ทำความเข้าใจ ด้อมส้ม-นางแบก ซูเปอร์แฟนเหมือนกันที่ไม่เหมือนกัน

ที่มาของภาพ : Getty Photography

Article Knowledge

    • Creator, วศินี พบูประภาพ
    • Role, ผู้สื่อข่าว.

“ถึงพวกด้อมส้มที่มองว่าคนที่เห็นต่างจากการตัดสินใจของพรรคประชาชนคือพวกแบก ผมบอกได้เลยว่านี่คือความมักง่ายในการ label (แปะป้าย) วิธีคิดที่แตกต่าง สิ่งที่พวกคุณต้องทำคือฟังแล้วคิดตาม ถ้ายังเห็นต่างก็โต้แย้ง ไม่ใช่แปะป้ายคนอื่นว่าเป็น ‘นางแบก'” สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด นักกิจกรรมทางการเมืองและผู้อำนวยการมูลนิธิกระจกเงาโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวกล่าวถึงผู้สนับสนุนพรรคประชาชนหรือเรียกอย่างลำลองว่า “ด้อมส้ม”

ความคิดเห็นของ บก.ลายจุด เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ก่อนการจัดตั้งรัฐบาลปลายเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งพรรคประชาชนกลายเป็นตัวแปรสำคัญว่าจะลงเสียงสนับสนุนให้พรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทยเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล เหล่าคนดังการเมืองหลายคนที่เป็นที่รู้จักในฐานะผู้สนับสนุน “ค่ายส้ม” แสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้พรรคประชาชนออกเสียงส่งให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กส่วนตัวของ อานนท์ นำภา ทนายความและนักกิจกรรมทางการเมืองผู้ต้องโทษจำคุก ซึ่งมีการโพสต์ข้อความที่ฝากโดยเจ้าตัวระหว่างขึ้นศาลอาญา ระบุว่า “ในฐานะคนที่เลือกพรรคก้าวไกล ทั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อ ผมไม่เห็นด้วยกับการโหวตให้อนุทินเป็นนายก”

ผู้ใช้เฟซบุ๊กหลายคนร่วมแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ดังกล่าวซึ่งเปิดเป็นสาธารณะ โดยตั้งคำถามถึงความภักดีของอานนท์ต่อพรรคประชาชนหรืออดีตพรรคก้าวไกล หลายความคิดเห็นตั้งคำถามว่าเขาภักดีต่อพรรคเพื่อไทยที่ถูกมองว่าเป็นคู่กรณีมากกว่าหรือไม่

“คนคุกก็อยู่ส่วนคนคุกค่ะ อย่าคำหยาบแส่กับการตัดสินใจของพรรค ไม่เลือกภูมิใจไทยแล้วจะให้เลือกอะไร_เพื่อไทยเหรอคำหยาบ” ผู้แสดงความคิดเห็นรายหนึ่งโต้ตอบใต้ข้อความจากอานนท์

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด

Finish of ได้รับความนิยมสูงสุด

ขณะที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอีกรายหนึ่งตั้งข้อสังเกตในอีกโพสต์ของอานนท์ที่เสนอให้พรรคประชาชนเลือกสนับสนุนพรรคเพื่อไทยว่า “ก็ยังแบกอยู่ก็ไม่รู้จักเข็ดหลาบ”

ด้าน สมบัติ บุญงามอนงค์ ได้วิพากษ์การแสดงความเห็นในลักษณะดังกล่าวที่มีต่ออานนท์ นำภา โดยกล่าวถึงผู้สนับสนุนพรรคประชาชนคนอื่น ๆ ที่แสดงความคิดเห็นและเจอปรากฏการณ์เดียวกันกับทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนว่า “คนอย่าง อ.พวงทอง พี่ถึก(ใบตองแห้ง) สุชาติ สวัสดิศรี หมอเหวง ทนายอานนท์ เพนกวิน เป๋า iLaw คุณจะนับคนพวกนี้ว่าเป็นแบก ความสามารถในการแยกแยะพวกคุณมีปัญหา”

ท่ามกลางปรากฏการณ์เดียวกัน “ด้อมส้ม” ยังถูกวิพากษ์โดย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ว่าเป็น “ด้อมส้มตาบอดสี” คอมเมนเตเตอร์รายนี้ยังชี้ว่าผู้สนับสนุนพรรคประชาชนโอนอ่อนผ่อนตามการตัดสินใจของพรรคซึ่งเขามองว่าไม่ซื่อตรงต่อหลัก “การเมืองใหม่”

