
บางจากฯ เปิด “ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลสู้โลกร้อน” โดยภาคเอกชนและพันธมิตร แห่งแรกของประเทศไทย ที่หมู่เกาะหมาก ขยายงานอนุรักษ์ระบบนิเวศหญ้าทะเล ต่อยอดโมเดลการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ส่งเสริมเศรษฐกิจสีน้ำเงินอย่างยั่งยืน
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมกับคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) องค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก และวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิด (กลุ่มอนุรักษ์ปะการัง) เปิด “ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง (ศูนย์หญ้าทะเลสู้โลกร้อน) หมู่เกาะหมาก จังหวัดตราด” โดยภาคเอกชนและหน่วยงานพันธมิตรเพื่อชุมชนท้องถิ่นแห่งแรกของประเทศ สืบเนื่องจากความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลง “การพัฒนาพื้นที่หมู่เกาะหมาก สู่เป้าหมาย Low Carbon Vacation space” เมื่อปี พ.ศ. 2565 เพื่อขยายผลการอนุรักษ์ระบบนิเวศทางทะเลควบคู่กับการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ยกระดับศักยภาพชุมชนในการปรับตัวต่อภาวะโลกร้อน และส่งเสริมเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Financial system) อย่างยั่งยืน
โดยบางจากฯ และพันธมิตรได้ผนึกองค์ความรู้ทางวิชาการเข้ากับภูมิปัญญาท้องถิ่น ผลักดันการวิจัยและฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล จนเกิดผลลัพธ์เป็นรูปธรรม คือ “ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง หรือศูนย์หญ้าทะเล สู้โลกร้อน หมู่เกาะหมาก” เพื่อให้การอนุรักษ์เป็นไปอย่างยั่งยืน พร้อมสามารถขยายผลได้ในระยะยาว ตามข้อตกลงความร่วมมือของพันธมิตรทุกภาคส่วนที่ร่วมรักษาเป้าหมายเกาะหมาก Low Carbon Vacation space อย่างต่อเนื่อง นับจากที่เกาะหมากได้รับการรับรองให้เป็นหนึ่งใน 100 เมืองท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก (Top 100 Green Destinations) เมื่อปีพ.ศ. 2565
นางกลอยตา ณ ถลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจากฯ กล่าวว่า “ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งที่หลายคนอาจมองว่าอยู่ไกลตัว แต่ในความเป็นจริงกลับใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของผู้คนมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะชุมชนที่ดำรงชีพโดยพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศได้อย่างชัดเจน อย่างชุมชนเกาะหมากที่เผชิญกับจำนวนสัตว์น้ำที่ลดลง ต้องออกเรือหาปลาระยะทางไกลขึ้น และปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น สภาวะเหล่านี้สะท้อนถึงความเร่งด่วนของการแก้ไขปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง
การมีส่วนร่วมในโครงการ Low Carbon Vacation space ของบางจากฯ ในฐานะองค์กรผู้นำธุรกิจด้านพลังงานที่มุ่งสู่เป้าหมาย Zero ภายในปีค.ศ. 2050 (พ.ศ. 2593) พร้อมสร้างระบบนิเวศ Zero Ecosystem ที่เกื้อหนุนกันระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จึงสะท้อนความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนานวัตกรรมธุรกิจอย่างอย่างยั่งยืนไปกับสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยบางจากฯ ได้มีภารกิจสร้างความตระหนักรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับ ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดี คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ม.ก.) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเมื่อปีพ.ศ. 2565 บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง “การพัฒนาพื้นที่หมู่เกาะหมาก สู่เป้าหมาย Low Carbon Vacation space” กับคณะประมง ม.ก. และพันธมิตร มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ของแหล่งหญ้าทะเล และสำรวจแนวพื้นที่เพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งได้ก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ ๆ และนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการทำงานที่เน้นการรักษาสมดุลของธรรมชาติ เป็นที่มาของการจัดตั้ง “ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง หมู่เกาะหมาก” หรือศูนย์หญ้าทะเลสู้โลกร้อนโดยภาคเอกชนและพันธมิตรเพื่อชุมชนท้องถิ่นแห่งแรกของประเทศ ดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านหญ้าทะเลในฐานะแหล่ง Blue Carbon ที่มีศักยภาพในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ เปรียบเสมือนการปลูกป่าในทะเล ได้รับความอนุเคราะห์จากทีมงานคณะประมง ม.ก. ทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้กับเครือข่ายในท้องถิ่น ช่วยให้การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศหญ้าทะเลในพื้นที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน อีกทั้งยังมีการใช้พลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนและสะท้อนแนวทางการพัฒนาพื้นที่สู่ Low Carbon Vacation space อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ บางจากฯ คณะประมง ม.ก. และพันธมิตรจะยังคงร่วมกันติดตาม สนับสนุนและให้คำปรึกษาแก่เครือข่ายในพื้นที่ตามความเหมาะสมต่อไป”

นายนล สุวัจจนานนท์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก กล่าวว่า Koh Mak Low Carbon คือ จุดเริ่มต้นที่ทำให้ปัจจุบันเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากการที่อพท. ร่วมกับภาคีเครือข่ายได้ส่งเกาะหมากเข้าประกวดรางวัลระดับโลก โดยได้รับเลือกให้เป็น 1 ในแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน 100 แห่งของโลก (Top 100 Vacation space Sustainability Tales 2022) หัวข้อ “The Scamper to Turn out to be the First Low Carbon Vacation space in Thailand” จากองค์กร Green Vacation space ประเทศเนเธอร์แลนด์ และอันดับ 2 ในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในปี พ.ศ. 2568 จนได้รับการขนานนามว่า Green Vacation space ทำให้ยิ่งต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ต้องยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกบนหมู่เกาะหมากให้ตอบสนองความต้องการและการเติบโตของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย โดยยังรักษาแนวทางการท่องเที่ยวเกาะหมากที่เป็นเอกลักษณ์ และยกระดับมูลค่าการท่องเที่ยวด้วยการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวแบบมีคุณภาพมากขึ้น หรือการท่องเที่ยวในกลุ่ม better earnings เพื่อเพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวไปพร้อมกับความยั่งยืน
นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. กล่าวว่า “อพท. เข้ามาร่วมขับเคลื่อนเกาะหมาก สู่ต้นแบบ Low Carbon Vacation space แห่งแรกของไทยด้วยการนำหลักเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก (Global Sustainable Tourism Standards : GSTC) มาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยเข้าร่วมการบันทึกลงนามความร่วมมือภายใต้ปฏิญญาเกาะหมากจากทั้งภาครััฐ เอกชน และชุมชน ในปี พ.ศ. 2555 เพื่อพัฒนาลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบครบวงจร และ ในปี พ.ศ. 2561 มีการระดมความคิดเห็นผ่านเวทีประชาคมของชาวเกาะหมาก ผู้ประกอบการ และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อหาแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขโดยได้จัดทำเป็น “ธรรมนูญเกาะหมาก” ขึ้นมา จนได้รับเลือกให้เป็น 1 ในแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน 100 แห่งของโลก
นอกจากนี้ อพท. มีเป้าหมายภายในปี พ.ศ. 2570 จะพัฒนาและยกระดับแหล่งท่องเที่ยวต้นแบบของประเทศไทยให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืนนำไปสู่การสร้างความสุข และกระจายรายได้สู่ชุมชน ด้วยการพัฒนาระบบนิเวศและโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่พิเศษอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับดัชนีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการเดินทางและการท่องเที่ยว (Lope & Tourism Model Index: TTDI) ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นด้านทรัพยากรธรรมชาติ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังเช่นการจัดตั้ง “ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลฯ หมู่เกาะหมาก” ในวันนี้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุริยัน ธัญกิจจานุกิจ คณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า “ในนามของคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขอขอบคุณ บมจ. บางจากฯ อบต. เกาะหมาก อพท. กลุ่มวิสาหกิจเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิดและกลุ่มอนุรักษ์ปะการังเกาะหมาก ที่ช่วยในการสนับสนุนการนำงานวิจัยเกี่ยวกับหญ้าทะเลของคณะประมงจากหิ้ง ลงมาสู่การแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างแท้จริง ณ ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลฯ หมู่เกาะหมากแห่งนี้ งานวิชาการทางด้านหญ้าทะเล เรามีความยินดีเป็นอย่างมาก ที่ได้เห็นว่าผลงานการทีมศึกษาวิจัยของคณะประมงที่ได้ดำเนินการมาอย่างยาวนานกว่าสิบปี สามารถนำมาช่วยสนับสนุนด้านวิชาการให้แก่ชุมชนเกาะหมากให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเข้มแข็งมากขึ้น และเป็นต้นแบบของแนวทางฟื้นฟูเพื่อรักษาระบบนิเวศเพื่อโลกของเรา สิ่งที่สำคัญมากก็คือพื้นที่เกาะหมากแห่งนี้ก็จะเป็นโรงเรือนอนุบาลหญ้าทะเลโดยชุมชนแห่งแรกของประเทศ ที่ใช้ต้นกล้าจากการเพาะเมล็ดและเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ โดยรบกวนต้นพันธุ์ในธรรมชาติให้น้อยที่สุด ซึ่งจะช่วยให้การทำงานอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเลในพื้นที่เป็นไปอย่างยั่งยืน และยินดีที่ทุกภาคส่วนจะทำงานร่วมกัน เพื่อติดตาม ให้คำปรึกษาเป็นพี่เลี้ยงกับชุมชนในทางวิชาการเพื่อนำไปสู่ความยั่งยืนของระบบนิเวศต่อไป”
นายนพดล สุทธิธนกูล ประธานกลุ่มวิสาหกิจเกษตรผสมผสานบ้านอ่าวนิด และประธานกลุ่มอนุรักษ์ปะการัง เกาะหมาก กล่าวว่า “รู้สึกยินดี ประทับใจ และขอบคุณพันธมิตรทุกหน่วยงานที่ให้การสนับสนุน ทั้งความรู้ งบประมาณ สถานที่ อีกทั้งยังติดตามเป็นพี่เลี้ยงปฏิบัติงาน เพื่อให้ทีมงานอนุรักษ์สามารถปฏิบัติงานในโรงเรือนได้สมบูรณ์ขึ้น กลุ่มอนุรักษ์ปะการัง เกาะหมาก มีความตั้งใจที่จะเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของทีมงานให้สามารถดูแลทรัพยากรและสภาพแวดล้อมรอบบ้านของตนเองได้มากขึ้น ซึ่งแหล่งหญ้าทะเลและแนวปะการังก็เป็นเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญของคนในชุมชนในการดำรงชีพ ในฐานะประธานกลุ่มอนุรักษ์ฯ มีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องในงานฟื้นฟูหญ้าทะเลและปะการังตามหลักวิชาการ และพัฒนาความร่วมมือเชื่อมโยงกับทุกภาคี เพื่อส่งต่อทรัพยากรให้กับลูกหลานต่อไป”
“ศูนย์เรียนรู้หญ้าทะเลและปะการัง หรือศูนย์หญ้าทะเลสู้โลกร้อน หมู่เกาะหมาก” ไม่เพียงเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด ที่เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ควบคู่กับการสัมผัสวิถีชีวิตชุมชนอย่างใกล้ชิด อีกทั้งยังเป็นต้นแบบแห่งความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อขับเคลื่อน “ชุมชนคาร์บอนต่ำ” ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถต่อยอดแนวทางไปยังพื้นที่อื่นของประเทศได้ และสะท้อนแบรนด์ไอเดียของบางจากฯ “Greenovate to Regenerate สมดุลธรรมชาติ สรรค์พลังไม่สิ้นสุด” มุ่งร่วมฟื้นคืนคุณค่าแห่งธรรมชาติให้กับชุมชนท้องถิ่นและโลกอย่างยั่งยืน
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )











