต ฟาร์มกบของเพื่อนบ้านที่เลี้ยงไว้ในสระมีแผลพุพองและทยอยล้มเสียชีวิตจนหมด ต้นยางพาราที่ชาวบ้านปลูกเพื่อหารายได้ก็ยืนต้นเสียชีวิตจำนวนมาก
ตั้งแต่ปี 2556 วิน โพรเสส เริ่มลักลอบประกอบกิจการบำบัดของเสียอันตราย และรีไซเคิล นำกากอุตสาหกรรมเข้าพื้นที่บ้านหนองพะวา โดยไม่มีใบอนุญาต ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากคนพื้นที่
กระทั่งปี 2560 วิน โพรเสส บ้านหนองพะวา ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการ ประเภท 40(1) และ 64(11) หรือบดอัดกระดาษ และประเภท 60 หรือธุรกิจหล่อหลอมโลหะ และได้รับใบประกอบกิจการประเภท 106 หรือกิจการรีไซเคิล แต่ในความเป็นจริง กลับไม่มีเครื่องจักรภายในพื้นที่โรงงานเลย มีเพียงแต่ถังบรรจุสารเคมีจำนวนมากถูกนำมาทิ้งไว้ในโรงงาน หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมรอบๆ โรงงานก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“เราเคยมีกุ้ง หอย ปู ปลากิน ถึงกับเอาไปขายจุนเจือครอบครัวยังได้ แต่หลังปี'57 แม้แต่สิ่งมีชีวิตในสระหนองพะวา ติดกับหน้าบ้านเรา ไม่มีอะไรเหลือเลย เราเคยเลี้ยงปลาในกระชังก็เสียหาย มันกลายเป็นผลกระทบทางด้านจิตใจมากกว่า ทุกวันนี้สิ่งที่เราเคยมีกิน เก็บผัก เก็บปลาธรรมชาติมากินมาขาย ทุกวันนี้ต้องไปซื้อกินทั้งหมด พื้นที่ตรงนั้นไม่สามารถที่จะกลับคืนมาเป็นเหมือน 10 กว่าปีที่แล้ว และไม่รู้ว่าจะกลับมาใช้พื้นที่ตรงนั้นเหมือนแต่ก่อนได้หรือเปล่า
“ชาวบ้านหลายคนเครียด และเหมือนการต่อสู้ไม่ได้ผล ไม่มีความคืบหน้าอะไรมากมาย หลายคนเป็นคล้ายๆ กันคือจะพูดหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก คิดช้า พอไปตรวจร่างกายเหมือนกับหมอจะไม่ฟันธงว่าเป็นผลกระทบจากโรงงาน และชาวบ้านส่วนมากเป็นโรคลักษณะเดียวกันคือไตเสื่อม ตัวพี่เองหลังจากเหตุเพลิงไหม้ไปตรวจร่างกายก็เป็นไตวายเฉียบพลัน
“เรารู้สึกว่าเราเพลีย ร่างกายเราอ่อนแอจากที่เราเคยแข็งแรงทำนู่นทำนี่ได้ มันผิดปกติ ถึงเราอายุมากขึ้น แต่เรารู้สึกว่ามันผิดปกติกว่าแต่ก่อนมาก ส่วนมากจะเป็นคล้ายๆ กัน” สนิท กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อประมาณ 22-25 เม.ย. 2567 เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้โกดัง 5 โรงงานวิน โพรเสส กินเวลา 3 วัน ทำให้กากสารเคมีบางส่วนที่ถูกเก็บในโกดังถูกเผาไหม้ กลายเป็นมลพิษลอยขึ้นสู่อากาศ
ในปี 2565 ชาวบ้านหนองพะวา จำนวน 15 ราย ชนะคดีฟ้องแพ่ง บริษัท วิน โพรเสส ฐานก่อมลพิษ และทำลายพื้นที่การเกษตรและที่ทำกินเสียหายเป็นวงกว้าง โดยศาลจังหวัดระยองสั่งให้บริษัทจ่ายเงินชดเชยเยียวยาชาวบ้านจำนวน 20,823,714 บาท แต่จนถึงปัจจุบันชาวบ้านก็ยังไม่ได้เงินสักแดงเดียว
“ทุกวันนี้ชนะแล้ว ศาลตัดสินแล้ว ก็ไม่ได้มีใครได้เงินสักบาทเดียว โรงงานไม่ได้รับผิดชอบ และไม่มีหน่วยงานไหนจะเข้ามาช่วยกดดันให้ชาวบ้านได้รับตรงนั้น ทั้งต้นไม้เสียชีวิต ทั้งปลาเสียชีวิต ทำมาหากินไม่ได้ รวมๆ กันแล้วยอดที่ศาลตัดสินให้ 20 ล้านเศษ ตอนนี้ผู้ฟ้องเสียชีวิต 2 รายแล้ว … เจ้าของโรงงานก็เสียชีวิตไปแล้ว ถามชาวบ้านก็ไม่รู้จะไปได้จากตรงไหนมา” ชาวบ้านวัย 54 ปี ระบุ
สนิท มณีศรี ชาวบ้านหนองพะวา (แฟ้มภาพ เมื่อ มี.ค. 2567 ถ่ายโดย มูลนิธิบูรณะนิเวศ)
ชะตากรรมของชาวบ้านหนองพะวาคงไม่ได้เป็นกรณีแรก และอาจไม่ใช่กรณีสุดท้าย เพราะข้อมูลจากมูลนิธิบูรณะนิเวศที่ติดตามอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมมายาวนาน เผยว่ายังมีปัญหาลักษณะเดียวกันในพื้นที่อื่นๆ ด้วย เช่น โรงงานแวกซ์ กาเบ็จ จ.ราชบุรี, โกดังซุกกากอุตสาหกรรม ต.สามบัณฑิต อ.อุทัย จ.อยุธยา, โรงงานรีไซเคิลทุนจีน ต.คลองกิ่ว จ.ชลบุรี หรือกรณีล่าสุด หลังเปลี่ยนเป็นรัฐบาล ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ไม่นาน มีทุนจีนบุกตั้งโรงงานรีไซเคิลทีเดียว 6 โรงใน อ.ศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี
ประชาไทเชิญชวนให้ทุกคนรู้จักต้นตอของปัญหาและเบื้องหลังที่ทำให้ไทยมีโรงงานกำจัดกากอุตสาหกรรม และโรงงานรีไซเคิล ที่ไม่ได้มาตรฐานเกิดขึ้น เรื้อรังยาวนาน และเราจะหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร
กากอุตสาหกรรมคืออะไร
ช่วง ‘รู้ไว้ใช่ว่า' เพื่อทำความเข้าใจประเด็น เราจำเป็นต้องรู้ให้ชัดว่า ‘กากอุตสาหกรรม' หรือ Industrial Damage คืออะไร
กากอุตสาหกรรม คือ ของเสียหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เกิดขึ้นจากขั้นตอนกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งอาจมีได้หลายลักษณะ เช่น ของเหลว น้ำมัน ของแข็ง-ตะกรัน หรือก๊าซ โดยกากอุตสาหกรรมมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับประเภทของอุตสาหกรรม และกระบวนการที่เกี่ยวข้อง
สำหรับกากอุตสาหกรรมมีด้วยกัน 2 ประเภทใหญ่ คือ
1.กากอุตสาหกรรมทั่วไป เช่น กากอุตสาหกรรมที่ไม่ต้องกระบวนการบำบัดแบบพิเศษ อย่างเศษเหล็ก เศษพลาสติก หรือกระดาษ เป็นต้น
2.กากอุตสาหกรรมอันตราย ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เช่น กากแคดเมียม สารเคมีตกค้าง กรดที่เหลือจากกระบวนการชุบน้ำมัน และอื่นๆ ซึ่งการบำบัดและรีไซเคิลต้องใช้กระบวนการที่พิเศษ และมีค่าใช้จ่ายที่สูง
ส่วนตัวละครอยู่ในวงจรธุรกิจรับบำบัดกากอุตสาหกรรม มีอยู่ด้วยกัน 4 ตัวหลัก ประกอบด้วย
1. โรงงานที่ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรม “Damage Generator” (WG) หรือผู้ที่ก่อให้เกิดของเสียจากการดำเนินงานประกอบกิจการของตัวเอง
2. โรงงานกลุ่มประเภทรับบำบัดและกำจัดของเสียหรือกากอุตสาหกรรม รวมถึงโรงงานรีไซเคิลขยะอุตสาหกรรม “Damage Processor” (WP) คือคนที่ทำให้ของเสียหรือกากอุตสาหกรรมดำเนินการหายไปจากโลกนี้
3. ตัวแทนรับขนย้ายกากอุตสาหกรรม “Damage Transporters” (WT) จากโรงงานผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรมไปยังโรงงานบำบัดกากอุตสาหกรรม ซึ่งตัวแทนรับขนย้ายอาจเป็นตัวแทนของ WG หรือ WP ก็ได้
4. กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และอุตสาหกรรมจังหวัด กระทรวงอุตสาหกรรม เป็น “Regulator” ทำหน้าที่นอกจากการออกใบอนุญาตให้ตั้งโรงงานแล้ว ยังเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจอนุญาตให้มีการขนย้ายออกจากโรงงานที่ก่อกำเนิดกากฯ ไปยังสถานที่บำบัดและกำจัดของเสียหรือกากอุตสาหกรรม
ภาพบรรยากาศโรงงานวิน โพรเสส เมื่อปี 2567 ถ่ายโดย ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์
‘สยามเมืองยิ้ม' สู่ ‘สยามเมืองทิ้ง'
ภาคประชาสังคม ตั้งข้อสังเกตว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดการขยายตัวของโรงงานรับบำบัดกากอุตสาหกรรมหรือโรงงานรีไซเคิลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มาจากการออกคำสั่งคณะ คสช. ที่ 4/2559 ที่ทำให้การตั้งโรงงานประเภทนี้สามารถตั้งได้ง่ายขึ้น
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ อธิบายว่า ในช่วงแรกที่รัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขึ้นมาบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2557 เป็นช่วงที่ปัญหาขยะชุมชนและขยะจากภาคอุตสาหกรรมกำลังเป็นประเด็นใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อม และเนื่องด้วย คสช.รับฟังข้อมูลจากภาคเอกชนเป็นหลัก ทำให้มีมุมมองว่าปัญหาขยะจัดการไม่ได้จนกลายเป็นวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อม เพราะการตั้งโรงงานกำจัดขยะ โรงงานรีไซเคิล และโรงไฟฟ้าจากขยะทำได้ยาก ติดอุปสรรคที่กฎหมายผังเมือง และยังต้องทำการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ประชาชนมักใช้กฎหมายเหล่านี้เป็นเหตุผลประกอบการคัดค้าน