“สิ่งที่ด้อมส้มรุ่นแก่อย่างผมอยากเห็น คือ ครม. หน้าใหม่สังกัดพรรคประชาชน ที่เข้าไปกุมอำนาจ ควบคุมรัฐบาลจนไปยุบสภา บริหารประเทศแบบการเมืองใหม่อย่างที่พูด” เขาเขียนผ่านโพสต์ ในช่องทางเฟซบุ๊กส่วนตัววันที่ 20 ก.ย. 2568

“เลือกส้มเหมือนเดิมทั้งบ้าน ทั้งใจค่ะ” ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตรายหนึ่งแสดงความคิดเห็นโต้ตอบในโพสต์ดังกล่าว

ปรากฏการณ์ “แฟนดอม” ยืนหยัดปกป้องการตัดสินใจของพรรคการเมือง ไม่ได้เกิดกับกรณีผู้สนับสนุนพรรคประชาชนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในยุคปัจจุบัน

.พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์และนิเทศศาสตร์เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์ “ด้อมส้ม” “นางแบก/นายแบก” เปรียบเทียบทั้งความต่างและเหมือนของผู้สนับสนุนพรรคกลุ่มต่าง ๆ รวมถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมการเมืองดังกล่าวที่ส่งผลต่อวัฒนธรรมประชาธิปไตยในไทย

ซูเปอร์แฟนค่ายส้ม-ค่ายแดง

ผศ.ดร.จันจิรา สมบัติพูนสิริ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักวิจัยประจำ German Institute for World and Station Analysis ให้สัมภาษณ์.ระบุว่าในภูมิทัศน์การเมืองประเทศไทย “แฟนด้อม” ที่ใหญ่และเห็นได้ชัดที่สุด ได้แก่ “ด้อมส้ม” และ “นางแบก”

ทั้งนี้ “ด้อมส้ม” คือผู้สนับสนุนพรรคการเมืองซึ่งพัฒนามาจากพรรคอนาคตใหม่ ก่อนกลายมาเป็นพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชนซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นสีส้ม ส่วน “นางแบก” เป็นคำเรียกอย่างไม่เป็นทางการถึงกลุ่มผู้สนับสนุนอันเหนียวแน่นของพรรคเพื่อไทย

ความเป็นขั้วตรงข้ามของกลุ่มผู้สนับสนุนสองพรรคการเมืองนี้ปรากฏเด่นชัดระหว่างการขับเคี่ยวรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งทั่วปี พ.ศ. 2566 ก่อนรอยแยกระหว่าง “พรรคส้ม” และ “พรรคแดง” จะร้าวลึกระหว่างการเจรจาเพื่อจัดตั้งรัฐบาลซึ่งในที่สุดได้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้สถานะของผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่ายกลายเป็นคู่ตรงข้ามโดยปริยาย

“ด้อมส้มด้อมแดงที่ทะเลาะจิกกัดเกลียดชังกันแบบละครไทย” ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักแปลอิสระเขียนในเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอ “เลิกใช้แท็คติกวิธีการแบบละครไทยในคะแนนเสียงหรือรักษาฐานเสียงได้แล้ว เลิก ๆ ขอร้อง น้ำเน่าจนตบยุงไม่ทัน”

อย่างไรก็ดี นักวิชาการชี้ว่าการทะเลาะ โต้เถียง หรือปกป้องพรรคของแฟนด้อม คือการแสดงออกถึงความรู้สึกร่วมในระดับสูงต่อพรรคการเมือง

“วิธีคิดเรื่องด้อมส้มกับนางแบกมันมาจากคําว่าซูเปอร์แฟน (superfan) หรือผู้เข้าร่วมระดับสุดยอด (tall participant) หรือสแตน (stan) เป็นอีกขั้นของของแฟนคลับธรรมดา เป็นแฟนคลับกลุ่มที่รู้สึกว่าพรรคที่เขาชื่นชมเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนเขา” ผศ.ดร.จันจิรา อธิบาย

เธอเล่าให้.ฟังว่า คำว่า stan เป็นคำกล่าวโดยลำลองในวัฒนธรรมแฟนคลับภาษาอังกฤษ โดยมีที่มาจากเพลงของเอมิเนม (Eminem) ซึ่งกล่าวถึงโศกนาฏกรรมของแฟนคลับที่ทุ่มเทความรักต่อศิลปินจนปราศจากความหมายในตนเอง

เธอยังชี้ต่อว่าวัฒนธรรมแฟนด้อมในแต่ละขั้นเปรียบเหมือนหัวหอมที่แฟนคลับจะมีปฏิสัมพันธ์และความรู้สึกโต้ตอบต่อศูนย์กลางเข้มข้นลดหลั่นเป็นลำดับชั้น โดยชั้นในสุดของหัวหอมคือกลุ่มซูเปอร์แฟน หรือแฟนที่ก้าวข้ามขั้นจากผู้สนับสนุนทั่วไปไปสู่ระดับที่ชีวิตและตัวตนผูกติดอยู่กับบุคคลหรือพรรคการเมืองที่ชื่นชอบอย่างลึกซึ้ง

ต่อสกุล ถิระพัฒน์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาวารสารศาสตร์คอนเวอร์เจ้นท์และสื่อดิจิทัลสร้างสรรค์ คณะนิเทศศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) อธิบายกับ.ว่า การเป็น “ซูเปอร์แฟน” ไม่ได้เกิดขึ้นจากการชอบเพียงครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการที่ค่อย ๆ สร้างความผูกพันระหว่างแฟนคลับกับสิ่งที่ตนหลงใหล ความชอบในตอนแรกอาจเริ่มจากความสนใจเล็ก ๆ เช่น การ “ตก” หรือการตกหลุมรักเนื้อหาของพรรคการเมืองบางประเด็น แต่เมื่อสิ่งนั้นสามารถสะท้อนตัวตน ความเชื่อ หรืออุดมการณ์ของตนได้ ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและความรักนั้นก็จะลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ

“แฟนคลับจะรู้สึกว่าเขา (พรรคการเมือง) เป็นเหมือนเราเลย เป็นพวกเดียวกับเรา พรรคส้มเนี่ยต้องสู้เพื่อประชาชนเลยโดนรังแกบ่อยเหมือนชีวิตฉัน” นักนิเทศศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) อธิบายความรู้สึกที่ทำให้แฟนคลับพัฒนาเป็นซูเปอร์แฟน “พรรคนี้ต้องเป็นตัวแทนฉันได้ เพราะมีแนวคิดของฉันอยู่ในพรรคนี้ นับถือได้เป็นสรณะเลย”

นักวิชาการทั้งสองยังชี้ว่าการพัฒนาทางเทคโนโลยีมีผลอย่างมากต่อการพัฒนาความรู้สึกใกล้ชิดนี้

งานศึกษาเรื่อง “ฮิลลารีคือเพื่อนของฉัน : มายสเปซและการเมืองแบบแฟนดอม (Hillary is my Buddy”: MySpace and Political Fandom)” ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารด้านการสื่อสารร็อกกี้เมาท์เทน (Rocky Mountain Communication Evaluate) ปี พ.ศ. 2551 ชี้ว่า ในยุคของโซเชียลมีเดีย ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับการเมืองได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ แพลตฟอร์มอย่าง MySpace ในขณะนั้นได้เปิดพื้นที่ให้ผู้คนสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางการเมืองในรูปแบบใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องผ่านการถกเถียงแบบสาธารณะอีกต่อไป แต่เป็นการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วย “ความรู้สึก” และการระบุตัวตน การมีส่วนร่วมทางการเมืองจึงไม่ใช่แค่การเลือกตั้งหรือการอภิปราย แต่รวมถึงการแสดงออกผ่านการเป็นแฟนคลับของนักการเมือง

“โซเชียลมีเดียลดตัวกลางระหว่างคนและพรรคการเมือง เขารู้สึกว่าพรรคการเมืองหรือนักการเมือง เป็นคนใกล้ชิดเขา เหมือนเป็นคนในครอบครัว ก็เลยตามมาเป็นปฏิกิริยา ว่าถ้าใครมาทําร้ายหรือวิจารณ์คนในครอบครัวเรา ฉันก็จะเอาเรื่อง ฉันก็จะปกป้อง” ผศ.ดร.จันจิรา อธิบาย

คำอธิบายในทางทฤษฎีของ ผศ.ดร.จันจิรา สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตหลายรายที่แสดงความรู้สึกใกล้ชิดกับนักการเมือง

“รักแก พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จนไม่อยากให้แกหันมาทำการเมืองอีก แต่อยากให้แกถอดใจของแกเอง ไม่ใช่โดนใครแกล้ง” ผู้ใช้แพลตฟอร์มเอ็กซ์รายหนึ่งซึ่งบรรยายในประวัติย่อของตนว่าหัวใจสีส้มโพสต์ในเดือนกันยายนปี 2567 “แต่อย่างน้อยนะ พรรคก้าวไกลรับรู้ว่า พวกคุณชนะการเลือกตั้ง ประชาชนเลือกพวกคุณ อันนี้ คุณพิธา ต้องภูมิใจ”

ขณะที่ผู้ใช้งานแพลตฟอร์มเดียวกันอีกรายซึ่งชื่อบัญชีด้วยอิโมจิรูปส้ม เขียนให้กำลังใจพรรคหลังตัดสินใจร่วมสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยวันที่ 5 กันยายน 2568 ว่า “ขอให้พรรคประชาชน ทราบไว้นะครับ สมาชิกพรรค”เกือบ”ทุกคนรับรู้และเข้าใจดีในสิ่งที่พรรคทำครับ”

ที่มาของภาพ : Anadolu by strategy of Getty Photography

เมื่อเดือนกันยายน 2556 ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกและกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยโพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ระบุว่า “ด้อม ‘ปูแดง' นี่เป็นจุดเริ่มต้นของ fandom นักการเมืองของจริง” และกล่าวว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็น “อดีตนายกที่มีคนตามใน social media มากที่สุดมาตลอด”

จาก Stuffed with life Electorate สู่ Stuffed with life Fans

นอกจากการปกป้องแล้ว ซูเปอร์แฟนยังมักมีลักษณะเป็นแอคทีฟแฟน (Stuffed with life Fan) หรือแฟนคลับเชิงรุกที่แสดงออกด้วยปฏิบัติการทางการเมืองผ่านการเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นการทำเพลง การชูป้าย หรือการแชร์คลิปที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองที่ชื่นชอบ เพื่อเชิญชวนให้คนอื่นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกนั้นด้วย

“สารคดี Breaking the Cycle จริง ๆ ก็คือทําโดยคนที่ชื่นชมนั่นแหละ” ต่อสกุล ยกตัวอย่าง

ผศ.ดร.จันจิรา อธิบายเช่นกันว่า ลักษณะเช่นนี้ทำให้สถานะของแฟนคลับกลายเป็น “หัวคะแนนดิจิทัล” ซึ่งปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในไทย แต่มีให้เห็นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในฟิลิปปินส์ที่มีแฟนคลับของดูแตร์เตในกลุ่มเฟซบุ๊กอย่าง Duterte Diehard Fans ในปี 2016 ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องผู้สมัครอย่างแข็งขัน ทั้งตอบโต้คำวิจารณ์และสนับสนุนนโยบายอย่างเต็มที่

คำอธิบายนี้สอดคล้องกับปรากฏการณ์ “หัวคะแนนธรรมชาติ” ซึ่งเคยเกิดขึ้นระหว่างการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566 ซึ่ง ดร.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่าคือการผลิตซ้ำเนื้อหาโดยผู้สนับสนุนพรรคการเมืองผ่านทางแพลตฟอร์มติ๊กตอก (TikTok)

“พอมันมีการผลิตคอนเทนต์แบบนี้ มันก็กลายเป็นไวรัล มันก็กลายเป็นกระแส ต่างคนต่างทำเพราะรู้สึกว่ามันกำลังมา ถ้าไม่ทำเดี๋ยวจะตกเทรนด์” เขากล่าวโดยทิ้งท้ายว่าพรรคการเมืองเองก็ปรับตัวในการ “สร้างเนื้อหา” เพื่อให้แฟนคลับสามารถผลิตซ้ำเนื้อหานั้นได้เช่นกัน

ความต่าง ด้อมส้ม-นางแบก

ผศ.ดร.จันจิรา วิเคราะห์ว่าพรรคอนาคตใหม่เมื่อแรกตั้งนั้นมีข้อจำกัดคือไม่มีอำนาจในเชิงสถาบันและมีเป้าหมายในการปฏิรูปการเมือง จึงออกแบบให้รูปแบบพรรคเป็นไปเพื่อการเคลื่อนไหว (circulate salvage collectively) ส่งผลให้การใช้ยุทธศาสตร์ในการสร้างแฟนคลับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“จะทํายังไงให้คน ไม่ได้แค่ชอบพรรค แต่มีวัฒนธรรมในการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบคึกคัก เขาก็ต้องเข้าไป flirt (เกี้ยวพาราสี) กับวัฒนธรรมป็อป เพราะมันได้ผล ถูกไหม ต้องทําให้บุคลากรทางการเมืองของเขามีลักษณะมีความเป็นเค-ป็อป เป็นแคริสมาติก (สเน่ห์)”

การสร้างแบรนด์แบบนี้สอดคล้องกับนิยาม “political celeb” ซึ่ง ต่อสกุล อธิบายว่าเป็นบทบาทที่นักการเมืองไม่ได้แค่ทำงานในสภา แต่ยังมีบทบาทในพื้นที่สื่อและวัฒนธรรมแฟนด้อม พวกเขามีแฟนคลับ มีการติดตามชีวิตส่วนตัว และถูกพูดถึงในลักษณะเดียวกับคนดัง

“วิโรจน์ รักชนก ธนาธร พิธา อมรัตน์ คุณช่อ อาจารย์ปิยบุตร” เขายกตัวอย่างนักการเมืองที่เข้านิยามนี้ “จะเห็นได้ชัดตอนออกสื่อยูทิวบ์อย่างนี้ ซึ่งเราคาดไม่ถึง”

ทั้งนี้ ปรากฏการณ์นักการเมืองปรากฏตัวในสื่อออนไลน์อย่างช่องทางยูทิวบ์เกิดขึ้นมานับตั้งแต่ระหว่างการเลือกตั้งปี 2562 เช่น ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ร่วมรายการ “พาเธอกลับบ้าน!!” ซึ่งนำโดย ภัทรธาดา เศรฐไชย หรือที่รู้จักในนาม “ช่า บันทึกของตุ๊ด” หรือการที่ พริษฐ์ วัชรสินธุ ขณะเป็นสมาชิกกลุ่มนิวเด็ม (NewDem) พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมรายการ “ถ้าหนูรับ พี่จะรักป่ะ” ที่นำรายการโดยสามนักผลิตเนื้อหาชื่อดัง ก้อย นัตตี้ ดรีม

ก่อนที่ปี 2566 สมาชิกพรรคการเมืองอีกหลายพรรคจะปรากฏตัวในช่องยูทิวบ์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก เช่น รายการ “พรรคนี้เป็นไงบ้าง?” ทางช่อง ฟาโรส (FAROSE) ซึ่งร่วมด้วยสมาชิกพรรคก้าวไกล เพื่อไทย ภูมิใจไทย และชาติพัฒนากล้า ตลอดเนื้อหาทั้ง 4 ตอน

ต่อสกุล ยังชี้ว่าคะแนนความนิยมยังถูกแปรเปลี่ยนเป็นพลังในการระดมทุม พรรคอนาคตใหม่เป็นกลุ่มแรก ๆ ที่นำรูปแบบการขายสินค้าการเมืองเพื่อหารายได้เข้าพรรคมาใช้ เช่น เสื้อ กระเป๋า หรือของใช้ต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างจากพรรคอื่นที่มักแจกฟรี

ในขณะเดียวกัน ผศ.ดร.จันจิรา ให้ทัศนะว่าพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกลมีเป้าหมายในการเสนอตัวต่อชนชั้นกลางที่มีแนวคิดแบบเสรีนิยม ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การสร้างแฟนด้อม พรรคอื่น ๆ ไม่มีความจำเป็นต้องสร้างฐานเสียงในลักษณะเดียวกัน

เธอชี้โดยเทียบเคียงกับพรรคอื่น ๆ ว่า “พรรคอื่น ๆ อาจจะไม่ต้องการแฟนด้อม มันไม่ใช่ฐานทางอํานาจของเขาเสียทีเดียว ฐานอํานาจของเขาอยู่ที่บ้านใหญ่”

นอกจากนี้ เธอยังกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างพัฒนาการของ “ด้อมส้ม” กับ “นางแบก” ที่แม้จะมีความเป็นซูเปอร์แฟนเหมือนกัน ทว่ารากฐานการเกิดขึ้นมีบริบทที่แตกต่างกัน

“คิดว่าวิธีคิดของนายแบกนางแบกมันมีเฉดที่ต่างไปจากด้อมส้ม” ผศ.ดร.จันจิรา อธิบาย “คือนางแบกหรือจะพูดรวมถึงนายแบกด้วยก็ได้ มีประวัติศาสตร์ที่มาจากกิจกรรมออฟไลน์ (offline) แล้วเขาก็รู้สึกว่ากลุ่มของตัวเองต่อสู้มา เพราะฉะนั้นมีความหมายบางอย่างของการเป็นนายแบกนางแบกที่ต่างออกจากด้อมส้ม”

บทความเรื่อง “การก่อเกิดของ ‘นางแบก' เสื้อแดงที่เพิ่งสร้าง หลังปิดดีลเพื่อไทย-รวมไทยสร้างชาติ สมานฉันท์เหลือง-แดง” ซึ่งถูกเผยแพร่ผ่านนิตยสารออนไลน์ Means Journal ตั้งข้อสังเกตว่าแท้จริงแล้ว กลุ่ม “นางแบก” อาจมีที่มาหลากหลายกว่าการมีเพียงกลุ่มเสื้อแดงเก่า แต่ทว่าก็ได้มีการก่อตัวของการสร้างตัวตนใหม่ตั้งแต่ช่วงโควิด-19 จากความไม่พอใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โดยอดีตนางแบกบางรายอาจเคยร่วมชุมนุมกับ พธม. และ กปปส. เมื่อการเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่เปิดพื้นที่ทางการเมือง คนกลุ่มนี้จึงหันมาอ้างอิงความเป็นเสื้อแดง และเรียกกลุ่มผู้สนับสนุนใหม่นี้ว่า “เสื้อแดงที่เพิ่งสร้าง”

ทว่า บทความเรื่อง “สำรวจที่มาและแนวคิดทางการเมืองของ “นางแบก” ในการเมืองไทย” ตั้งคำถามค้าน โดยชี้ว่าในกลุ่ม “นางแบก” ที่ถูกกล่าวถึงก็ยังมีคนเสื้อแดงดั้งเดิม แต่ถูกลดทอนความชอบธรรมทางการเมืองลงให้เป็นเพียงเสื้อแดงที่เพิ่งสร้าง

ที่มาของภาพ : BBC Thai

พรรณิการ์ วานิช โฆษกคณะก้าวหน้า(ซ้าย), ศิริกัญญา ตันสกุล (กลาง) และวิโรจน์ ลักขณาอดิศร (ขวา) ปรากฏตัวในรายการประกวดการทำอาหาร Hell's Kitchen โดยในรายการตอนดังกล่าวยังมี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.ประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม และ ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูลมหาสุข สองอดีต สส.ประชาธิปัตย์ ร่วมด้วย

อิทธิพลจากวัฒนธรรมป็อป

ต่อสกุล ชี้ว่าแนวคิดเรื่อง “แฟนด้อม” ในการเมืองไทยมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบ “แม่ยก” โดยเห็นได้ชัดตั้งแต่ยุคที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับความนิยมสูงจากคนเมืองช่วงทศวรรษ 2540-2550 โดยเฉพาะในช่วงที่พรรคมีผู้นำที่มีภาพลักษณ์โดดเด่น เช่น ชวน หลีกภัย หรือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้รับการชื่นชมจากประชาชนบางกลุ่มในลักษณะที่คล้ายกับการเป็นแฟนคลับ แม้ในยุคนั้นจะยังไม่เรียกว่า “ด้อม” อย่างชัดเจน แต่ก็มีลักษณะของการสนับสนุนที่มีอารมณ์ร่วมสูง

“มันก็คือมีแม่ยก แล้วก็คนชื่นชมในภาพลักษณ์และบุคลิก ก็ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงเพิ่ม แต่มันไม่ได้ชัดเจนเหมือนยุคนี้” อาจารย์ประจำสาขาวิชาวารสารศาสตร์คอนเวอร์เจ้นท์และสื่อดิจิทัลสร้างสรรค์ อธิบาย “ทักษิณก็ถือว่าใช่ เพราะมันเริ่มจากภาพลักษณ์ของนักธุรกิจที่โดดเด่น แล้วมาตั้งพรรค แล้วก็วาดความหวังให้คนกลุ่มนึงไปช่วยคนจน สร้างนโยบายที่โดดเด่น แล้วก็ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นคนที่น่าสนใจ แล้วก็มีการสนับสนุน”

ด้าน ผศ.ดร.จันจิรา ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ช่วงวัยของกลุ่มแฟนคลับมีผลต่อการเลือกเครื่องมือในการแสดงออกทางการเมือง

ปี 2566 เกิดปรากฏการณ์แฟนคลับวัยมัธยมเข้าร่วมงานประชุมใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ณ ศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้าจังหวัดขอนแก่น แฟนคลับอายุ 13 ปีรายหนึ่งในขณะนั้นให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวทูเดย์ว่าติดตาม “คู่จิ้น” ได้แก่ “พี่อิ่มพี่น้ำ พี่มดพี่เปิ้ล” ซึ่งหมายถึง ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์, จิราพร สินธุไพร, ชนก จันทาทอง และ กิตติ์ธัญญา วาจาดี ซึ่งทั้งหมดเป็น สส.เพื่อไทยในขณะนั้น

ปรากฏการณ์นี้สะท้อนสิ่งที่ต่อสกุลกล่าวว่า กลุ่มแฟนคลับอายุน้อยจำนวนมากได้เติบโตมากับวัฒนธรรมป็อป ซึ่งหล่อหลอมแนวทางการแสดงออกและการรวมกลุ่มในลักษณะของ “ด้อม” หรือแฟนด้อม (fandom) เมื่อเข้าสู่บริบททางการเมือง พฤติกรรมและรูปแบบการมีส่วนร่วมเหล่านี้จึงถูกนำมาใช้ในการสนับสนุนพรรคหรือบุคคลทางการเมือง

“มันเริ่มมาจากกลุ่มวัยรุ่นแรก ๆ มันคือการเข้ามาของเค-ป็อป การเข้ามาของ AF การเกิดซีรีส์วาย แล้วก็กลุ่มคนพวกนี้โตขึ้นมา พอเข้ามาสัมผัสกับการเมืองก็ใช้วิธีที่คุ้นเคยซ้อนเข้าไป” ต่อสกุลอธิบาย

ขณะที่ ผศ.ดร.จันจิรา มองว่าบริบทการเมืองไทยหลังรัฐประหารปี 2557 พื้นที่ทางการเมืองถูกจำกัดอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในขณะนั้น หันไปใช้พื้นที่ทางวัฒนธรรมเป็นช่องทางในการแสดงออกทางการเมือง ไม่ว่าจะผ่านงานศิลปะ ดนตรี หรือสื่อบันเทิงต่าง ๆ ซึ่งกลายเป็นพื้นที่เปิดที่สามารถสื่อสารประเด็นการเมืองได้อย่างแยบยลและปลอดภัยมากกว่า ก่อนพัฒนามาใช้ในการสนับสนุนพรรคการเมืองในปัจจุบันจนกระทั่งวัฒนธรรมทั้งสองผสมกลมกลืนกันเป็นเนื้อเดียว

ที่มาของภาพ : Jirapon Sindhuprai

ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ (ขวา) และ จิราพร สินธุไพร (ซ้าย) สส.พรรคเพื่อไทย ผู้เป็นที่มาของแฮชแท็ก “พี่อิ่มน้องน้ำ”

มีรักย่อมมีชัง

อย่างไรก็ดี นักวิชาการทั้งด้านรัฐศาสตร์และนิเทศศาสตร์เตือนว่าวัฒนธรรมเช่นนี้ต้องการการ “จัดการ” อย่างละเมียดละไม

“พูดถึงที่สุดนะการเมืองแฟนด้อมมันคือการเมืองขาวดำ ถ้าไม่รักคนเดียวกับฉัน หรือแม้แต่ไม่รัก(พรรคการเมือง)เท่าฉันก็จะเป็นศัตรู” ผศ.ดร.จันจิรา กล่าว

ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีปรากฏการณ์การตำหนิกันเองในหมู่ผู้แสดงตนว่าสนับสนุนพรรคเพื่อชิงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพรรค

ส่วนในประเด็นการแข่งขันระหว่างพรรค ต่อสกุล อธิบายว่าเป็นกระบวนการสร้างความสัมพันธ์ร่วมกันให้เหนียวแน่นโดยเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมการเชียร์กีฬา “คนมันจะเหนียวแน่นก็ต้องมีศัตรูก่อน เป็นธรรมชาติ เหมือนมีลิเวอร์พูลก็ต้องมีแมนยูฯ การเมืองไทยในอดีตเคยเห็นชัดเจนในคู่ขัดแย้งอย่างเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์ และในปัจจุบันก็เกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างพรรคประชาชนกับฝ่ายตรงข้าม”

อย่างไรก็ดี ความชังก็อาจเกิดขึ้นต่อพรรคการเมืองที่พวกเขาชื่นชอบได้เช่นกัน

“ถ้าตัวพรรคการเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบไปทําอะไรที่แฟนคลับมองว่าผิดอย่างรุนแรง ก็จะเกิดอาการอกหักแรง” ต่อสกุล แสดงทัศนะ

ย้อนกลับไปช่วงที่พรรคก้าวไกลพยายามจัดตั้งรัฐบาลเมื่อปี พ.ศ. 2566 มีกระแสข่าวการเชิญพรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งมีกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นแกนนำเข้าร่วมรัฐบาล ได้เกิดแฮชแท็ก มีกรณ์ไม่มีกู ที่กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลระดมส่งเสียงต่อต้านทะยานติดอันดับข้อความที่ได้รับความนิยมผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์

ครั้งนั้นพรรคก้าวไกลออกแถลงการณ์น้อมรับคำวิจารณ์ โดยระบุว่าเป็นเพียงการพูดคุยเพื่อการลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี แต่การจัดตั้งรัฐบาลจะยึดตาม MOU ซึ่งยึดตามแนวนโยบายของพรรคก้าวไกลเป็นหลัก อย่างไรก็ดี การจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนั้นไม่ประสบความสำเร็จ

“มันบอกว่าจะโหวตให้อยู่แล้ว จะเอามาร่วมเพื่อ?!! มันรับไม่ได้จริงๆ อะ หลับตาก็เห็นหน้าสุวัจน์ กรณ์ อรรถวิช ” ผู้ใช้ทวิตเตอร์ (ชื่อแพลตฟอร์มในขณะนั้น) ที่ใช้ชื่อว่า “ศิริกันยุง” แสดงความคิดเห็นใต้แถลงการณ์ของพรรคในครั้งนั้น

ต่อสกุลซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการแฟนคลับยังระบุด้วยว่า แฟนด้อมทางการเมืองมีพลังในการผลักดันและขับเคลื่อนสิ่งที่ตนรักอย่างสุดใจ แต่บางครั้งแรงขับนี้อาจควบคุมไม่ได้ และกลายเป็นพลังที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพรรคหรือบุคคลทางการเมืองโดยตรง

“รักมากก็แค้นมาก” ต่อสกุลอธิบาย “บางทีก็แค้นจนกลายเป็นแอนตี้แฟนพรรคที่ตัวเองเคยชอบไปเลย”

หลังพรรคประชาชนแสดงท่าทีสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย ผู้สนับสนุนพรรคโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียในทิศทาง “ทำโทษ” แก่พรรค

ยกตัวอย่างเช่น นรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่เคยออกตัวสนับสนุนพรรค ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุ “ความผิดหวังในครั้งนี้ทำให้ความเชื่อมั่นในพรรคประชาชนในฐานะ “พรรคอุดมการณ์” ได้หมดสิ้นลงแล้วโดยสิ้นเชิงไปแล้ว”

ในประเด็นนี้ ผศ.ดร.จันจิรา เตือนให้พิจารณาบริบทของรัฐสภาไทย ซึ่งเธอเชื่อว่าการจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นความจำเป็นทางโครงสร้าง รัฐบาลจึงต้องเกิดจากการรวมตัวของหลายพรรค

“ข้ามค่ายเนี่ยจะกลายเป็นเรื่องที่เป็นความเป็นจริงทางการเมือง” ผศ.ดร.จันจิรา ชี้

เธอตั้งข้อสังเกตต่อว่า เมื่อการเมืองถูกขับเคลื่อนด้วยวัฒนธรรมแฟนด้อม การประนีประนอมระหว่างพรรคอาจกลายเป็นเรื่องยากขึ้น โดยเฉพาะกับพรรคที่พึ่งพาฐานแฟนคลับอย่างเข้มข้น

“ดิฉันคิดว่าจะลำบากมากขึ้น” ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองดิจิทัลกล่าว

การเมืองแฟนด้อมจะอยู่กับเราอีกนาน

ต่อสกุล เตือนว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีลักษณะเป็นห้องสะท้อน (echo chamber) โดยธรรมชาติ และเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองต่าง ๆ จะถูกแวดล้อมด้วยเนื้อหาและข้อมูลที่ไปเน้นย้ำความเชื่อของตน

“ข้อดีคือมันได้ความเหนียวแน่น แต่ข้อเสียก็คือถ้าเหนียวแน่นมากแล้วมันกลายเป็นแฟนพันธ์ุแท้ก็อาจจะยึดติดกัน เกิดกลายเป็นขวาจัดซ้ายจัดตามจุดยืนพรรคไป”

ขณะที่ ผศ.ดร.จันจิรา ชี้เพิ่มเติมว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ยังทำให้ “political influencers” หรือ อินฟลูเอนเซอร์การเมืองเริ่มเปลี่ยนสถานะเป็นโบรกเกอร์การเมือง ที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจแพลตฟอร์มผ่านการผลิตเนื้อหาตอบสนองผู้สนับสนุนพรรคการเมืองที่แบ่งแยกกันทางอุดมการณ์อย่างสุดขั้ว (hyper-partisanship)

งานศึกษาของ ฟาติมา กอว์ ที่ศึกษาอุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์การเมืองในฟิลิปินส์สะท้อนประเด็นเดียวกันนี้ โดยระบุว่าอุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ กลายเป็นบทบาท political dealer ที่เชื่อมโยงนักการเมืองกับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และมีส่วนในการขยายความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนตระกูลมาร์กอสและกลุ่มผู้สนับสนุนตระกูลดูแตร์เต ด้วยการบ่มเพาะข้อมูลเท็จเพื่อโจมตีฝั่งตรงข้าม

“ดิฉันคิดว่าการเมืองแบบนี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน โดยเฉพาะในสนามการเลือกตั้งเอเชียที่มีความเป็นสถาบันน้อยกว่าที่อื่น” ผศ.ดร.จันจิรา สมบัติพูลศิริ ทิ้งท้าย

นอกจากนี้ ต่อสกุลชี้ว่าในวัฒนธรรมแฟนด้อม ไม่ใช่ทุกคนจะรักสิ่งเดียวกัน และความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องธรรมชาติ การไม่เห็นด้วยหรือการมี “แอนตี้แฟน” จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือระดับความรุนแรงของการตอบโต้

“ในสังคมประชาธิปไตย ความหลากหลายทางความคิดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การถกเถียงหรือการวิพากษ์วิจารณ์ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่สังคมที่ดีมันก็ต้องมีกลไกที่ทำให้คนได้แสดงออกโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง” อาจารย์ด้านการสื่อสารชี้ “ด่าได้ เถียงได้ แต่ห้ามตบกัน และสุดท้ายให้ตัดสินกันผ่านกระบวนการที่เป็นที่ยอมรับ เช่น การเลือกตั้ง”