สำรวจความหลากหลายของ “ชาตินิยม” แบบใดจึงจะไม่กลายเป็น “ลัทธิคลั่งชาติ”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

“ลัทธิชาตินิยมคืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดของยุคสมัยใหม่” แฮร์ริส ไมโลนัส ผู้ร่วมเขียนหนังสือ Forms of Nationalism และเป็นรองศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน

Article Recordsdata

    • Author, ปณิศา เอมโอชา
    • Role, ผู้สื่อข่าว.

นับตั้งแต่ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา กระแสชาตินิยมของพลเมืองทั้งสองชาติดูจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ

การช่วงชิงคำอธิบายและความชอบธรรมของแต่ละประเทศwบเห็นได้ทั้งในคำปราศรัยของเอกอัครราชทูตแต่ละประเทศ ณ ที่ประชุมระดับนานาชาติ ไปจนถึงคลิปติ๊กตอกระบายความในใจของประชาชนทั่วไป

อย่างไรก็ดี กระแสความรักชาติที่ช่วงแรกดูเป็นการต่อสู้กันระหว่างชาวไทยและชาวกัมพูชา ตอนนี้เริ่มก่อให้เกิดความแตกแยกแม้แต่กับคนไทยด้วยกันเองแล้ว

กรณีล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อสมาชิกวุฒิสภาและอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอย่าง นางอังคณา นีละไพจิตร ออกมาวิจารณ์ที่รัฐบาลไทยปล่อยให้อินฟลูเอนเซอร์การเมืองเข้าไปมีบทบาทกับปฏิบัติการชายแดนมากเกินไป รวมถึงพูดถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนของชาวกัมพูชา

การแสดงความคิดเห็นครั้งนี้ของเธอก่อให้เกิดบทสนทนาที่มีทั้งผู้เห็นพ้องและเห็นต่าง บางคนมองว่าเธอสนใจสวัสดิภาพของชาวกัมพูชามากกว่าคนไทย อย่างไรก็ดี กระแสเห็นต่างดังกล่าวยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อ นายกรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรรายการ “โหนกระแส” เชิญนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กันจอมพลัง” และ นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ไปออกรายการเพื่อวิพากษ์วิจารณ์มุมมองของนักสิทธิมนุษยชนหญิงผู้นี้

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Discontinue of ได้รับความนิยมสูงสุด

ช่วงหนึ่งของบทสนทนา นางมัลลิกา ถึงกับออกปากขับไล่ให้นางอังคณาไปเป็นคนกัมพูชาแทน

“ป้าก็ย้ายไปอยู่กัมพูชาสิ ก็ป้ากำลังจะเป็น สว.กัมพูชา กำลังจะได้โล่จากประเทศกัมพูชาแล้ว… คือการที่เราเป็นคนไทย แล้วปรากฏกัมพูชาชื่นชมคุณ… แล้วคุณลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อชาวกัมพูชา คำถามก็คือ คุณจะย้ายไปอยู่เป็น สว. กัมพูชาแล้วตอนนี้”

สถานการณ์ข้างต้นที่.ไล่เรียงมานั้น สะท้อนชัดว่าประเด็น “ชาตินิยม” ได้กลับมาอยู่ใจกลางบทสนทนาทางการเมืองและในชีวิตคนไทยอีกครั้ง นั่นทำให้ชวนตั้งคำถามว่าสังคมไทยกำลังตกเข้าไปอยู่ในภาวะชาตินิยมสุดโต่งหรือไม่ และผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร

จุดเริ่มต้นของชาตินิยม

ในหนังสือเล่มล่าสุดที่ตีพิมพ์ในปี 2023 ของ รศ.แฮร์ริส ไมโลนัส นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันเชื้อสายกรีก ซึ่งดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ณ มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขียนร่วมกับ ศ.ดร.มายา ทิวดอร์ จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ภายใต้ชื่อว่า “Forms of Nationalism” (อาจแปลเป็นภาษาไทยว่า “ความหลากหลายของชาตินิยม”) ระบุไว้ตั้งแต่หน้าที่ 1 ว่า: “ลัทธิชาตินิยมคืออุดมการณ์ทางการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดของยุคสมัยใหม่”

อย่างไรก็ดี ด้วยความทรงอิทธิพลของมัน ก็อาจทำให้ผู้คนหลงลืมไปว่า แท้จริงแล้ว “ชาตินิยม” เป็นแนวคิดใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน โดยหนังสือเล่มดังกล่าวชี้ว่า แนวคิดนี้ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในยุโรปตะวันตกช่วงต้นยุคสมัยใหม่ ก่อนจะค่อย ๆ แผ่ขยายไปทั่วทวีปยุโรปในศตวรรษที่ 18 และ 19 และได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายเกือบทั่วโลกภายในศตวรรษที่ 20

แม้นี่จะเป็นแนวคิดใหม่ แต่ผู้เขียนก็ย้ำชัดว่า ความรู้สึกว่าชาติเป็น “ชุมชนโบราณ” นั้นยังคงปรากฏอยู่ทั่วไป ทั้งในวาทกรรมสาธารณะเกี่ยวกับชาตินิยม และในงานเขียนทางสังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ว่าด้วยเรื่องของชาติ สาเหตุเป็นเพราะ “การสร้างและระลึกถึงประวัติศาสตร์ คือกระบวนการสำคัญของการสร้างชาตินั่นเอง”

สุดท้ายแล้ว หนังสือเล่มนี้สรุปเอาไว้ว่า ชาตินิยมหรือการเชิดชูชาติ ต้องประกอบไปด้วยแกนหลัก 3 เรื่องคือ

  • การที่ผู้คนร่วมกันรับรู้และเห็นพ้องว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนในจินตนาการ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความจงรักภักดีและความสามัคคี
  • ความต้องการที่จะได้ปกครองหรือมีอำนาจบางส่วนเหนือดินแดนของตนเอง
  • การมีสัญลักษณ์และพิธีกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกถึงและยืนยันความเป็นชุมชนนั้น เช่น อนุสรณ์สถาน พิพิธภัณฑ์ เทศกาล หรือวันสำคัญประจำชาติ

ข้อดีและอันตรายของชาตินิยม

ในการสัมภาษณ์กับ. รศ.ไมโลนัส อธิบายว่า เมื่อประเทศ ๆ หนึ่งเริ่มที่จะสร้างชาติขึ้นมา ยิ่งประเทศเหล่านี้อยู่ท่ามกลางอันตรายจากภายนอก หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีแรงจูงใจมากเท่านั้นที่จะสร้างชาติขึ้นมา พวกเขาต้องปลูกฝังผู้คนว่า “พวกเขาเป็นใคร และควรทำอะไร หากประเทศถูกคุกคาม พวกเขาควรทำอย่างไรเพื่อให้ชาติอยู่รอด ซึ่งในแง่หนึ่ง นี่คือกลยุทธ์การเอาตัวรอดของชาติ”

ในมิตินี้ แนวคิดแบบชาตินิยมจึงเป็นพลังที่ก่อให้เกิดความสามัคคีระหว่างคนในพื้นที่หรือคนในประเทศ ส่งผลให้กลุ่มคนเหล่านี้มีแรงผลักดันในการทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อองค์รวมที่ใหญ่กว่า

“ลัทธิชาตินิยมช่วยแก้ปัญหาการร่วมมือกันของคนหมู่มากได้ มันทำให้ผู้คนสามารถรวมพลังกัน ทำสิ่งที่โดยปกติแล้วอาจไม่มีใครทำได้ด้วยตัวเอง” อาจารย์รัฐศาสตร์ผู้นี้กล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Photos

โปสเตอร์ “We Can Form It!” เป็นหนึ่งในชุดโปสเตอร์ที่ใช้ในการรณรงค์ต่าง ๆ ของคณะกรรมการการผลิตเพื่อสงคราม (Warfare Manufacturing Board) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารการผลิตวัสดุสำหรับสงครามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

แม้จะมีข้อดีและเป็นหนึ่งในตัวช่วยในการสร้างชาติ ทว่า รศ.ไมโลนัส ชี้ว่า แนวคิดแบบชาตินิยมนั้น ถูกอธิบายด้วยคำว่า “Janus-confronted” (อ่านว่า เจนัส-เฟซด์) ซึ่งหมายความถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มีสองด้าน

เขายกตัวอย่างว่า แนวคิดชาตินิยมอาจถูกนำมาใช้เพื่อกีดกัน “คนอื่น” ออกไป ถูกใช้เพื่อสร้างเส้นแบ่งระหว่าง “พวกเรา” กับ “พวกเขา” ทั้งยังถูกใช้โดยพรรคการเมืองในการรวบฐานอำนาจของตัวเอง และบ่อนทำลายคู่แข่งด้วยการกล่าวหาว่าอีกฝ่าย “ไม่รักชาติ” หรือ “ไม่ใช่พวกเดียวกัน”

ดังนั้น ความขัดแย้งรุนแรงที่เกิดจากการใช้แนวคิดชาตินิยมเป็นเครื่องมือจึงอาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองได้

ด้วยเหตุนี้ ชาตินิยมที่ขาหนึ่งเป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ จึงถูกกล่าวในหนังสือ Forms of Nationalism ไว้ด้วยว่า มีความเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับความสยดสยองของสงครามโลกครั้งที่สอง

เมื่อชาตินิยมแบ่ง “เขา” กับ “เรา”

.ถาม รศ.ไมโลนัส ต่อว่า เมื่อแนวคิดชาตินิยมนั้นเปรียบได้กับเหรียญที่มีสองด้าน เช่นนั้นแล้วจุดใดจึงจะถือว่าการใช้แนวคิดนี้ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายและเสี่ยงที่จะเป็นพิษ

เขาตอบว่า คือตอนที่ผู้นำมีปัญหาภายในและใช้ประเด็นชาตินิยมมาเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน

“ไม่จำเป็นต้องเป็นสงครามเต็มรูปแบบ อาจเป็นแค่ความขัดแย้งที่เบี่ยงเบนความสนใจของคุณ ทำให้คุณหยุดพูดถึงเรื่องอัตราการว่างงานหรือเศรษฐกิจ เพราะตอนนี้เรากำลังพูดถึงว่าประเทศเพื่อนบ้านทำผิดต่อเราอย่างไร แล้วเราต้องลงถนนเพื่อแสดงออกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองอย่างไร”

เขากล่าวต่อว่า “ชาตินิยมจะเป็นพิษหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน สำหรับผู้นำแล้ว ชาตินิยมลักษณะนี้ไม่ได้เป็นอันตราย เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายได้ประโยชน์จากมัน แต่สงครามที่ถูกจุดขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเช่นนี้ อาจบานปลายกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบที่ประเทศอาจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ได้ และผู้คนต้องเสียชีวิตในสงครามเหล่านั้น”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

เนื้อหาในหนังสือ Forms of Nationalism กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า แนวคิดแบบชาตินิยมมีความเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับความสยดสยองของสงครามโลกครั้งที่สอง

รศ.ไมโลนัส เสริมว่า “หลายครั้ง ชาตินิยมก็มาพร้อมกับความภาคภูมิใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด เพราะชาตินิยมทุกรูปแบบต่างก็มีความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองเป็นส่วนประกอบอยู่แล้ว แต่บางครั้ง ชาตินิยมบางแบบ ก็แฝงมาด้วยความรู้สึกว่าตนเหนือกว่าคนอื่นด้วยเช่นกัน”

ด้วยเหตุนี้ แนวคิดแบบชาตินิยมจึงอาจถูกนำมาเป็นเครื่องมือทำร้ายผู้อื่นเมื่อมันถูกใช้เป็นตัวกรองในการแบ่งแยก “เขา” กับ “เรา” หรือ “แท้” กับ “เทียม” ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้แม้แต่กับคนในประเทศเดียวกัน

อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือผู้คนต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “ประเทศ” (countries) กับ “แนวคิดชาตินิยม” (nationalism) รวมถึงความต่างระหว่างคำสั่งสอนที่บอกให้ภูมิใจในความเป็นตัวเอง กับการปลูกฝังให้รู้สึกว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น หรือ “ชาติของฉันเหนือกว่าอีกชาติหนึ่ง” เนื่องจากแบบหลังนั้น ในทางรัฐศาสตร์เรียกว่า “ลัทธิคลั่งชาติ” (chauvinism)

รศ.ไมโลนาส อธิบายต่อว่า “เมื่อแนวคิดนี้ลัทธิคลั่งชาติฝังลึก มันอาจส่งผลภายในประเทศเอง เช่น เริ่มมีการมองชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชายขอบว่า “ไม่รักชาติ” หรือถึงขั้นถูกมองว่าเป็นพวกที่หักหลังชาติ เป็นคนนอก ไม่ใช่คนของเรา”

เขายกตัวอย่างกรณีประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ลุกขึ้นมาประกาศกร้าวจะกวาดล้างปราบปรามประชาชนรัสเซียที่ไม่สนับสนุนการทำสงครามกับยูเครน โดยใช้ศัพท์อย่างคำว่า “ffith column” ซึ่งมีความหมายในทำนองการเป็นไส้ศึกหรือผู้ทรยศชาติ

เมื่อชาตินิยมเสี่ยงทำประชาธิปไตยให้กลายเป็นเผด็จการ

“ปัญหาขั้นสุดก็คือ เมื่อชาตินิยมกลายมาเป็นจุดศูนย์กลางของการเมือง ทุกอย่างก็จะเริ่มหมุนรอบคำว่าความภักดี แทนที่จะอยู่บนสถาบัน แทนที่จะอยู่บนกติกาหรือกระบวนการที่เป็นระบบ และเมื่อถึงจุดนั้นลัทธิชาตินิยมอาจเปลี่ยนระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยให้กลายเป็นเผด็จการ โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว ไม่มีใครรู้เลยว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่” รศ.ไมโลนาส ชี้

รศ.ไมโลนัส อธิบายว่า เมื่อนักการเมืองหรือพรรคการเมืองทั้งใช้ประโยชน์จากแนวคิดชาตินิยมเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของปัญหาภายในประเทศอื่น ๆ และผสานมันเข้ากับแนวคิดแบ่งแยกเขาและเรา ซึ่งอาจใช้ในการใส่ร้ายป้ายสีฝั่งตรงข้ามว่า “ไม่รักชาติ” หรือในทำนองเดียวกับว่า “ไม่ใช่ไทยแท้” เมื่อนั้น หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา มันก็สามารถเป็นอันตรายใหญ่หลวงได้

เขากล่าวต่อว่า เมื่อการเมืองดำเนินไปในทิศทางเช่นนี้ มันมักก่อให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงภายในสังคม จนบางครั้งอาจลุกลามไปถึงขั้นสงครามกลางเมือง ซึ่งในอดีตเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในหลายประเทศ

“เหมือนเล่นกับไฟ ไฟน่ะ มันดีตอนที่ให้ความอบอุ่นเราในค่ำคืนที่หนาวเหน็บกลางป่า แต่ถ้าใช้ผิด มันก็สามารถเผาเราได้เหมือนกัน”

ประวัติศาสตร์ยุโรปในศตวรรษที่ 20 ถูกยกเป็นตัวอย่างชัดเจนในหนังสือ Forms of Nationalism ว่าแนวคิดแบบชาตินิยมสามารถจุดชนวนให้เกิดการเลือกปฏิบัติ สงคราม และแม้แต่การฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์ได้

พรรคนาซีเยอรมันหยิบยกลัทธิชาตินิยมแบบเชื้อชาติและภาษาเยอรมันมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้กับการรุกรานประเทศอื่น ๆ และการกวาดล้างชนกลุ่มน้อยภายในประเทศ จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมฮอโลคอสต์

หากจะอ้างอิงถึงตัวอย่างที่ใกล้ปัจจุบันมากขึ้นก็เช่น ชาตินิยมแบบเซอร์เบียถูกนำมาใช้เพื่อปลุกระดมให้เกิดการข่xขืxและสังหารหมู่ชาวมุสลิมบอสเนียอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ นักประวัติศาสตร์ยังชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างชาตินิยมเชื้อชาติในรวันดาซึ่งรับเอาแนวคิดแบ่งแยกทางชาติพันธุ์จากยุคอาณานิคม กับเหตุการณ์ฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์ปี 1994 ที่ชาวฮูตูสังหารเพื่อนร่วมชาติชาวทุตซีของตนเอง

ที่มาของภาพ : Getty Photos

รศ.ไมโลนัส กล่าวว่า ประธานาธิบดี เรเจป ทายยิป แอร์โดอัน แห่งตุรกี คือตัวอย่างของนักการเมืองที่เริ่มต้นเส้นทางอำนาจจากแนวคิดชาตินิยม ก่อนจะค่อย ๆ กลายเป็นระบอบอำนาจนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ

รศ.ไมโลนัส เสริมว่า กลยุทธ์เช่นนี้ยังถูกใช้กับการเมืองในปัจจุบันด้วย โดยยกตัวอย่างประเทศตุรกีภายใต้ผู้นำอย่าง ประธานาธิบดี เรเจป ทายยิป แอร์โดอัน ซึ่งนับจนถึงปัจจุบันอยู่ในอำนาจมาแล้วเกินสองทศวรรษ

เขาอธิบายว่า ประธานาธิบดีแอร์โดอันเริ่มดึงเสียงสนับสนุนผู้คนจากการใช้วาทกรรมแบบชาตินิยมเพื่อท้าทายชนชั้นนำเก่า แต่เมื่อเวลาผ่านไป ระบอบการปกครองของเขาก็เริ่มเปลี่ยนผ่านกลายเป็นระบอบที่ให้ความสำคัญกับ “ความภักดี” มากกว่า “ความรับผิดรับชอบตรวจสอบได้”

เขาเสริมว่า เฉกเช่นเดียวกับประธานาธิบดีปูตินแห่งรัสเซีย ประธานาธิบดีแอร์โดอันใช้กลยุทธ์สร้างวาทกรรมให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ทรยศต่อชาติหรือศัตรูภายใน (fifth column) เช่นเดียวกัน

เขาชี้ว่า นักการเมืองฝ่ายขวามักจะปลุกปั่นความไม่พอใจทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม โดยสร้างภาพของกลุ่มคนในประเทศบางกลุ่มว่า “ไม่จงรักภักดี” หรือ “ทรยศต่อชาติ” เป็นฐานในการสร้างขบวนการประชานิยมทางการเมืองของตนเอง และกลยุทธ์นี้สามารถนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งและการรวมกลุ่มเสียงข้างมากได้จริง

ในบทความของสถาบันคลังสมองคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ (Carnegie Endowment for International Peace) ที่เขียนโดย แอนดรูว์ โอโดโนฮิว ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ตุรกีถือเป็นตัวอย่างคลาสสิกของสิ่งที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า “ระบอบอำนาจนิยมแบบแข่งขัน” (aggressive authoritarian regime) กล่าวคือ เป็นระบบที่รัฐบาลใช้อำนาจรัฐในทางมิชอบ เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้ตัวเอง

กรณีล่าสุดที่เห็นชัดที่สุดคือเมื่อเดือน มี.ค. 2025 ที่ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนสำคัญของตุรกี อย่าง นายเอเครม อิมาโมกลู นายกเทศมนตรีนครอิสตันบูล ถูกจับกุมหลังถูกตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการในคดีทุจริตและให้ความช่วยเหลือองค์กรก่อการร้าย จนทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในประเทศ

อย่างไรก็ดี ตลอดกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีแอร์โดอันได้ก่อร่างสร้างระบบสำคัญมากมายของประเทศให้ขึ้นมาสนับสนุนเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเหตุการพยายามก่อรัฐประหารในปี 2016 เขาสั่งปลดผู้พิพากษามากกว่า 4,000 คน หรือคิดเป็นเกือบ 30% ของผู้พิพากษาทั้งประเทศ และนำผู้ภักดีต่อเขาเข้ามานั่งแทน นอกจากนี้ เขายังเข้าไปปลดตำรวจเกือบ 9,000 นาย และสั่งควบคุมตัวทหารอีกกว่า 10,000 นาย จากเหตุการณ์เดียวกันนั้น

“ชาตินิยม เมื่อถูกใช้จนสุดโต่ง มันสามารถกัดกร่อนกลไกความรับผิดชอบได้ มันสามารถทำลายสถาบันต่าง ๆ และนำไปสู่รูปแบบอำนาจที่เบ็ดเสร็จมากขึ้น และลดทอนความเป็นประชาธิปไตยลง แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นเผด็จการโดยตรงก็ตาม” รศ.ไมโลนาส กล่าว

เขายังเตือนอีกว่า กลยุทธ์นี้กำลังแพร่ขยายกว้างขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยมีโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องขยายเสียงให้วาทกรรมชาตินิยมกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่พรรคการเมืองในประเทศประชาธิปไตยเก่าแก่ ก็หันมาใช้ “คู่มือ” แบบเดียวกันนี้เพื่อรักษาฐานเสียงและอำนาจทางการเมืองของตน

กรณีศึกษาไทย-กัมพูชา: ชาตินิยมไม่ได้เริ่มที่ชายแดน แต่เริ่มในห้องเรียน

เมื่อลองหันกลับมาที่สถานการณ์ของประเทศไทย รศ.ไมโลนัส อธิบายว่า สุดท้ายแล้วแนวคิดชาตินิยมนั้นไม่ได้เริ่มต้นขึ้นจากความขัดแย้งชายแดน ในทางตรงกันข้าม ความขัดแย้งนี้เป็นตัวจุดประกายแนวคิดที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ในโรงเรียน

“ผมจะพูดว่ามันเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน 100% เลย” รศ.ไมโลนัส กล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Photos

“ถ้าคุณสอนประชาชนว่า การมีน้ำใจและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับเพื่อนร่วมชาติเป็นสิ่งสำคัญ แบบนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณสอนพวกเขาไปด้วยว่า พวกเขาดีกว่าหรือเหนือกว่าคนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่า เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น แนวคิดแบบนั้นจะสะท้อนกลับมาทันทีในใจพวกเขา”

ตามทฤษฎีแล้วนั้น การที่ประเทศ ๆ หนึ่งจะสร้างชาติขึ้นมา พวกเขาจะสร้างอัตลักษณ์และบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านโรงเรียน

“ก่อนอื่นเลย พวกเขาจะสร้างโรงเรียนจำนวนมาก จากนั้นก็เริ่มปลูกฝังความคิด พยายามใส่อุดมการณ์เฉพาะลงไปในหัวของผู้คนว่าพวกเขาเป็นใครและควรทำอะไรเพื่อชาติของตน”

เขาวิเคราะห์ต่อไปว่า เด็กไทยที่เรียนประวัติศาสตร์ตามตำราเรียนก็คงมีแนวคิดที่ถูกปลูกฝังเรื่องความเป็นชาติแบบหนึ่ง ขณะที่ชาวกัมพูชาก็มีแนวคิดเรื่องรัฐชาติของตัวเองอีกแบบหนึ่ง ขณะเดียวกันผู้คนจากทั้งสองประเทศก็มีแนวคิดต่อชาติอื่น ๆ หรือประเทศเพื่อนบ้านแตกต่างกันออกไปตามการถูกสั่งสอน

“ผมไม่ได้ต้องการจะฟังดูเหมือนต่อต้านชาตินิยมนะ คือถ้าคุณสอนประชาชนว่า การมีน้ำใจและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับเพื่อนร่วมชาติเป็นสิ่งสำคัญ แบบนั้นก็ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณสอนพวกเขาไปด้วยว่า พวกเขาดีกว่าหรือเหนือกว่าคนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่า เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้น แนวคิดแบบนั้นจะสะท้อนกลับมาทันทีในใจพวกเขา”

“พวกเขาจะคิดว่า นี่แหละคือสิ่งที่ฉันเรียนมาตั้งแต่ประถม ‘คนพวกนั้นกำลังจะมาทำร้ายเรา' ‘เราต้องแสดงให้เห็นว่าเราเหนือกว่า' ‘ที่นี่เป็นของเรา' และอื่น ๆ อีกมากมาย”

ชาตินิยมที่ไม่ละเลยสิทธิมนุษยชน เป็นไปได้ไหม ?

.อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักสิทธิมนุษยชนไทยในช่วงที่ผ่านมาให้ รศ.ไมโลนัส ฟัง และตั้งคำถามว่า เหตุใดเมื่อสังคมตกอยู่ในภาวะชาตินิยมเข้มข้น แนวคิดอย่างการเห็นค่าสิทธิมนุษยชนเหนือความเป็นชาติถึงได้อ่อนแอลง

อาจารย์ด้านรัฐศาสตร์ผู้นี้ตอบเรากลับมาว่า นั่นเป็นเพราะชาตินิยมยืนอยู่บนอารมณ์และความรู้สึกทั้งความภาคภูมิใจ ความกลัว และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งมักจะเข้มข้นและกลบเสียงของเหตุผลเรื่องสิทธิมนุษยชนได้อย่างง่ายดาย

“สิทธิมนุษยชนฟังดูเป็นเรื่องนามธรรม เหมือนสิ่งที่มาจากต่างประเทศ หรือมีใครเอามายัดเยียดให้เรา คำอย่างเสรีภาพในการพูด หรือความเสมอภาค จึงฟังดูไกลตัว แต่คำว่า ‘ทวงคืนวัดของเรา' หรือ ‘ขับไล่คนกลุ่มนั้นออกไป' กลับฟังดูชัดเจน จับต้องได้ และปลุกเร้าอารมณ์ได้ทันที”

“ทั้งหมดนี้ย้อนกลับไปที่เรื่อง ‘การศึกษา' อีกครั้ง ถ้าคุณถูกปลูกฝังให้รู้สึกเช่นนั้นตั้งแต่เด็ก มันจะฝังลึกอยู่ในใจจริง ๆ ลองไปที่หมู่บ้านที่ไม่มีระบบการศึกษาทางการดูสิ พวกเขาอาจไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำ หากคุณถามว่า ‘ชาวกัมพูชาเป็นใคร' หรือ ‘ชาวไทยคือใคร' เพราะแนวคิดอย่าง ‘พรมแดน' หรือ ‘ชาติ' ไม่เคยถูกปลูกฝังในพื้นที่เหล่านั้นมาก่อน”

“อย่างที่เพื่อนร่วมงานของผม คีธ ดาร์เดน เคยอธิบายไว้ การที่คนเราจะเข้าใจแนวคิดนามธรรมเช่นนี้ได้ จำเป็นต้องมีใครสักคน ‘สอน' ให้รู้จักและเข้าใจแนวคิดเหล่านั้นก่อน”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

รศ.ไมโลนัส เสนอว่าแม้จะไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว แต่ไทยและกัมพูชาอาจเริ่มต้นจากการตั้งคณะกรรมการร่วมในการชำระวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ และเข้ามาดูหนังสือเรียนของแต่ละประเทศ และพยายามปรับให้เป็นเรื่องราว “ที่ยึดหลักข้อเท็จจริงมากกว่าการปลูกฝังค่านิยม”

เมื่อเราถามต่อไปว่า ชาติต่าง ๆ ตอนที่เริ่มต้นมาก็มักถูกสร้างขึ้นมาบนแนวคิดของชาตินิยมหรือไม่ และมีชาติใดที่สอนให้ประชาชนยึดหลักสิทธิมนุษยชนเหนือความเป็นชาติของตัวเองหรือ

เขาตอบว่า จริงอยู่ที่โรงเรียนทั่วโลกต่างสั่งสอนเรื่องชาตินิยมเป็นหลักมากกว่า อย่างไรก็ดี ยังมีกรณีตัวอย่างจากประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย อย่างเช่นสวีเดนและนอร์เวย์ ซึ่งตัดสินใจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ว่าจะยุติการปลูกฝังชาตินิยมแบบเข้มข้นในระบบการศึกษา ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศส่วนใหญ่ทำกันในเวลานั้น

ประเทศในกลุ่มนี้หันมาให้ความสำคัญกับการศึกษาระดับโลก ทั้งมิติด้านวัฒนธรรมและการให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและความเป็นมนุษย์ มากกว่าการแบ่งเขตชาติพันธุ์หรือพรมแดน

เขาเสริมว่า ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่นักเคลื่อนไหวหลายคนในประเด็นระดับโลก เช่น ประเด็นสิ่งแวดล้อมหรือสภาพภูมิอากาศ อย่าง เกรียตา ทุนแบรย์ ล้วนมาจากประเทศแถบสแกนดิเนเวีย

“พูดอีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขาเติบโตมาจากระบบการศึกษาที่มีมุมมองแบบสากล (cosmopolitan) มากกว่าจะเป็นแบบชาตินิยม (nationalistic) อย่างเดียว”

ในมุมมองของ รศ.ไมโลนัส การศึกษาคือหัวใจของสรรพสิ่ง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเสนอว่าแม้จะไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว แต่ไทยและกัมพูชาอาจเริ่มต้นจากการตั้งคณะกรรมการร่วมในการชำระวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ และเข้ามาดูหนังสือเรียนของแต่ละประเทศ และพยายามปรับให้เป็นเรื่องราว “ที่ยึดหลักข้อเท็จจริงมากกว่าการปลูกฝังค่านิยม”