ดังนั้น รัฐบาลจึงได้ออกคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 4/2559 เรื่อง การยกเว้นการใช้บังคับกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวม สำหรับการประกอบกิจการบางประเภท คือ การสร้างโรงไฟฟ้าจากขยะ โรงงานคัดแยกและฝังกลบของเสีย และโรงงานรีไซเคิล
รู้ไว้ใช่ว่า พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 กำหนดประเภทโรงงานทั้งหมด 107 ประเภท แต่โรงงานที่เกี่ยวข้องกับการรับกำจัดกากอุตสาหกรรม (Damage Processor – WP) มีทั้งหมด 3 ประเภท คือ กลุ่มประเภท 101 105 และ 106
ทั้ง 3 ประเภทแตกต่างกันยังไง
ประเภท 101 จะเป็นโรงงานรับกำจัดของเสียอันตราย หรือที่เกี่ยวกับโรงงานบำบัดน้ำเสีย และเผาทำลายกากอุตสาหกรรม
ประเภท 105 เป็นโรงงานคัดแยกและฝังกลบของเสีย
ประเภท 106 เป็นโรงงานรีไซเคิล (โรงงานที่นำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยผ่านกรรมวิธีการผลิตทางอุตสาหกรรม)
คำสั่ง คสช. ที่ 4/2559 มีผลให้โรงงานกลุ่มนี้สามารถตั้งในพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เพื่อการเกษตรที่กฎหมายผังเมืองงดเว้นการสร้างโรงงานประเภทนี้ รวมถึงห้ามสร้างโรงไฟฟ้าบนพื้นที่ตามข้อห้ามของกฎหมายผังเมืองด้วย จะเห็นได้ว่า โรงงานลำดับที่ 105 และ 106 จึงเกิดขึ้นจำนวนมากในช่วงที่รัฐบาล คสช. บริหารประเทศ โรงงานพวกนี้ทำผิดกฎหมายเยอะมาก มีการลักลอบฝังกากอันตรายไว้ใต้ดิน หรือลักลอบนำไปทิ้ง โดยไม่มีการกำจัดและบำบัดจริง จนทำให้สภาพแวดล้อมในหลายพื้นที่เสียหายและกลา่ยเป็นพื้นที่ปนเปื้อนมลพิษที่สร้างความเสียหายแก่พื้นที่เกษตร แหล่งน้ำผิวดิน และแหล่งน้ำใต้ดินอย่างรุนแรง
ยิ่งกว่านั้นคือ โรงงานรีไซเคิลยังเป็นกิจการอุตสาหกรรมที่ไม่อยู่ในข้อบังคับหรือประกาศของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ที่จะต้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โรงงานรีไซเคิลจึงกลายเป็นโรงงานที่ปล่อยมลพิษรุนแรงสู่สิ่งแวดล้อมโดยไม่มีการควบคุมจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมเลย
ดังนั้น เราจึงเห็นโรงงานรูปแบบดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้แหล่งชุมชนหรือในพื้นที่สีเขียว มากกว่านั้น เดิมมีเพียง 20 จังหวัดที่เปิดให้ตั้งโรงงานประเภท 105-106 แต่ภายหลังการเปิดเสรี ก็เปิดให้ตั้งได้ทุกจังหวัดแล้ว
“โรงงานประเภท 106 ไม่ต้องทำ EIA และเป็นช่องโหว่ใหญ่ที่ทำให้เกิดกรณีของ ‘แวกซ์ กาเบ็จ’ ที่ราชบุรี, บ้านหนองพะวา ระยอง, นครราชสีมา, เพชรบูรณ์, อยุธยา และอื่นๆ เยอะมาก” ผู้อำนวยการบูรณะนิเวศ กล่าว
จำนวนโรงงาน 105-106 ที่เพิ่มขึ้น ยังสะท้อนผ่านสถิติของบูรณะนิเวศ โดยเปรียบเทียบระหว่างปี 2558 ซึ่งเป็นช่วงก่อนมีประกาศ คสช. และปี 2566
- ปี 2558 พบว่าอัตราส่วนระหว่างโรงงานผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรม ต่อ มีโรงงานรับกำจัดและรีไซเคิลกากอุตสาหกรรม อยู่ที่ 40 : 1
- ปี 2566 พบว่าอัตราส่วนระหว่างโรงงานผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรม ต่อ มีโรงงานรับกำจัดและรีไซเคิลกากอุตสาหกรรม อยู่ที่ 26 : 1
ในปี 2566 มีโรงงานผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรม 72,846 โรงงาน ขณะที่โรงงานกลุ่มรับบำบัดและกำจัดกากอุตสาหกรรม อยู่ที่ 2,718 โรงงาน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง และภาคตะวันออก ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรม
ในปี 2566 ข้อมูลของมูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุว่าในจำนวนโรงงาน 2,718 โรง แบ่งเป็น
ประเภท 101 จำนวน 144 โรงงาน
ประเภท 105 จำนวน 1,581 โรงงาน
และประเภท 106 จำนวน 993 โรงงาน
ล่าสุด ข้อมูลจาก กรอ. เมื่อ 26 ก.ย. 2568 มีจำนวนโรงงานประเภท 105 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,785 โรง และโรงงานประเภทที่ 106 มีจำนวน 1,125 โรง หรือก็คือถ้าเทียบกับปี 2566 ปัจจุบันเรายังมีจำนวนโรงงานประเภท 105-106 มากขึ้น
ความกังวลนี้ทำให้เมื่อต้นเดือน ก.ค. 2568 เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยุครัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เคยออกมาบอกว่าจะออกกฎหมายระงับการตั้งและขยายโรงงานรีไซเคิลทั่วประเทศ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น เนื่องจากจำนวนโรงงานดังกล่าวมีมากเกินความจำเป็น และมักมีเรื่องร้องเรียนจากประชาชนจากการลงตรวจพื้นที่ แต่อย่างไรก็ตาม มีการเปลี่ยนรัฐบาลก่อนที่คำสั่งนี้จะได้เป็นผล
ลักลอบทิ้งกากฯ แนวโน้มลดลง แต่ปัญหาอาจซับซ้อนขึ้น
ข้อมูลจากมูลนิธิบูรณะนิเวศ รวบรวมข้อมูลตลอดปี 2567 เท่าที่จะหามาได้ พบว่ามีกรณีการปล่อยน้ำเสียสู่สาธารณะ 35 ครั้ง และเป็นการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม 7 ครั้ง โดยประเภทโรงงาน 5 อันดับแรกที่มีการลักลอบทิ้งของเสีย ประกอบด้วย
1. โรงงานรีไซเคิลและกำจัดของเสียอุตสาหกรรม
2. โรงงานผลิตอาหารและเครื่องดื่ม
3. โรงงานผลิตพลาสติก
4. โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับสัตว์
5. โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร
มูลนิธิบูรณะนิเวศ ชี้ว่าตัวเลขข้างต้นนี้ถือเป็นข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Sources) และยังไม่ครบถ้วน ประกอบกับยังไม่พบการเปิดเผยสถิติเรื่องนี้ของรอบปี 2567 จากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ดังนั้น ตามสถิติที่นำเสนอนี้จึงถือว่าเป็นเพียงภาพสะท้อนส่วนหนึ่งของปัญหา และตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีจำนวนมากกว่านี้
นอกจากนี้ ทางบูรณะนิเวศ มองว่า จำนวนการลักลอบทิ้งกากฯ ตามที่มูลนิธิได้รวบรวมมาในปี 2567 ถือว่าน้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีต แต่อย่างไรก็ดี กรณีที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะในพื้นที่หนองพะวา จ.ระยอง, บริษัทเอกอุทัย สาขาในอยุธยา เพชรบูรณ์ และโคราช รวมถึงโรงงานรีไซเคิลทุนจีนใน อ.ศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี สะท้อนให้เห็นรูปแบบใหม่ของการซุกซ่อน ลักลอบทิ้ง และการฝังกลบในพื้นที่โรงงาน และบริเวณใกล้เคียง
เลือกใช้ต้นทุนบำบัดต่ำ แต่ ‘ค่าใช้จ่ายสิ่งแวดล้อม' สูง
นอกจากการเปิดให้ตั้งโรงงานได้โดยง่าย ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ยังชี้ด้วยว่า ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้การลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมถูกสั่งสมโดยไม่ได้รับการแก้ไข หนึ่งในนั้นคือการที่เจ้าของโรงงานที่ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรมเลือกจะลดต้นทุน หันไปใช้บริการกับโรงงานที่คิดค่าบริการถูก แต่ไม่ได้มีกระบวนการบำบัดจริงและใช้วิธีลักลอบเอากากสารเคมีไปทิ้งตามที่ต่างๆ
เพ็ญโฉม อธิบายว่า ในอดีตปัญหาเรื่องการทิ้งกากฯ มีมาโดยตลอด และรัฐบาลก็ไม่ได้มีแผนรองรับอย่างเป็นรูปธรรม จนในปี 2548 กระทรวงการคลังร่วมกับเอกชนก่อตั้งบริษัท บริหารและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จำกัด (มหาชน) หรือ GENCO ขึ้นมาเพื่อรับบำบัดกากอุตสาหกรรมอย่างมีมาตรฐาน แต่เนื่องด้วยบริษัท GENCO ให้บริการในราคาที่ค่อนข้างสูง และมีมาตรการที่เข้มงวด ทำให้โรงงานผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรมเริ่มหาตัวเลือกอื่นๆ เพื่อลดต้นทุน และเป็นช่องทางที่โรงงานที่รับกำจัดกากฯ ที่อาจไม่ได้มาตรฐานเข้ามา
ในเวลาเดียวกัน เอกชนและเจ้าหน้าที่รัฐก็มองว่าธุรกิจการกำจัดกากอุตสาหกรรม เป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ได้ดี จึงมีการผลักดันให้มีการแก้ไขกฎกระทรวงให้มีการผ่อนผันการดำเนินการ ส่งผลให้มีโรงงานบำบัดกากอุตสาหกรรมและโรงงานรีไซเคิลเพิ่มขึ้น อีกทั้งเบื้องหลังบริษัทเหล่านี้ก็มีเจ้าหน้าที่และข้าราชการจากกรมโรงงานฯ เข้าไปนั่งเป็นผู้ถือหุ้นและที่ปรึกษาฯ
นราธิป ทองถนอม ฝ่ายสื่อของมูลนิธิบูรณะนิเวศ อธิบายให้ฟังว่า ถ้าคนที่ลงพื้นที่โกดังกักเก็บกากอุตสาหกรรม ‘วิน โพรเสส’ ที่บ้านหนองพะวา เราจะเห็นถังเบ๊าท์ หรือ IBC บรรจุสารเคมีได้จำนวน 1,000 ลิตร และถังบรรจุสารเคมีจำนวน 200 ลิตร วางอยู่เป็นจำนวนมากในพื้นที่โรงงาน
ลักษณะหน้าตาของถังเบาซ์ หรือ IBC จากการลงพื้นที่ หลังเกิดเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานวิน โพรเสส บ้านหนองพะวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เมื่อ เม.ย. 2567 (ถ่ายโดย ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์)
เขากล่าวต่อว่า สารเคมีที่บรรจุในถังที่เราเห็น ข้างในมันคือ ‘กรด’ ซึ่งกรดดังกล่าวมาจากกระบวนการรีไซเคิลที่ต้องการเอาโลหะไปใช้ต่อ โดยกรรมวิธีคือต้องลอกสีของโลหะออกทั้งหมด และกรดก็คือของที่เหลือจากกระบวนการดังกล่าว
สมมติว่า การกำจัดกรดที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้จำนวน 1 ตัน ต้องใช้ค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 10,000 บาท แต่บริษัทวิน โพรเสส และบริษัท ‘เอกอุทัย’ (โดย 2 บริษัทนี้เจ้าของเดียวกันคือโอภาส บุญจันทร์) อาจรับกำจัดที่ประมาณ 1,800-2,000 บาทเท่านั้น คนที่ใช้บริการก็น่าจะทราบดีว่าราคาเท่านี้ไม่ใช่การกำจัดที่มีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
“มันมีข้อมูลของ กรอ. ที่ระบุว่า กรดที่อยู่ในบริษัทเอกอุทัย ใน อ.ภาชี จ.อยุธยา ตั้งแต่ปี 2558-2566 ซึ่งเป็นวันที่ถูกปิด มีจำนวนถึง 89,700 ตัน นี่คือกรดอย่างเดียว ถ้าคิดเป็นเงิน โอภาส จะได้รับเงินจากการรับกำจัดอยู่ที่ประมาณ 170 กว่าล้าน มูลค่ามันสูงมากเมื่อเทียบกับค่าปรับ ยังไงก็คุ้ม” นราธิป ระบุ
เพ็ญโฉม กล่าวเสริมว่า ราคาบำบัดของบริษัทวิน โพรเสส ถูกที่สุด เพราะเขาไม่ตั้งใจบำบัดตั้งแต่แรก เพราะว่ากระบวนการเหล่านี้ใช้เงินเยอะ เช่น น้ำที่มีความเป็นกรดสูง ก็ใช้วิธีการบำบัดแบบหนึ่ง น้ำที่ปนเปื้อนน้ำมันก็ใช้วิธีการบำบัดอีกแบบหนึ่ง ปรับเสถียรกากของแข็ง น้ำมันใช้แล้วต้องใช้อีกวิธี เป็นต้น มีแต่ค่าใช้จ่ายเต็มไปหมด ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมใช้บริการวิน โพรเสส เยอะมาก
ฝ่ายสื่อของบูรณะนิเวศ กล่าวว่า กรณีที่เอกอุทัย สามารถคิดราคาได้ถูก เพราะเขาตั้งใจเช่าโกดังร้างเพื่อเอาสารเคมีไปวางทิ้งไว้เหมือนเป็น ‘ถังขยะแนวตั้ง’ แต่บริษัทที่เป็นผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรม (WG) เลือกที่จะส่งให้โรงงานรับกำจัดฯ (WP) แม้ว่าจะรู้เหตุผลเรื่องนี้ และเพื่อแก้ไขปัญหาจึงมีการออกกฎกระทรวง เรื่อง “การจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว” ในปี 2566 ทำให้บริษัทที่เป็นผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรมจะต้องรับผิดชอบจนกว่าผู้รับดำเนินการจัดการของเสีย (WP) ดำเนินการแล้วเสร็จเท่านั้น ภาระความรับผิดของ WG ถึงจะสิ้นสุดลง
“ก่อนหน้าที่จะมีการประกาศกฎกระทรวงเมื่อปี 2566 ทางการไทยจะใช้หลักการที่ว่าเมื่อกากฯ ออกจากประตูโรงงาน ก็จะถือว่าความรับผิดชอบของโรงงานดังกล่าวสิ้นสุดลง ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ส่วน atomize processor จะเอากากอุตสาหกรรมไปทำอะไร ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของ atomize processor” นราธิป กล่าว
อนึ่ง ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ข้อที่ 12 ระบุถึง การขยายภาระความรับผิดของผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรม โดยที่โรงงานที่รับบำบัดต้องกำจัดกากอุตสาหกรรมแล้วเสร็จ ถึงจะหมดภาระความรับผิดชอบของโรงงานผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรม ถ้ากรณีที่ส่งไปแล้ว และผู้รับดำเนินการ หรือ WP จัดการของเสียไม่แล้วเสร็จ หรือเอาไปลักลอบทิ้งที่อื่นๆ โรงงานที่ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรม (WG) จะโดนดำเนินคดี ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้
‘ตบมือข้างเดียวไม่ดัง' ลักลอบทิ้งกากฯ ปัญหาทั้งวงจร
หลายปัจจัยที่ทำให้การขยายตัวโรงงานรีไซเคิลหรือโรงงานที่รับบำบัดหรือฝังกลบกากอุตสาหกรรมขยายตัวขึ้น หนึ่งในนั้นเป็นเรื่องคอรัปชัน
เพ็ญโฉม เผยว่า โดยปกติการตั้งโรงงานรับบำบัดกากอุตสาหกรรม กฎหมายจะกำหนดให้โรงงานประเภทนี้ต้องมี ‘ห้องแล็บ’ เพื่อตรวจสอบกากอุตสาหกรรม เราจะได้แยกออกได้ว่ากากฯ ที่รับมาเป็นกากอันตราย หรือต้องใช้วิธีไหนในการบำบัด ต้องมีเทคโนโลยีการบำบัดฯ ต้องมีวิศวกรประจำบริษัท หรือมีพื้นที่ในการฝังกลบ เป็นต้น แต่เมื่อขยี้ตาดูในทางปฏิบัติ เนื่องด้วยมีกฎกระทรวงฯ ที่ผ่อนผันให้สามารถยื่นขออนุมัติตั้งโรงงานออนไลน์ ทำให้ไม่มีการตรวจสอบที่ชัดเจน
“มันเริ่มมาตั้งแต่ที่ว่าการตั้งบริษัทวิน โพรเสส ซึ่งมีอยู่สองสาขา คือที่โขดหิน (อ.มาบตาพุด จ.ระยอง) และหนองพะวา (อ.บ้านค่าย จ.ระยอง) ที่ได้รับใบอนุญาตให้มีการตั้งขึ้นมาได้ก็ถือว่าผิดกฎหมาย เพราะสาขาที่โขดหิน ไม่มีพื้นที่ในการรองรับกาก ไม่มีโกดัง ไม่มีที่ฝังกลบ มีแค่อาคารและสำนักงาน ไม่มีห้องแล็บในการตรวจ เพราะฉะนั้น การออกใบอนุญาตแบบนี้ถือว่าทุจริตแล้ว” เพ็ญโฉม กล่าว
ระบบต้นทางที่ไม่มีการตรวจสอบอย่างชัดเจน ระบบขนย้ายกากอุตสาหกรรก็เป็นจุดที่มีปัญหาในทางปฏิบัติ เพ็ญโฉมเผยว่า แม้ว่าจะมีกฎหมายที่ออกแบบมาว่า ให้โรงงานผู้ก่อกำเนิดกากอุตสาหกรรมต้องแจ้งข้อมูลการขนย้าย หรือระบบ ‘Manifest' ซึ่งเป็นเอกสารสำเนา 6 ชุดที่จะระบุว่า กากฯ ที่จะทำการขนย้ายเป็นกากฯ ประเภทใด กรด ด่าง ขี้เถ้า หรือเป็นของแข็งตะกรัน มีปริมาณเท่าใด เป็นสารเคมีหรือกากอุตสาหกรรมอันตรายหรือไม่ เลขทะเบียนรถ รถบรรทุกที่ขนส่งต้องติดระบบ GPS เพื่อให้สามารถติดตามรถได้ เมื่อถึงปลายทางที่โรงงานรีไซเคิลหรือโรงงานบำบัดก็ต้องมีการแจ้งข้อมูล และชั่งน้ำหนักของกากอุตสาหกรรมอีกครั้ง แต่ในความเป็นจริง ผู้ประกอบการยังสามารถล็อกหลบกระบวนการทางกฎหมายได้อยู่ เช่น การโยก GPS ไปไว้กับรถบรรทุกที่วิ่งตามเส้นทางปกติ ส่วนรถที่ขนกากฯ อาจจะไปวิ่งออกนอกเส้นทางไปไหนก็ได้
“ทั้งหมดนี้มันทำได้ ไม่ใช่ว่ารถที่ขนกากของเสียจะไปทิ้งที่ไหนโดยไม่มีใครรู้ กรมทางหลวงรู้เห็นเป็นใจอยู่แล้ว จ่ายปลายทางได้อยู่แล้ว” เพ็ญโฉม กล่าว
หรือในกรณีที่โรงงานที่รับบำบัดฯ ถ้าไม่ได้มีการแจ้งข้อมูลกลับมา หรือแจ้งไม่ครบ เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย แสดงว่าคนที่อนุมัติไม่ทำการตรวจสอบก็ถือว่าเป็นคนที่ร่วมทุจริต
ทั้งนี้ เมื่อปี 2565 กรีนนิวส์ ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม รายงานว่า กรอ.เคยแจ้งว่ามีการดำเนินคดีกับผู้ที่ลักลอบขนย้ายกากอุตสาหกรรมกว่า 50,000 กรณี แต่ไม่มีการแจ้งรายละเอียดสถานะและผลของคดี
“เรื่องนี้มันคือวงจรการทุจริต มันจะต้องมีการจ่ายเงินให้กับท้องถิ่น เพราะส่วนท้องถิ่น อบต. ต้องมีการขอใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร การขุดดินถมดิน
“ดังนั้น ที่อยากจะสื่อสารคือมันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่มันเป็นการทำร่วมกันทั้งวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ที่ทำให้ปัญหาการลักลอบทิ้งกากฯ เรื้อรังมาอย่างยาวนาน” เพ็ญโฉม กล่าว
‘ความเบาหวิวเหลือทน' ของโทษทางกฎหมาย
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การปัญหาลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมยังไม่ได้รับการแก้ไขคือสัดส่วนโทษของการกระทำผิดที่ ‘เบาหวิว’ จนไม่อาจหยุดยั้งการกระทำผิดได้
กรณีของวิน โพรเสส ที่บ้านหนองพะวา ตัวของโอภาส บุญจันทร์ เจ้าของบริษัท ถูกดำเนินคดีอาญา และฟ้องแพ่ง ราว 4 คดี แบ่งเป็น
- ชาวบ้าน 15 คนจากบ้านหนองพะวา ฟ้องแพ่ง 3 จำเลย ประกอบด้วย บริษัท วิน โพรเสส จำกัด โอภาส บุญจันทร์ ในฐานะกรรมการบริษัท และพวก ฐานก่อมลพิษ และทำลายพื้นที่การเกษตรและที่ดินทำกิน โดยศาลจังหวัดระยองให้บริษัทชดใช้เงินให้ชาวบ้านจำนวน 20 ล้านบาทเศษ
- กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชนะคดีฟ้องแพ่ง บริษัทวิน โพรเสส และโอภาส โดยศาลจังหวัดระยอง สั่งให้ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม และน้ำที่ปนเปื้อน เป็นจำนวนเงิน 1.7 พันล้าน
- อบต.บางบุตร ชนะคดีฟ้องแพ่ง โดยศาลจังหวัดระยองสั่งให้ บริษัทวิน โพรเสส และผู้บริหาร ร่วมกันชดใช้ 39,625,301 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี
ฝั่งคดีอาญา กรมโรงงานฯ กระทรวงอุตสาหกรรม ดำเนินคดีบริษัท วิน โพรเสส และโอภาส บุญจันทร์ รวม 7 ข้อหา แบ่งเป็น
- ฐานครอบครองวัตถุอันตราย หรือครอบครองกากสารเคมี ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 รวม 5 ข้อหา
- ฐานความผิดข้อหาปล่อยสารอันตราย หรือสิ่งของปนเปื้อนสารอันตรายลงสู่สระหนองพะวา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 228 และ 237 รวม 2 ข้อหา
คดีนี้โอภาส รับสารภาพตั้งแต่วันสืบพยานนัดแรก ศาลจึงมีคำพิพากษาปรับเงิน บ.วิน โพรเสส จำนวน 350,000 บาท จำคุกโอภาส 5 ปี 15 เดือน
ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม เผยว่า เดิมประกาศกฎกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมีบทกำหนดให้ มาตรา Forty five พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 ถ้าเป็นกากอุตสาหกรรมทั่วไปจะมีอายุคดีความเพียง 1 ปี และมีโทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
ขณะที่การลักลอบทิ้งกากขยะอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตราย ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 มีโทษทั้งจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อายุความไม่เกิน 10 ปี
ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ (ถ่ายโดย คชรักษ์ แก้วสุราช)
หากพินิจดูเดิมกฎหมายเกี่ยวกับการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมทั้งทั่วไป และเข้าข่ายอันตราย หรือกากสารเคมี มีโทษค่อนข้างเบาถ้าเทียบกับผลกำไรที่ผู้กระทำผิดได้รับ
อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้อภิปรายในการประชุมสภาฯ สนับสนุน ‘รับหลักการ' ร่าง พ.ร.บ.โรงงาน ฉบับใหม่ โดยเห็นด้วยว่ากฎหมายฉบับเดิมยังมีช่องโหว่อยู่มาก อย่างที่ผ่านมามีโรงงานแห่งหนึ่งถูกดำเนินคดีอาญาด้วยการเปรียบเทียบปรับเพียง 3 แสนบาท แต่โรงงานสามารถประหยัดต้นทุนจากการทำผิดได้มากถึง 70 ล้านบาท ในเวลา 5 ปี
อย่างไรก็ดี กรณีของโอภาส เป็นกรณีที่พิเศษ และเป็นครั้งแรกที่ทางเจ้าหน้าที่กรมโรงงานฯ พยายามใช้กฎหมายอาญา มาตรา 228 และมาตรา 237 หรือกรณีทิ้งสิ่งของมีพิษลงแหล่งน้ำ และทำให้แหล่งน้ำสาธารณะนั้นใช้ประโยชน์ไม่ได้ โดยมีโทษจำคุก 6 เดือนถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 1 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท ทำให้ตัวของโอภาส ต้องโทษจำคุกยาวนานมากขึ้น
อย่างไรก็ดี บางส่วนวิจารณ์ว่ากรณีของหนองพะวา เจ้าหน้าที่ควรถูกดำเนินคดีด้วยหรือไม่ อย่างน้อยคือมาตรา 157 หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากปล่อยให้ปัญหาถูกปล่อยมาเรื้อรัง แต่คำตอบ ณ เวลานี้คือยังไม่มีเจ้าหน้าที่โดยดำเนินคดีจากเรื่องนี้
นอกจากโทษอันเบาหวินจนเหลือทนของกฎหมายปัจจุบันแล้ว อายุความที่น้อยก็ทำให้การเอาผิดกับผู้กระทำผิดเป็นเรื่องยาก ยกตัวอย่างคดีลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมที่มีอายุความเพียง 1 ปี หากประชาชนพบเห็นการลักลอบทิ้งกากฯ จะต้องแจ้งให้หน่วยงานสิ่งแวดล้อมเข้ามาตรวจสอบ และถ้ามีการแจ้งผลตรวจสอบกลับมาเกินอายุความ 1 ปี ก็ไม่สามารถแจ้งดำเนินคดีได้ หรือเวลาเดียวกัน ถ้าแจ้งดำเนินคดีแล้ว พนักงานสอบสวนและอัยการ สั่งฟ้องศาลไม่ทันการณ์ ก็ทำให้คดีไปต่อไม่ได้เช่นกัน
ปัจจุบันกำลังมีกฎหมายที่เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ คือ พ.ร.บ.โรงงาน ซึ่งจะมีการเพิ่มโทษสำหรับผู้กระทำผิด ฐิติภัสร์ จากทีมสุดซอย กล่าวว่า ตอนนี้ พ.ร.บ.โรงงาน ที่มีเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญร่างแก้ไขกฎหมายฯ จะมีการเร่งให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือนนี้ เพื่อให้ทันก่อนการยุบสภาฯ โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีการเพิ่มโทษปรับการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม ตั้งแต่ 2 แสนบาทจนถึง 10 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับความเสียหายที่เกิดขึ้นและปริมาณของเสียที่มีการลักลอบทิ้ง และเพิ่มโทษจำคุกเป็นสูงสุดไม่เกิน 5 ปี
‘เขาทำ แต่ภาษีเราใช้ฟื้นฟู'
แม้ว่าโอภาส บุญจันทร์ ปัจจุบันเสียชีวิตระหว่างถูกจองจำเนื่องมาจากอาการป่วย แต่มรดกจากปัญหาโรงงานวิน โพรเสส ยังไม่ได้รับการเยียวยาฟื้นฟู
หัวหน้าทีมสุดซอยเห็นด้วยว่า แม้จะมีคำสั่งศาลออกมา แต่กลับไม่มีการปฏิบัติจริง และทีมสุดซอยพยายามประสานหน่วยงานต่างๆ ให้มีการติดตามดำเนินคดี และการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมในพื้นที่ต่างๆ ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“บางครั้งเราดำเนินคดีไปแล้ว เราได้คำสั่งศาล แต่ไม่เกิดการปฏิบัติจริง สิ่งหนึ่งที่เราพยายามทำ ณ ตอนนี้ ขอยกตัวอย่างที่อำเภอแปลงยาว บ้านล้อคำ จ.ฉะเชิงเทรา …เราพยายามติดตามการดำเนินคดี และการบำบัดฟื้นฟูว่าต้องมีการกำจัดกากฯ ที่มีการลักลอบฝังกลบทั้งหมด ทั้งหมดที่เขาลักลอบฝัง 90,000 ตัน ถ้าคิดเป็นภาษีของประชาชนที่จะเอาไปกำจัด บำบัด ฟื้นฟู ต้องใช้หลายหมื่นล้าน เพราะว่า 90,000 ตัน คูณอย่างน้อยๆ ตันหนึ่งก็ประมาณ 3,000 บาท นั่นคือภาษีเรา ทำไมเราต้องเอาภาษีเราไปชดใช้ให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม” ฐิติภัสร์ กล่าว
ฐิติภัสร์ อัปเดตว่า ก่อนที่ทีมสุดซอยจะยุติบทบาทหลังการเปลี่ยนรัฐบาล มีหลายหน่วยงานเข้ามาพูดคุย เพื่อสานต่อติดตามการบังคับใช้กฎหมายและการดำเนินคดีอย่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรมควบคุมมลพิษ หรือตํารวจ บก.ปทส. ขณะเดียวกัน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ก็ได้มาหารือเรื่องการกำจัดบำบัดฟื้นฟู โดยเฉพาะกรณีของแวกซ์ กาเบ็จ และต้นปีหน้ากองกากอุตสาหกรรม กรอ. จะมีการเข้าไปสำรวจที่โรงงานดังกล่าว
สำหรับกรณีของวิน โพรเสส เมื่อต้นปี 2568 เคยมีการขนกากอุตสาหกรรม ‘อลูมิเนียมดรอส' จำนวน 7,000 ตัน ในพื้นที่โรงงานออกไปบำบัด โดยความร่วมมือของบริษัทเอกชน และใช้เงินที่บริษัทวางไว้ที่ศาลจำนวน 4.9 ล้านบาท
ฐิติภัสร์ ระบุว่า ประมาณเดือน ต.ค.นี้ จะมีขนย้ายสารเคมีที่เป็นของเหลวในที่ดินของวิน โพรเสส และสิ้นปีหน้า (2569) จะดำเนินการเคลียร์พื้นที่โรงงานวิน โพรเสส ทั้งหมด ซึ่งจากการสอบถามแหล่งข่าว เผยว่างบฯ ในการจัดการมาจากงบประมาณของรัฐบาล
สนิท ชาวบ้านหนองพะวา เผยว่า ปัจจุบันที่บ้านหนองพะวา ชาวบ้านบางคนที่มีบ้าน 2-3 หลังก็สามารถย้ายหนีโรงงานได้ แต่คนที่ไปที่อื่นไม่ได้ก็ต้องทนอยู่อย่างนั้น จากที่เขาสามารถปลูกผักแปลงน้อยๆ เพื่อขายเป็นรายได้ประจำวันก็ทำไม่ได้ เพราะน้ำปนเปื้อนสารเคมีท่วมจนเสียหมด ขุดบ่อไว้จะเลี้ยงปลาก็เลี้ยงไม่ได้ เพราะน้ำเข้าบ่อ ทุกวันนี้บางคนต้องรับจ้างทำงานไปวันๆ บางคนต้องเก็บของเก่า
ตอนนี้ปัญหาที่เจอเป็นประจำคือช่วงหน้าฝน ปริมาณฝนจำนวนมากมักทำให้น้ำปนเปื้อนสารเคมีจากบ่อในโรงงานวิน โพรเสส เอ่อล้น หรือทำให้คันดินของบ่อพัง จนทำให้น้ำที่ปนเปื้อนท่วมที่ดินชาวบ้าน
“เราอยากให้เขา (ภาครัฐ) แก้ไขจริงจัง เอาใจเขามาทำจริงๆ จังๆ ไม่ใช่มาใช้คำพูดว่าทำตามหน้าที่ อยากให้เอาใจเข้ามาด้วย ไม่ใช่เฉพาะทำตามหน้าที่เท่านั้น คนถ้าทำด้วยใจจะต้องมองเห็นปัญหา” สนิท ทิ้งท้าย
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )