
ดีอีเอส-ตำรวจ แถลงผลกวาดล้างอาชญากรรมไซเบอร์ 1-26 ต.ค. ยึดทรัพย์กว่า 522 ล้านบาท ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งเป้า 6 เดือน คดีต้องลด พร้อมคุมเข้ม ‘ซิมบ็อกซ์'-จำกัด 5 ซิมต่อคน ยันฟันไม่เลี้ยงแม้เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หลังพบ รอง ผู้กำกับ เอี่ยวบัญชีม้า
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2568 นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการระดมกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมทางไซเบอร์ หรือ “แก๊งสแกมเมอร์” อย่างเต็มรูปแบบ โดยประกาศยกระดับการแก้ไขปัญหานี้ให้เป็น “วาระแห่งชาติ” พร้อมเปิดเผยผลการปฏิบัติการในช่วง 1-26 ตุลาคม ที่สามารถติดตามยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำผิดได้กว่า 522 ล้านบาท โดยมีการตั้งเป้าหมายเชิงรูปธรรมคือ ภายใน 6 เดือน จำนวนการแจ้งความคดีออนไลน์จะต้องลดลงจากเดิม ที่ปัจจุบันมีประชาชนเข้าแจ้งความกว่า 1,000 คดีต่อวัน และสร้างความเสียหายกว่าหนึ่งร้อยล้านบาทต่อวัน
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงผลการระดมกำลังกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฉ้อโกงออนไลน์ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา (1-26 ต.ค.) ว่า สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้รวม 73 ราย แบ่งเป็นคนไทย 52 ราย (หรือ 51 ราย) และต่างชาติ 22 ราย โดยรวมมูลค่าความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับคดีเหล่านี้สูงกว่า 1,400 ล้านบาท และมีการช่วยเหลือเหยื่อได้ 7 เคส
พล.ต.ท.จิรภพ ยอมรับว่า ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สแกมเมอร์ และคอลเซ็นเตอร์ มีจำนวนมากและเป็นภัยต่อโลก แต่ยืนยันว่า ผลงานการกวาดล้างในช่วงที่ผ่านมาถือว่าก้าวหน้าและเห็นผล แต่ก็ยังคงต้องทำต่อเนื่อง
พล.ต.ท.จิรภพ ยอมรับตามข้อมูลที่ประสานมาจากประเทศเกาหลีใต้ว่า มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ในประเทศไทยจริง แต่เน้นย้ำว่า ฐานปฏิบัติการของแก๊งเหล่านี้ในประเทศไทยไม่ได้มีความใหญ่โตเหมือนกรณีในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเป็นเพียงการแฝงตัวตามที่พักอาศัย และผู้กระทำผิดส่วนใหญ่มักเป็นคนจีนที่ลักลอบเข้ามาในไทยผ่านเส้นทางธรรมชาติ และใช้ชื่อคนไทยในการเช่าบ้าน
พล.ต.ท.จิรภพ ชี้แจงว่า ประเทศไทยไม่ได้เป็นฐานปฏิบัติการหลัก แต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการลวงลวง และถูกมองว่าเป็นทางผ่านไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านเพื่อก่ออาชญากรรม ในขณะเดียวกัน มีการตรวจจับและยึดอุปกรณ์ ซิมบ็อกซ์ (Sim Field) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้มีข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับเครือข่ายในประเทศเพื่อนบ้าน และไม่สามารถทำงานได้ลำพัง แต่ต้องอาศัยสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ส่งมาจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแปลงเป็นสัญญาณโทรศัพท์ในการลวงลวงเหยื่อได้
ในด้านการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่งส่งจดหมายไปยังกัมพูชา เพื่อขอความร่วมมือติดตามที่อยู่ IP แอดเดรส, คอมพิวเตอร์ที่เข้าข่ายการก่อเหตุ, เส้นทางการเงิน, และผู้ร่วมปฏิบัติการจากประเทศอื่น พล.ต.ท.จิรภพ เสริมว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการได้รับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยอมรับว่าการส่งข้อมูลต้องระมัดระวัง เพราะที่ผ่านมาเคยเกิดเหตุการณ์ที่ข้อมูลรั่วไหลจนทำให้เกิดการแตกตื่นและมีการหลบหนี
นโยบายควบคุมซิมบ็อกซ์และจำกัดจำนวนซิมต่อคน
ด้าน นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ขยายความถึงมาตรการควบคุมอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง โดยระบุว่า ตัวอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์ที่ขายในตลาดทั่วไปไม่ใช่ความผิด แต่ การสั่งซื้อนำเข้าซิมบ็อกซ์ที่ประกอบการแล้วถือเป็นการผิดกฎหมาย ทั้งนี้ เนื่องจากบางหน่วยงาน เช่น คอลเซ็นเตอร์ของธนาคารที่มีใบอนุญาต มีความจำเป็นต้องใช้ซิมบ็อกซ์ นายไชยชนกจึงสั่งการให้ปลัดกระทรวงฯ เข้าประชุมเพื่อพิจารณาว่า การนำเข้าอุปกรณ์ซิมบ็อกซ์แบบแยกชิ้นส่วนจะมีกฎหมายใดควบคุมได้หรือไม่ เนื่องจากทุกการสั่งซื้อมีระบบติดตาม (monitoring)
นอกจากนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบสแกมเมอร์ดำเนินต่อไปได้ นโยบายส่วนหนึ่งคือการจำกัดปริมาณซิมต่อบุคคล โดยกำหนดไม่เกิน 5 เบอร์ต่อคน และต้องตรวจสอบการลงทะเบียนอย่างเคร่งครัด โดยได้ให้ กสทช. ไปหารือกับผู้ประกอบการโทรศัพท์เพื่อดำเนินการเรื่องนี้ มาตรการป้องกันอื่น ๆ ที่ดำเนินการไปแล้วคือการปิดกั้นแพลตฟอร์มออนไลน์กว่า 2,754 URL
นายไชยชนก กล่าวย้ำว่า อาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ถูกยกระดับเป็น “วาระระดับโลก” ที่หลายประเทศให้ความตระหนักและแก้ไขปัญหา โดยตนได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมทางไซเบอร์ ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ซึ่งมี 68 ประเทศและสหภาพยุโรปเข้าร่วม วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดคือการร่วมมือกันระหว่างประเทศในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอาชญากรรมทางไซเบอร์ ประเทศกัมพูชาเองก็เข้าร่วมประชุมดังกล่าวด้วย
นายไชยชนก กล่าวถึงการประชุมระดับคณะกรรมการชายแดนร่วม (JBC) ว่า ประเด็นสแกมเมอร์ถูกจัดเป็นเงื่อนไขที่ประเทศเพื่อนบ้านต้องร่วมมือกับไทย ซึ่งทุกฝ่ายพยายามทำอย่างระมัดระวัง แต่หากมีการละเมิดในประเด็น JBC ครั้งนี้อีก ก็คงจะเป็นเหมือน “ฟางเส้นสุดท้ายของประเทศไทย”
ดำเนินคดีเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ยืนยันไม่มีการละเว้น
ในการปฏิบัติการกวาดล้างครั้งนี้ พบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ในตำแหน่ง รองผู้กำกับการสอบสวน ในพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (สน.ดอนเมือง) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการร่วมเปิดบัญชีม้า และมีเงินหมุนเวียนหลัก 100 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวถูกจับกุมและอยู่ระหว่างการดำเนินคดีทางกฎหมาย โดยมีรายงานว่าเขาปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของคอกบัญชีม้ารับเงิน และแม้จะได้รับการประกันตัวในชั้นศาลไปแล้ว พล.ต.ท.จิรภพ ยืนยันว่า หากพบข้าราชการรายเล็กหรือรายใหญ่ หากมีความเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จะถูกจับกุมและดำเนินคดีทุกราย
นายไชยชนก ย้ำจุดยืนต่อเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายการเมืองว่า ตนได้ประกาศในเวทีโลกว่าจะดำเนินการตามกฎหมายในเรื่องนี้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกับเจ้าหน้าที่รัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะต้องรวมถึงฝ่ายการเมืองด้วย
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่านักการเมืองอักษรย่อ ช. อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์กัมพูชา นายไชยชนก กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าเป็นใคร แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ “ไชยชนก” และระบุว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ “ใหญ่กว่าเราทุกคน ใหญ่กว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) และใหญ่กว่ารัฐบาล” เพราะความเสียหายที่แท้จริงอาจมากกว่าที่ได้รับรายงานมามาก เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ได้รายงานหรือยอมรับชะตากรรม หากพบฝ่ายการเมืองคนใดเกี่ยวข้องจริง ก็สมควรถูกร้องและดำเนินคดีอย่างเต็มที่
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )













