
‘เอกนิติ-ธนกร-ปกรณ์’ ออกโรงแจง MOU แร่หายาก (uncommon earth) ที่ทำกับสหรัฐอเมริกา ระบุชัดเป็นข้อตกลง ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลผูกพัน ชี้นักลงทุนยังต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ระบุไว้ รองนายกฯเผยอีกเตรียมหารือผู้แทนการค้าเมกา หลังศาลฎีกาเมืองมะกันเตรียมพิพากษานโยบาย ‘ภาษีทรัมป์’ 5 พ.ย.นี้
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 28 ตุลาคม 2568 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง พร้อมด้วยนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่วมกันแถลงเรื่องการลงนามข้อตกลงเรื่องแร่หายาก (uncommon earth) กับสหรัฐอเมริกา
@เป็นข้อตกลง ไม่ใช่ กฎหมาย ทำกับประเทศอื่นๆได้ด้วย
นายเอกนิติ เริ่มต้นว่า ที่ประชุม ครม.ในวันนี้ได้รับทราบมติ ครม.ว่าด้วยบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) เกี่ยวกับแร่หายากซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า “MOU pertaining to Cooperation to diversify world Mineral present chain and promote funding กับสหรัฐฯ MOU ฉบับนี้ถือเป็น Memorandum of Working out ซึ่งเป็นข้อตกลงความเข้าใจร่วมกัน ไม่ใช่กฎหมาย ถือเป็นความร่วมมือกันในการพิจารณาเรื่องการสร้างห่วงโซ่อุปทาน (present chain) และส่งเสริมการลงทุนเกี่ยวกับแร่หายาก และไม่ใช่สิทธิ์ผูกขาด (uncommon ethical) สำหรับประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยสามารถทำได้กับประเทศใด ๆ ก็ตามที่มีความชำนาญและเชี่ยวชาญเรื่องนี้
สำหรับวัตถุประสงค์หลักของความตกลงนี้คือการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานแร่หาอยาก โดยครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาและขยายโซ่อุปทานแร่หาอยาก และส่งเสริมการค้า การลงทุน ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่ การสำรวจ การสกัด การแปรรูป การกลั่น การรีไซเคิล และการกู้คืนแร่หายากเพื่อใช้ประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนที่สนับสนุนการสร้างมูลค่าเพิ่มและอุตสาหกรรม การสกัดสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่ตลาด เพื่อให้แร่หาอยากสามารถนำออกมาใช้สู่ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย โปร่งใส รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังเปิดขอบเขตความร่วมมือหลายด้านระหว่าง ไทย-สหรัฐฯ ได้แก่
1. การแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิค เกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในระดับสากล (Worldwide simplest prepare) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
2. การสร้างกลไกความร่วมมือร่วมกัน เช่น การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) สัมมนา และการดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
3. การให้ความสำคัญในเรื่องของ แนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบที่ดี (Perfect Regulatory Apply) เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การออกใบอนุญาต และการลดขั้นตอน
4. การแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างกันเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ และในเรื่องของ ราคา สินค้า (Rare Earth) ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นที่ต้องการในตลาดโลก
และ 5. การประสานงานในการ คุ้มครองตลาดโดยอิงกลไกตลาด (Market Oriented Coverage) การปฏิบัติการค้าอย่างเป็นธรรม (Enticing Switch) และการกำหนดมาตรฐานในระดับสูง (Excessive Customary Market) ซึ่งจะทำให้เกิดกลไกการกำหนดราคาและการทำตามมาตรฐานสากล และสหรัฐอเมริกาได้เปิดช่องในเอกสารแนบที่เรียกว่า “appendic ที่ 3” ซึ่งอนุญาตให้ประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีสามารถเจรจาต่อรองเพื่อนำสินค้าหรือบริการบางประเภทไปรับ สิทธิพิเศษ ได้ โดยสิทธิพิเศษนี้อาจเป็นการ ยกเว้นจากภาษี 19% ในกรอบใหญ่ หรืออาจเป็นการ ลดภาษีในบางส่วน ของสินค้าเป็นรายรายการ การเจรจานี้เป็นยุทธศาสตร์ที่ดำเนินการร่วมกับทีมกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน
“ผลการเจรจา ซึ่งขณะนี้เป็นกรอบการเจรจาหรือเฟรมเวิร์คค่อนข้างเป็นบวกสำหรับประเทศไทย เนื่องจากอาเซียนส่วนใหญ่ต้องเผชิญภาษีประมาณ 19% (เวียดนาม 20%) หากสามารถเจรจาได้สำเร็จจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย”นายเอกนิติกล่าว
@จ่อหารือผู้แทนการค้าสหรัฐฯ 5 พ.ย.ชี้ชะตาภาษีทรัมป์
เมื่อถามถึงกรณีที่ศาลฎีกาสหรัฐฯ จะตัดสินกรณีภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5พ.ย.เรื่องภาษีที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศนั้น นายเอกนิติกล่าวว่า ปัจจุบันโลกหมุนเร็วมาก และการติดตามความคืบหน้าเป็นกลยุทธ์ในการเจรจาเป็นเรื่องที่รัฐบาลทำต่อเนื่อง และขณะที่นี้อยู่ระหว่างนัดหมายกับผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ในการเจรจาเพิ่มเติมต่อไป

เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
@กฤษฎีกายัน MOU ไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย ไม่ได้ยกเลิกสิทธิ์ในการผลิต
ด้านนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวว่า รายละเอียด MOU ฉบับนี้ ที่ประชุม ครม.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบเรื่องนี้แล้ว ทั้งนี้ ข้อความที่ออกไปตามสื่อมีการตีความข้อความผิดจากความจริงไปหลายส่วนซึ่งต้องแปลจากภาษาอังกฤษโดยตรง การอ่านเอกสารเช่นนี้ต้องใช้ความระมัดระวัง และแนะนำให้อ่านตัวภาษาอังกฤษจะดีกว่า ถ้าลองกดแปลจากเอไอแล้วมันแปลโดยสรุป ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้มาก
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกากล่าวต่อว่า โดยหลักการแล้วถ้อยคำที่ใช้ในข้อตกลงนั้น มีการใช้ถ้อยคำที่ชัดเจนว่า ไม่ได้เป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย และไม่ได้เป็นการจะยกสิทธิ์ในการผลิต หรือในเหมืองแร่ให้กับสหรัฐฯ เหมือนที่มีการเข้าใจผิด เพราะหากมีการพบแหล่งแร่หายากในอนาคต นักลงทุนจากสหรัฐฯก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแร่เหมือนกับประเทศอื่นๆ โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบคือกรมทรัพยากรเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม ต้องเปิดประมูลและรัฐบาลจะเลือกจากนักลงทุนที่ยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับรัฐบาลทั้งในเรื่องผลตอบแทนและเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งในเรื่องสิ่งแวดล้อมนี้เข้าใจว่าเป็นประเด็นที่สังคมเป็นห่วงเพราะมีประเด็นเรื่องเหมืองแร่หายากที่มีปัญหาในเมียนมาและปล่อยมลพิษลงในแม่น้ำกกซึ่งเรื่องนี้ได้มีการหารือกันในการประชุม ครม.แล้วและไทยเราจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้หากมีการลงทุนแร่หายากในไทย
สำหรับประเด็นความแตกต่างระหว่างประเทศและการตีความคำศัพท์ทางกฎหมายในเอ็มโอยูฉบับนี้ เลขาธิการกฤษฎีการะบุว่า ความหมายเชิงกฎหมายและสถานะของเอ็มโอยูใช้คำว่า “participant” (ผู้ภาคี) คือผู้ที่มีความร่วมมือกันในการดำเนินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง กรอบในการตกลงยึดตามหลักการทำธุรกิจขององค์การการค้าระหว่างประเทศ (WTO) คือความเท่าเทียมกันเอ็มโอยูนี้เขียนไว้ชัดเจนว่าไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 และไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเพียงเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาที่จะร่วมมือกันพัฒนาแร่สำคัญ (serious Mineral) ซึ่งรวมถึง “Rare Earth” ด้วย สำหรับการดำเนินการใดๆ ตามMOU นี้ จะต้องเป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบของไทย*ในกรณีที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย และต้องปฏิบัติตามกฎหมายของเขาเช่นกันหากเราไปลงทุนที่สหรัฐอเมริกา
ส่วนการตีความคำว่า “participant possess first opportunity to make investments” โดยการใช้คำว่า “First opportunity to make investments” นั้น นายปกรณ์ระบุว่า หมายความว่าเป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกันในฐานะที่เป็นคู่สัญญา แต่ในการดำเนินการนั้น จะต้องเป็นไปตามกฎหมายภายในประเทศ (domestic legislation)
“สำหรับประเทศไทย กฎหมายแร่ของเรากำหนดไว้ว่า จะต้องมีการเปิดประมูลโดยวิธีการที่เสรีและเป็นธรรม สอดคล้องกับหลักของ WTO นอกจากนั้นไทยกับสหรัฐอเมริกา มี Treaty of Amity สนธิสัญญาไมตรี ที่ทำกันมาตั้งแต่ปี 1976 แล้วซึ่งทำให้คนอเมริกันถูกปฏิบัติเหมือนคนชาติของเราเอง ดังนั้นคนอเมริกันไม่ได้มีแต้มต่ออะไรในเรื่องนี้” นายปกรณ์ระบุ
@แนวปฏิบัติตาม MOU คือการยกระดับเข้าร่วม OECD
สำหรับแนวทางปฏิบัตินั้น นายปกรณ์อธิบายว่า เรื่อง Perfect Regulatory Apply (GRP) ที่เป็นเรื่องแนวปฏิบัติ (prepare) ที่มีการเขียนไว้ใน MOU นั้น จริง ๆ แล้วเป็นเป้าหมายของประเทศไทยในการเข้าสู่ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD )อยู่แล้ว โดยสิ่งนี้เป็นหลักสากลเรื่อง Perfect Regulatory Practices และไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับสหรัฐอเมริกาเป็นการเฉพาะ ประเทศไทยกำลังดำเนินการเรื่องนี้อย่างเข้มข้น เพื่อยกระดับคุณภาพกฎหมายและเพื่อให้สามารถทำความตกลงทางการค้าและการลงทุนกับประเทศอื่นได้

ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
ขณะที่นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยไม่มีเหมืองแร่หายาก และจากข้อมูลเบื้องต้น ยังไม่มีแหล่งที่มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ การลงนาม MOU นี้จะช่วยส่งเสริมความมั่นคงและความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญในประเทศไทย ทั้งด้านการสำรวจ และการใช้ประโยชน์แร่ธาตุที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม เช่น พลังงานสะอาดและรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
“ความร่วมมือนี้เป็นประโยชน์ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีเสถียรภาพสำหรับการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และจะได้รับประโยชน์จากการ แลกเปลี่ยนข้อมูลและถ่ายทอดเทคโนโลยีในประเทศไทยต่อไป” นายธนกรระบุ
นายธนกรกล่าวต่อว่าบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมาย และหากจะมีการลงทุนในประเทศไทยจริง ผู้ประกอบการจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของไทยรวมถึงมาตรการในการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนด้วย
อ่านประกอบ
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )












