
“ครั้งสุดท้ายที่ร่วมส่งเสด็จพระองค์ท่าน” เสียงจากหัวใจพสกนิกรเฝ้าส่งเสด็จ ณ โรงพยาบาลจุฬาฯ
ที่มาของภาพ : BBC Thai
“หลังทราบข่าวการเสด็จสวรรคต รู้สึกใจหาย แล้วก็เสียใจอาลัยพระองค์ท่าน ถึงต้องรีบมาเลยค่ะ” นางสมพร นนทวัฒนากุล ชาวนครปฐมวัย 71 ปี ผู้ที่รุดเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครอย่างไม่รั้งรอหลังทราบข่าวการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ด้วยความหวังว่าจะได้ “ส่งเสด็จ” สมเด็จพระพันปีหลวงเป็นครั้งสุดท้าย
“ตอนแรกว่าจะไปที่ท้องสนามหลวงก่อนแต่เขาบอกว่าพระบรมศwของพระองค์ยังประทับที่โรงพยาบาลจุฬาฯ” เธอเล่าให้.ฟังช่วงเที่ยงวันที่ 26 ต.ค. “นึกว่าเขาจะเคลื่อนพระบรมศwตอนเช้าก็เลยนอนที่โรงพยาบาลรอ ปรากฏว่าเขาจะเคลื่อนพระบรมศwของพระองค์ท่าน ตอนเวลาประมาณสี่โมงเย็น (16.00 น.) ก็เลยมายืนเฝ้ารอส่งพระองค์ท่าน ณ สถานที่แห่งนี้ค่ะ”
.มาพบกับนางสมพรบริเวณหัวมุมอาคารอุปการเวชชกิจ ที่เธอยืนอยู่เป็นจุดแรกที่กลุ่มประชาชนไทยจะสามารถมองเห็นขบวนเคลื่อนพระบรมศwจากอาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ได้ ก่อนที่ขบวนดังกล่าวจะเคลื่อนตัวไปยังพระบรมมหาราชวัง
นอกจากนางสมพรแล้ว บริเวณดังกล่าวยังปรากฎประชาชนจำนวนมากร่วมแต่งกายไว้ทุกข์ด้วยการสวมเครื่องแต่งกายสีดำเฝ้ารอรับเสด็จขบวนพระบรมศwเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาล
“ครั้งสุดท้ายที่ร่วมส่งเสด็จพระองค์ท่าน”
หลังสำนักพระราชวังประกาศข่าวการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในช่วงเช้าวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยก็เปิดพื้นที่ให้ประชาชนลงนามแสดงความอาลัย ณ ชั้นล่างอาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของพระองค์จนถึงเวลา 12.00 น. ของวันที่ 26 ต.ค.
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
of ได้รับความนิยมสูงสุด
หนึ่งในผู้ที่ต่อแถวลงนามในช่วงเวลา 10 นาทีสุดท้ายได้แก่ นางสาวณภัทร เครือคล้าย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาซึ่งเดินทางมากับมารดา .พูดคุยกับเธอโดยได้ความยินยอมจากผู้ปกครองแล้ว
“(ตั้งใจ)มาหาพระพันปีหลวงเป็นครั้งสุดท้าย” เธอกล่าวพร้อมระบุว่า “รู้สึกซาบซึ้งทุกสิ่งที่ท่านทำให้กับคนไทย เราเรียนมาว่า พระราชกรณียกิจต่าง ๆ ดีต่อประเทศไทย”
นางสาวณภัทรในชุดนักเรียนติดริบบิ้นสีดำบริเวณหัวไหล่ด้านขวาบอกว่า เธอได้ทำเข็มกลัดริบบิ้นนี้ระหว่างที่เธอเดินทางด้วยรถไฟฟ้า โดยตั้งใจทำแจกบุคคลอื่น ๆ ที่ต้องการแสดงความอาลัย แต่ไม่ได้ใส่เสื้อสีดำมา
นอกจากนางสาวณภัทรแล้ว ประชาชนที่เดินทางมาเฝ้ารอหลายคนบอกว่า ตั้งใจเดินทางมาถึงพื้นที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อเฝ้าติดตามการเคลื่อนขบวนพระบรมศwเนื่องจากมองว่า เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายในการแสดงความจงรักภักดี
ด้านนายพัทธพล รุ่งกิจจิรพงศ์ นักรังสีการแพทย์วัย 23 ปี กล่าวว่า “รู้สึกว่าเราควรจะมาส่งท่านเพราะว่าท่านเหน็ดเหนื่อยมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ท่านแล้ว ก็เลยคิดว่าควรมาส่งเสด็จพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย”
ขณะที่นายณณัฏฐ์ สายธนู พนักงานโรงแรมวัยเดียวกันซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ นายพัทธพล บอกว่า ตนลางานขึ้นบ่ายเพื่อเดินทางมายังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์โดยเฉพาะ พร้อมทั้งเสริมว่าโอกาสนี้ยังเป็นไม่กี่ครั้งที่จะได้เห็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่เดินทางมาด้วยตาตนเอง
อีกบริเวณหนึ่งใกล้ทางออกประตู 16 ของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เราได้พบกับ นางดาวดวงใจ ปาลาเล ประธานฝ่ายกิจการสตรีและเยาวชน กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยและนายกสมาคม สมาพันธ์สตรีมุสลิมแห่งประเทศไทย ซึ่งเดินทางมาพร้อมกลุ่มสตรีมุสลิมในชุดฮิญาบสีดำกล่าวกับ.ว่า “รู้สึกเสียใจ แต่ว่าในหลักการศาสนาของเราก็ ก็สอนอยู่ตลอดว่ามันจะต้องมีวันนี้สำหรับทุกคน เราก็พยายามที่จะทำใจและมาในวันนี้ก็เพื่อที่จะมาแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และก็โดยเฉพาะพระพันปีหลวงของเรา”
ที่มาของภาพ : BBC Thai
ถัดออกไปที่ริมรั้วถนนอังรีดูนังต์ ซึ่งประชาชนนั่งจับจองพื้นที่ยาวไปจนถึงแยกตัดถนนพระรามสี่ เราพบกับนางสวัสดิ์ สารภี วัย 70 นั่งอยู่พร้อมลูกชายและสามี เธอเป็นชาว อ.กัณทรลักษณ์ จ.ศรีษะเกษ แต่พวกเขาเดินทางมาจากบ้านพักที่ จ.สมุทรปราการ และมาเฝ้ารอริมถนนอังรีดูนังต์ตั้งแต่เวลา 7-8 นาฬิกา ด้วยท่านั่งพับเพียบรอรับเสด็จบนเสื่อที่ปูบนบาทวิถี
“ร้อนก็ทน อยู่บ้านทำไร่ทำนาร้อนกว่านี้ ตากแดดลุยน้ำลุยฝน (รอ)แค่นี้ไม่เป็นไร” เธอระบุพร้อมชูรูปพระบรมฉายาลักษณ์ที่เตรียมมาก่อนกล่าวเสริมว่า “อยากมารับเสด็จท่าน แค่พอได้เห็นเสด็จออกมาก็พอ”
เธอยังบอกกับ.ว่า ครั้งงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศwพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้นเธออยู่ที่ท้องสนามหลวงถึงสามวันสามคืน โดยระบุว่า “จนเพิ่น(ท่าน)เผาแล้วถึงได้กลับกันทรลักษณ์”
ที่มาของภาพ : BBC Thai
“พระองค์ท่านทรงคือแม่ของแผ่นดิน”
“พระองค์ท่านทรงมีพระเมตตาอย่างหาที่สุดไม่ได้กับพวกเราชาวไทยมุสลิม พระองค์ท่านทรงเสด็จฯ มาหาพวกเราถึงแม้ว่าจะเป็นถิ่นห่างไกล ทุรกันดาร พระองค์ท่านก็เสด็จฯ ” เธอระบุพร้อมชี้ว่า สมเด็จพระพันปีหลวงได้ทรงส่งเสริมอาชีพจนสตรีมุสลิมสามารถที่จะมีอาชีพที่มั่นคงดูแลครอบครัวได้
ส่วนนางสวัสดิ์ ซึ่งสวมชุดประจำถิ่นของศรีสะเกษกล่าวถึงความรู้สึกของตนว่า รู้สึกใกล้ชิดกับสมเด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงเปรียบ “เหมือนพ่อเหมือนแม่”
ขณะที่นายเรือง สารภี สามีของเธอวัย 78 ปี ที่เดินทางมาพร้อมกันเปิดเผยว่า เขารู้สึก “ศรัทธาขึ้นในใจ” โดยศรัทธาต่อพระราชกรณียกิจของพระองค์ ที่ทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อครั้งยังทรงครองราชย์
“ท่านเคยไปศรีษะเกษ” เรืองระบุความทรงจำของตนโดยย้อนรำลึกถึงการเสด็จประพาสของพระมหากษัตริย์และพระราชินีในอดีตโดยเชื่อมโยงกับบ้านเกิดของตน ทั้งนี้ ในปี 2568 จังหวัดศรีสะเกษเคยจัดงานครบรอบ 60 ปี การเสด็จประพาสศรีสะเกษของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อปี 2498
ความทรงจำของนายเรืองก็ไม่ได้แตกต่างจากกับความทรงจำของนางสมพรมากนัก ที่มีภาพจำต่อสมเด็จพระพันปีหลวง กับที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณีกิจในต่างจังหวัด เธอบรรยายว่า “พระองค์ท่านตามเสด็จ ร.9 ไปทุกหนทุกแห่ง ในสถานที่ทุรกันดารพระองค์ท่านก็เสด็จฯ ไป เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยเรามีแต่ความสุข”
ที่มาของภาพ : BBC Thai
ในบรรดาผู้ที่ตั้งใจมาส่งเสด็จสมเด็จพระพันปีหลวง ยังมีกลุ่มคนรุ่นใหม่รวมอยู่ด้วย อย่างนางสาวณภัทรระบุว่าประทับใจในพระราชกรณียกิจด้านการทำนุบำรุงศิลปะไทย “หนูชอบที่ท่านตรัสว่า ถ้าไม่มีใครดูโขน แม่จะดูเอง เพราะว่าหนูเป็นสายชอบดูโขน”
ส่วนนายณณัฏฐ์ สายธนู หนึ่งในผู้มาร่วมส่งเสด็จในวันนี้ กล่าวว่าแม้จะเกิดมาในยุคที่สมเด็จพระพันปีหลวงทรงมีพระชันษามากแล้ว แต่ก็มีโอกาสได้เห็นพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ของพระองค์จากการปลูกฝังของโรงเรียนและครอบครัว สำหรับเขาแล้วหนึ่งในพระราชกรณียกิจที่โดดเด่นคือ การปรากฎพระองค์ในฉลองพระองค์ที่สวยงาม
“แฟชั่นของพระองค์อยู่เหนือกาลเวลามาก ไม่ว่าจะเสด็จประพาสในต่างประเทศที่ไหนก็พยายามที่จะฉลองพระองค์ด้วยชุดไทยของเราเพื่อให้ออกสู่สายตาชาวโลก” ขณะที่นายพัทธพล รุ่งกิจจิรพงศ์ เพื่อนของนายณณัฏฐ์เชื่อว่า การปรากฎพระองค์ในฉลองพระองค์นั้นเป็นการ “สร้างอัตลักษณ์ความเป็นไทย”
ที่มาของภาพ : BBC Thai
“ต่อจากนี้ไปประเทศไทยก็คงจะคิดถึงท่านมาก ๆ เลยค่ะ” นางสาวณภัทรกล่าว “แล้วก็คิดถึง ร.9 ด้วย”
นายพัทธพลเปิดเผยว่า เขารู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระพันปีหลวงครั้งนี้ “เป็นจุดจบของยุคสมัยที่เราโตมา”
ส่วนนางสมพรกล่าวทิ้งทายว่า “ยังมี ในหลวง รัชกาลที่ 10 ที่ยังทรงเป็นเสาหลักของหัวใจของประชาชนชาวไทย ไปตราบนานเท่านาน รวมทั้งพระราชินีสุทิดาด้วย ทั้งสองพระองค์ก็ทรงเปรียบเหมือนว่ามาเป็นพ่อและเป็นแม่ของแผ่นดินคนไทย ต่อสืบเนื่องมาจากในหลวง รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระพันปีหลวง”
ที่มาของภาพ : AFP through Getty Pictures
ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ที่มา BBC.co.uk












