
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดคดีร่ำรวยผิดปกติ 3 เรื่องรวด ‘กษิดิ์เดช ชุติมันต์' อดีต ส.ก. 5.7 ล้าน ‘บุญเลิศ ต่างสี' อดีตนายกเทศมนตรีตำบลสระโบสถ์ ลพบุรี 7.2 ล้าน ‘ประยูร เรียนปิงวัง' อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลลำปาง มากสุด 14.4 ล้าน รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 27.3 ล้าน ส่งสำนวนอสส. ฟ้องร้องศาล สั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน แจ้งผู้มีอำนาจผู้บังคับบัญชาลงโทษไล่ออก-พ้นตำแหน่ง ภายในหกสิบวัน -ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ได้เผยแพร่มติคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ชี้มูลความผิดคดีร่ำรวยผิดปกติ 3 คดี คือ
1. นายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 5,783,958.58 บาท
2. นายบุญเลิศ ต่างสี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลสระโบสถ์ อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 7,225,000 บาท
3. นายประยูร เรียนปิงวัง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลลำปาง อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 14,430,110 บาท
โดย นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ แถลงรายละเอียดดังนี้
@ กรณีคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มอบหมายคณะไต่สวนเบื้องต้นเพื่อดำเนินการไต่สวน กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่านายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 5,783,958.58 บาท
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2553 – 2557 ขณะดำรงตำแหน่งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร นายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นไม่สัมพันธ์กับรายได้ และไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของทรัพย์สินได้ จำนวน 2 รายการ รวมมูลค่า 5,783,958.58 บาท ดังนี้
1. ที่ดินและตึกสองชั้น ตำบลลาดพร้าว อำเภอบางกะปิ จังหวัดกรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนที่มีมูลค่า 1,420,462.06 บาท
2. ที่ดิน ตำบลลาดพร้าว อำเภอบางกะปิ จังหวัดกรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนที่มีมูลค่า 4,363,496.52 บาท
คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พิจารณาแล้วมีมติ ว่า นายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติสืบเนื่องจากการเปรียบเทียบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สิน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 5,783,958.58 บาท
@ กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่านายบุญเลิศ ต่างสี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลสระโบสถ์ อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 7,225,000 บาท
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า เมื่อปี พ.ศ. 2553 – 2556 ขณะดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลสระโบสถ์ นายบุญเลิศ ต่างสี ได้เข้าไปมีส่วนได้เสียในการจัดจ้างโครงการต่างๆ ของเทศบาลตำบลสระโบสถ์ เพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง จำนวน 52 โครงการ มูลค่างานจ้างรวม 47,047,089 บาท โดยระหว่างปี พ.ศ. 2553 – 2558 นายบุญเลิศ ต่างสี และคู่สมรส มีรายได้เป็นเงินเดือนจากทางราชการและธุรกิจส่วนตัว ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมเป็นเงิน 5,968,264 บาท แต่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ไม่สัมพันธ์กับรายได้ และไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาได้ รวมมูลค่า 7,225,000 บาท ดังนี้
1. ห้องแถว จำนวน 7 ห้อง ตั้งอยู่บนที่ดิน น.ส. 3 ก. ตำบลสระโบสถ์ อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี รวมมูลค่า 1,225,000 บาท ซึ่งนายบุญเลิศ ต่างสี เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
2. บ้านไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินตำบลสระโบสถ์ อำเภอสระโบสถ์ จังหวัดลพบุรี มูลค่า 6,000,000 บาท ซึ่งมีพี่สาวของนายบุญเลิศ ต่างสี เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์
คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พิจารณาแล้วมีมติว่า นายบุญเลิศ ต่างสี ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 7,225,000 บาท
@ กรณี นายประยูร เรียนปิงวัง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลลำปาง อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง ร่ำรวยผิดปกติ รวมมูลค่า 14,430,110 บาท
ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า ในระหว่างเดือนมกราคม 2557 ถึงเดือนเมษายน 2560 ขณะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลลำปาง นายประยูร เรียนปิงวัง ได้เบียดบังเงินรายได้ ของโรงเรียนอนุบาลลำปางไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต และนำเงินดังกล่าวไปซื้อทรัพย์สินและชำระหนี้สินหลายรายการ โดยนายประยูร เรียนปิงวัง และคู่สมรส มีรายได้จากการรับราชการปรากฏตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ระหว่างปี 2557 – 2560 รวมเป็นเงิน 4,423,006.82 บาท แต่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ผิดปกติไม่สอดคล้องกับรายได้ และไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาได้ รวมมูลค่า 14,430,110 บาท ดังนี้
1. บ้านพักอาศัย ตั้งอยู่บ้านป่าเหียง หมู่ที่ 1 ตำบลบ่อแฮ้ว อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง โดยมีบุตรเป็นเจ้าบ้านหรือผู้ครอบครอง มูลค่าประมาณ 3,811,000 บาท
2. บ้านพักอาศัย ตั้งอยู่บ้านห้วยเป้ง หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านค่า อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง โดยมีบุคคลใกล้ชิดเป็นเจ้าบ้านหรือผู้ครอบครอง มูลค่าประมาณ 6,592,000 บาท
3. กัญญาการ์เด้นท์โฮม รีสอร์ท ตั้งอยู่บ้านห้วยเป้ง หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านค่า อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง โดยมีบุคคลใกล้ชิดเป็นเจ้าบ้านหรือผู้ครอบครอง มูลค่าประมาณ 1,310,400 บาท
4. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า วีออส โดยมีบุคคลใกล้ชิดเป็นผู้ใช้หรือผู้ครอบครอง มูลค่ารวมเงินจ่ายล่วงหน้า (เงินดาวน์) และค่าเช่าชื้อ เป็นเงินจำนวน 703,322 บาท
5. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า แคมรี่ โดยมีบุคคลใกล้ชิดเป็นผู้ใช้หรือผู้ครอบครอง มูลค่ารวมเงินจ่ายล่วงหน้า (เงินดาวน์) และค่าเช่าชื้อ เป็นเงินจำนวน 2,013,388 บาท
คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พิจารณาแล้วมีมติว่า นายประยูร เรียนปิงวัง ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 14,430,110 บาท
เบื้องต้น ทั้ง 3 คดี คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออก ให้ผู้มีอำนาจสั่งพ้นจากตำแหน่งแล้วแต่กรณี ภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม
หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125
อย่างไรก็ดี การชี้มูลความผิดของคณะกรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ยังไม่สิ้นสุด ผู้ถูกกล่าวหาทุกราย ยังมีสิทธิ์ต่อสู้คดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลได้อีก
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )