
“มิติย้อนแย้งของความกลัว” หนังสยองขวัญช่วยให้เราคลายกังวลได้อย่างไร
ที่มาของภาพ : Serenity Strull/ BBC
Article Knowledge
-
- Creator, เดวิด ร็อบสัน
- Role, บีบีซี ฟิวเจอร์
ในตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่น หลายคนชื่นชอบการนัดรวมตัวดูหนังกับเพื่อนที่บ้านในยามค่ำคืน บางคนจินตนาการว่ากิจกรรมแบบนี้น่าจะสนุกไม่น้อย แต่แล้วก็ผิดคาด เพราะเพื่อนพกดีวีดีหนังสยองขวัญเรื่อง “หมอผีเอ็กซอร์ซิสต์” (The Exorcist) มาสร้างความหวาดกลัวชนิดที่ต้องนั่งปิดตากันเกือบตลอดเรื่องแทน และทุกครั้งที่สะดุ้งโหยงจนตัวลอยจากเก้าอี้ ก็ชวนให้อดคิดแปลกใจไม่ได้ว่า การรับชมเรื่องที่น่ากลัวแบบนี้มันสนุกตรงไหนกัน
แต่เชื่อหรือไม่ว่า ในอดีตที่ผ่านมาเหล่านักปรัชญาและนักจิตวิทยา ต่างก็เคยหมกมุ่นครุ่นคิดถึงคำถามข้างต้นด้วยเช่นกัน และหากคิดตามตรรกะเหตุผลโดยปกติทั่วไปแล้ว อารมณ์ความรู้สึกที่หวาดกลัวต่อสิ่งสยองขวัญต่าง ๆ เป็นผลมาจากวิวัฒนาการ ซึ่งจะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตราย ทั้งต่อสวัสดิภาพของตนเองและคนรอบข้าง ความกลัวยังกระตุ้นให้ร่างกายและจิตใจเกิดปฏิกิริยาตอบสนองแบบ “สู้หรือหนี” อีกด้วย
ในเทศกาลฮาโลวีนที่กำลังจะมาถึงนี้ หลายคนอาจมีแผนจะทำตัวให้เข้ากับบรรยากาศ ด้วยการเสพหนังสยองขวัญแบบมาราธอน และเลือกชมภาพยนตร์ที่ปลุกเร้าความกลัวจนใจเต้นแทบจะทะลุหน้าอกออกมา ไม่ว่าจะเป็นหนังแนวผีดิบซอมบี้ล้างโลก หรือหนังฆาตกรรมสุดโหดที่เลืoดไหลนองท่วมหน้าจอก็ตาม ซึ่งต้องยอมรับว่า คนจำนวนไม่น้อยชื่นชอบอารมณ์หวาดกลัวที่เย็นยะเยือกถึงกระดูกสันหลัง จนทำให้หนังแนวสยองขวัญสามารถทำรายได้สูงสุด ในบรรดาภาพยนตร์ฮอลลีวูดแนวต่าง ๆ ดร.มาร์ก มิลเลอร์ นักวิจัยประจำมหาวิทยาลัยโมนาชของออสเตรเลีย และมหาวิทยาลัยโทรอนโตของแคนาดา บอกว่า “ความย้อนแย้งเกี่ยวกับเรื่องสยองขวัญ ที่คนยิ่งกลัวก็ยิ่งชอบเสพเรื่องแนวดังกล่าวนั้น เป็นปริศนาที่มีมานานมากแล้ว แม้แต่อริสโตเติลยังเคยเอ่ยปากว่า มันช่างน่าประหลาดที่มนุษย์ซึ่งถูกธรรมชาติกำหนดมาให้หลีกหนีอันตราย, สิ่งน่าขยะแขยง, และความสยดสยองต่าง ๆ กลับถูกดึงดูดยั่วเย้าใจให้เข้าใกล้สิ่งน่ากลัวเหล่านี้อยู่เสมอ”
ที่มาของภาพ : Getty Photos
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา นักจิตวิทยาเริ่มค้นพบคำตอบของปริศนาย้อนแย้งข้างต้นบ้างแล้ว โดยหลักฐานจากงานวิจัยบางชิ้นชี้ว่า เรื่องราวที่น่าหวาดกลัวจะกระตุ้นกระบวนการสำคัญบางอย่างในสมอง ซึ่งช่วยให้เรารับมือกับความไม่แน่นอนในชีวิตได้ งานวิจัยล่าสุดยังชี้ว่า เรื่องสยองขวัญที่แต่งขึ้นอาจมีประโยชน์ทางจิตวิทยา เช่นช่วยลดความวิตกกังวลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริง ซึ่งก็คือการช่วยเปิดทางรอด เพื่อให้เราขจัดความกลัดกลุ้มบางอย่างไปได้นั่นเอง
ตัวเลือกที่ย้อนแย้ง
ดร.คอลแทน สครีฟเนอร์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตตในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือใหม่ชื่อว่า “ความอยากรู้อยากเห็นอย่างรุนแรง: คำอธิบายจากนักวิทยาศาสตร์ว่า ทำไมเราเมินหน้าหนีไม่ได้” (Morbidly Outlandish: A Scientist Explains Why We Cannot Look Away) ถือเป็นผู้หนึ่งที่บุกเบิกการวิจัยเรื่องประโยชน์ของหนังสยองขวัญ เขาชอบดูชอบฟังเรื่องน่ากลัวมาตั้งแต่ยังเด็ก และเมื่อได้เข้าเรียนในระดับบัณฑิตศึกษา ก็เริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดเรื่องของภูตผีปีศาจและเรื่องราวน่าสยดสยอง จึงปรากฏอยู่อย่างแพร่หลายในวัฒนธรรมต่าง ๆ ของมนุษย์
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
Close of ได้รับความนิยมสูงสุด
“หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรชิ้นแรกของโลก คือเรื่องของปีศาจและอสูรร้ายที่น่าหวาดกลัว ซึ่งปรากฏอยู่ในจารึกอายุเก่าแก่ 4,000 ปี ของชาวบาบิโลน โดยจารึกนี้ว่าด้วยมหากาพย์ของกิลกาเมช (Story of Gilgamesh) จึงเรียกได้ว่าเรื่องสยองขวัญนั้นมีมานมนาน และเก่าแก่เท่ากับภาษาของมนุษย์เลยทีเดียว” ดร.สครีฟเนอร์กล่าว
คำอธิบายหนึ่งที่เป็นเหตุผลว่าทำไมคนเราจึงชื่นชอบเรื่องสยองขวัญ ชี้ว่าเรื่องราวแบบนี้เป็นเสมือน “ละคร” ที่เปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้ทำความเข้าใจโลก และเตรียมพร้อมรับมือกับภยันตรายต่าง ๆ “การเสพเรื่องสยองขวัญมีประโยชน์ต่อสัตว์และมนุษย์ ในแง่ของการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด มันช่วยให้เราเรียนรู้และเข้าใจถึงอันตรายที่มีอยู่รอบด้าน” ดร.สครีฟเนอร์กล่าว
ที่มาของภาพ : Alamy
นอกจากคนที่ชอบเสพเรื่องสยองขวัญแล้ว สัตว์บางชนิดอย่างกาเซลล์ (gazelle) ก็มักจะระแวดระวังและเฝ้ามองสัตว์ผู้ล่าจากระยะไกลอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจวิ่งหนีออกไปให้ห่าง ดร.สครีฟเนอร์ยังบอกว่า “เหตุผลที่คนเราเป็นสัตว์โลกผู้อยากรู้อยากเห็นอย่างรุนแรงขั้นสุด นั่นเป็นเพราะเรามีความสามารถสูงอย่างเหลือเชื่อ ในการสร้างสรรค์, ถ่ายทอด, และเสพเรื่องราวต่าง ๆ”
ปัจจุบันดร.สครีฟเนอร์ สามารถรวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งล้วนสนับสนุนว่าการเสพเรื่องราวสยองขวัญเป็นประโยชน์ต่อการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เช่นในการศึกษาทดลองครั้งหนึ่ง ดร.สครีฟเนอร์ให้อาสาสมัคร 400 คน ตอบแบบสอบถามทางออนไลน์ โดยพวกเขาต้องให้คะแนนต่อความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสยองขวัญหลายข้อ ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างเช่น
- ฉันชอบอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการชมภาพยนตร์สยองขวัญ
- ฉันรู้สึกกลัวมากระหว่างดูหนังสยองขวัญ จนไม่กล้ากลับบ้านหรือเดินไปมาในบ้านหลังจากนั้น
- ฉันชอบดูหนังแนวทำร้ายทรมานผู้คน เพราะอยากรู้ว่าจริง ๆ แล้ว การทรมานนั้นเป็นอย่างไร
หลังได้วิเคราะห์คำตอบในแบบสอบถามแล้ว ดร.สครีฟเนอร์พบว่า สามารถแบ่งอาสาสมัครออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มแรก คือ “พวกเสพติดอะดรีนาลีน” (Adrenaline Junkies) หรือคนที่เสพเรื่องสยองขวัญเพราะชื่นชอบพึงพอใจกับการได้ลุ้นระทึก คนกลุ่มนี้มักบอกว่า “รู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น” เมื่อได้สัมผัสความกลัว
กลุ่มที่สองคือ “พวกกลัวแต่ใจสู้” ซึ่งมักจะ “กำมือแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว” (White Knucklers) คนพวกนี้ไม่ชอบความเครียดและความรู้สึกหวาดกลัวขณะดูหนังสยองขวัญ แต่พวกเขา “ชื่นชอบความรู้สึกที่ตนเองสามารถเอาชนะความกลัวได้ในที่สุด” ดร.สครีฟเนอร์ยังบอกว่า อาสาสมัครกลุ่มนี้ชื่นชอบกระบวนการเรียนรู้ข้างต้น ที่ช่วยให้พวกเขาค้นพบสิ่งสำคัญเกี่ยวกับตนเองมากขึ้น
กลุ่มที่สามคือ “ผู้เอาตัวรอดในความมืด” (Shadowy copers) พวกเขามองว่าการชมภาพยนตร์สยองขวัญ ช่วยให้จัดการปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตจริงได้ โดยเปิดหูเปิดตาให้รับรู้ว่าโลกนี้มันโหดร้ายขนาดไหน ทั้งยังช่วยย้ำเตือนให้ตระหนักถึงความโชคดีว่า ชีวิตของพวกเขามั่นคงปลอดภัยเพียงใด เมื่อเทียบกับฉากน่าสยดสยองที่ได้เห็นบนจอ บางคนถึงขั้นมองว่า หนังสยองขวัญช่วยลดความวิตกกังวลและอารมณ์ซึมเศร้าลงได้ ทั้งยังเป็นวิธีหนึ่งในการทดสอบความกล้าอีกด้วย
ที่มาของภาพ : Alamy
ดร.สครีฟเนอร์กล่าวสรุปในประเด็นนี้ว่า แรงจูงใจในการเสพเรื่องสยองขวัญของคนแต่ละกลุ่ม ล้วนอธิบายได้ว่าเหตุใดพวกเขายังคงรับชมรับฟังมันต่อไปแม้จะกลัว “มนุษย์เรามีหลายเส้นทาง ในการเป็นสัตว์โลกที่อยากรู้อยากเห็นอย่างรุนแรง”
เพื่อทดสอบว่าผลการทดลองของเขาจะยังคงเป็นจริง ในสภาพแวดล้อมและบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปหรือไม่ ดร.สครีฟเนอร์ขอความร่วมมือจากทีมนักวิจัยต่างชาติ เพื่อให้คนที่เข้าชมบ้านผีสิง Dystopia Vexed ing ในเมือง Vejle ของเดนมาร์ก ตอบแบบสอบถามแบบเดียวกัน หลังได้สัมผัสประสบการณ์ในเขาวงกตสยองที่เต็มไปด้วยเทคนิคพิเศษและนักแสดง ซึ่งถูกฝึกมาให้ลวงหลอนนักท่องเที่ยวจนขวัญกระเจิงไปตาม ๆ กัน
ผลปรากฏว่าการให้คะแนนในแบบสอบถาม ยังคงสะท้อนถึงความคิดเห็น 3 ลักษณะ ของคน 3 กลุ่ม เหมือนกับที่ได้จากผู้เข้าร่วมการทดลองชาวอเมริกัน ซึ่งเท่ากับยืนยันความถูกต้องในผลการศึกษาวิจัยของเขา “ลักษณะของคนสามกลุ่ม ปรากฏขึ้นซ้ำอีกครั้งอย่างไม่ผิดเพี้ยน แม้ในกลุ่มอาสาสมัครที่พูดกันคนละภาษา ทั้งอยู่ในวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน” ดร.สครีฟเนอร์
นอกจากนี้เขายังค้นพบว่า บรรดาแฟนภาพยนตร์สยองขวัญมีการปรับตัวได้ดีกว่าคนทั่วไป ในช่วงที่เกิดการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 คนเหล่านี้มักจะเห็นด้วยกับข้อความในแบบสอบถามที่ว่า “ฉันรับข่าวสารเกี่ยวกับโรคระบาดอยู่เสมอเพื่อต่อสู้ต่อไป” และ “ฉันเชื่อในความสามารถของตนเอง ที่จะฟันฝ่าจนผ่านห้วงอุปสรรคนี้ไปได้”
การจำลองสถานการณ์อย่างสมจริง
การที่คนทั่วโลกถูกดึงดูดด้วยเรื่องสยองขวัญในแบบเดียวกันเช่นนั้น ยังแสดงถึงกลไกการทำงานขั้นพื้นฐานของสมองมนุษย์อีกด้วย โดยในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา เหล่านักจิตวิทยา, นักประสาทวิทยาศาสตร์, และนักปรัชญา ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า สมองมนุษย์จะจำลองสถานการณ์ของโลกแห่งความเป็นจริงรอบตัว ให้ผุดขึ้นมาในหัวของคนเราอยู่เสมอ ซึ่งดร.มิลเลอร์บอกว่า “มันไม่ต่างจากเครื่องจักรทำนายอนาคตเลย”
ตามที่ผู้เขียนได้เคยอธิบายไว้ในหนังสือ “ปรากฏการณ์ความคาดหวัง” (The Expectation Function) สมองของเราจะประมวลผลในเชิงทำนายหรือคาดการณ์ล่วงหน้าอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้เราสามารถทำความเข้าใจเหตุการณ์ใหม่ ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเฉพาะหน้า และวางแผนรับมือได้อย่างเหมาะสม ซึ่งหากกลไกนี้ทำงานได้อย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะมีความยืดหยุ่นและยิ่งปรับตัวให้เข้ากับโลกที่ไม่แน่นอนได้ดีขึ้นเท่านั้น
ดร.มิลเลอร์บอกว่า เรื่องสยองขวัญช่วยป้อนข้อมูลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของโลกให้กับสมอง จนเพียงพอที่จะกระตุ้นให้กลไก “เครื่องจักรทำนายอนาคต” ได้เคลื่อนไหวทำงานอยู่เสมอ จนสามารถจำลองสถานการณ์ได้ละเอียดสมจริงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะส่งผลให้คาดการณ์ถึงภยันตรายในอนาคตได้อย่างแม่นยำ “หากได้รับการกระตุ้นจนสมองอยู่ในสถานะนี้เรื่อยไป นั่นหมายความว่าคุณจะมีความสามารถในการทำนายเพิ่มขึ้น จนเตรียมการรับมือกับความไม่แน่นอนได้ในระยะยาว”
ดร.มิลเลอร์ยังเชื่อเหมือนกับดร.สครีฟเนอร์ว่า การกระตุ้นสมองด้วยเรื่องสยองขวัญ มีประโยชน์ต่อการคลายความวิตกกังวล โดยทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดลดความรุนแรงลง ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน “การเสพเรื่องสยองขวัญนั้นถือเป็นโอกาส ในการลองเล่นกับสถานการณ์ที่คุณถูกทำให้หวาดกลัว ถูกทำให้รู้สึกขยะแขยง ถูกทำให้รู้สึกว่าต้องแบกรับบางสิ่งและอดทน”
การเรียนรู้ผ่านหนังสยองขวัญนั้นยังปลอดภัยและสะดวกสบาย ยิ่งกว่าการเข้าค่ายวิบากหรือเล่นเกมผจญภัยกลางแจ้งมาก เราสามารถกดปุ่มหยุดดูหนัง หรือเดินออกไปนอกห้องได้เมื่อรู้สึกกลัว หรืออาจจะหลบอยู่หลังถังใส่ข้าวโพดคั่วถังใหญ่ก็ยังได้
เมื่อความกลัวคือการบำบัด
ดร.สครีฟเนอร์เห็นว่า เราสามารถนำการชมภาพยนตร์สยองขวัญ เข้ามารวมไว้เป็นส่วนหนึ่งของการบำบัดโรคทางใจได้ โดยถือเป็นหนทางหนึ่งที่จะสอนให้ผู้คน รู้จักวิธีเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบาก หากได้อ่านนิยายหรือได้ชมภาพยนตร์สยองขวัญบางเรื่องที่มีความเหมาะสมแล้ว อาจช่วยลดความหวาดกลัวให้ลงมาสู่จุดที่เป็นการปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างเพลิดเพลินมากขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นการฝึกทักษะควบคุมอารมณ์ที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในชีวิตจริง
ที่มาของภาพ : Alamy
ดร.สครีฟเนอร์บอกว่า ปัจจุบันนักวิจัยของเนเธอร์แลนด์ ได้ทดลองใช้หลักการเดียวกันมาบำบัดรักษาโรควิตกกังวลในเด็ก โดยใช้วิดีโอเกม MindLight เป็นเครื่องมือ เกมนี้ผู้เล่นจะต้องควบคุมอวตารของตนเองให้เดินผ่านบ้านผีสิง โดยขณะที่เล่นจะต้องสวมใส่อุปกรณ์ตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) เพื่อให้เห็นถึงการทำงานของสมองไปด้วย ยิ่งผู้เล่นมีอารมณ์เยือกเย็นไม่ตื่นตระหนกมากขึ้นเท่าไหร่ จะมีแสงสว่างออกมาจากศีรษะของอวตารมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเท่ากับเป็นการให้รางวัลที่เสริมแรงให้ผู้เล่นผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ หากผู้เล่นควบคุมอารมณ์ได้ดี ไม่ตื่นตระหนกลนลานเมื่อถูกอสูรโจมตี อสูรร้ายนั้นจะกลายร่างเป็นลูกแมวน่ารักที่เดินตามผู้เล่นไปตลอด แต่หากควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ก็จะมีป้ายคำแนะนำขึ้นมาให้หยุดพักสงบใจก่อนจะเดินต่อไป
ในการทดลองระดับคลินิก เด็กที่เล่นเกมนี้เป็นประจำแสดงความวิตกกังวลในชีวิตจริงออกมาลดลงมาก ซึ่งคล้ายกับผลที่ได้จากการบำบัดเชิงปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมแบบดั้งเดิม ดร.สครีฟเนอร์ยังเชื่อว่ามันจะได้ผลแบบเดียวกัน หากใช้นิยายหรือภาพยนตร์สยองขวัญในกระแสหลักมาทำการบำบัด
ดร.สครีฟเนอร์ เขียนไว้ในบทความทบทวนงานวิจัยของเขาว่า “ความบันเทิงแนวสยองขวัญ ช่วยให้ผู้คนมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับความกลัว ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและควบคุมได้ เปิดโอกาสให้ได้ฝึกคิดประเมินวิเคราะห์สถานการณ์ และฝึกความอดทนต่อความไม่สบายกาย รวมทั้งฝึกการใช้เหตุผลควบคุมอารมณ์อีกด้วย”
สำหรับคนที่ไม่ชอบความบันเทิงแนวสยองขวัญ ดร.สครีฟเนอร์แนะนำว่า อาจลองฝึกสมองและควบคุมอารมณ์ โดยเสพเนื้อหาจากหนังสือหรือภาพยนตร์ ที่ท้าทายต่อความอดทนหรือขีดจำกัดตามปกติของคุณ
“สำหรับผู้เริ่มต้น นวนิยายอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะจะควบคุมจินตนาการได้ดีกว่าเล็กน้อย ให้พยายามเลือกเรื่องที่ตรงกับความสนใจของตนเอง ซึ่งเรื่องสยองขวัญนั้นก็ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก โดยคุณสามารถเลือกอ่านหรือรับชมแนวที่ชอบได้” ดร.สครีฟเนอร์ กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา BBC.co.uk












