
‘วัชรินทร์' เตรียมส่งคดีให้ อสส.ชี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร กรณี'พระคึกฤทธิ์' ยักยอก-ฟอกเงินเปย์สีกา 12 ล. เผยถ้าเห็นชอบตั้งอัยการไปร่วมสอบกับ ตำรวจ ปปป.
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย.2568 นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีพระคึกฤทธิ์” เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง วัดดัง จ.ปทุมธานี ที่ถูก กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.)ดำเนินคดีในข้อหายักยอกและฟอกเงิน กรณีถูกกล่าวหาว่าโอนเงินจำนวน 12 ล้านบาทเข้าบัญชีสีกาในประเทศเยอรมนี เเละถูกตรวจสอบเส้นเงินหมุนกว่า 500 ล้านบาท ที่พนักงานสอบสวน ปปป.ทำหนังสือมาถึงอัยการสูงสุดเพื่อให้วินิจฉัยในประเด็นคดีนอกราชอาณาจักรว่า
ปปป. ได้ทําหนังสือกราบเรียนอัยการสูงสุดมา ส่งมาที่สำนักงานอัยการสูงสุดเราเมื่อวันที่ 25 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญเพื่อให้อัยการสูงสุดวินิจฉัยว่าคดีดังกล่าวเป็นการกระทําความผิดนอกราชอาณาจักรหรือไม่
คดีนี้มีผู้มาร้องทุกข์ กล่าวโทษพระคึกฤทธิ์ เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ข้อหาก็คือยักยอกเงินของวัด เป็นเจ้างานปฏิบัติละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แล้วก็มีลักษณะการกระทําความผิดฐานฟอกเงิน และฉ้อโกงเงินวัดจํานวนมาก
โดยหลักเเล้วคดีนอกราชอาณาจักรทั้งประเทศไทยเมื่อมีการยื่นเรื่องไปยังอัยการสูงสุด สำนวนจะต้องถูกส่งมายังอัยการสํานักงานการสอบสวนก่อน
ซึ่งอัยการสํานักงานการสอบสวนจะมีหน้าที่ในการวินิจฉัยเบื้องต้นว่าคดีที่ตํารวจ หรือจะเป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอ ส่งสำนวนมาเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร โดยเราก็จะวินิจฉัยเบื้องต้นในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าเข้าความผิดที่เกี่ยวกับความผิดนอกราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 หรือไม่แล้ว กราบเรียนเสนออัยการสูงสุดไป ถ้าเราวินิจฉัยว่าเป็นคดีนอกราชฯ เเล้วถ้าอัยการสูงสุดเห็นด้วยกับอัยการสำนักงานการสอบสวนอัยการสูงสุดก็จะสั่งว่า เป็นคดีนอกราชอาณาจักร
ยิ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นคดีสําคัญ ที่ประชาชนให้ความสนใจ และก็มีความเสียหายในจำนวนยอดเงินในจำนวนมากซึ่งผู้กล่าวหาเห็นว่าทางวัดและทางประชาชนที่นับถือท่านเสียหายดังนั้นทางสำนักงานการสอบสวนเราจะไม่มอบพนักงานสอบสวนสอบ ปปป.สอบสวนฝ่ายเดียว จะต้องมีการมอบอัยการเข้าไปร่วมสอบสวน ซึ่งเรื่องนี้เราจะตั้งเป็นคณะทํางานใหญ่ขึ้นมา โดยผู้ที่ตั้งคณะทำงานก็คือ ตนในฐานะอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน คณะทํางานของอัยการที่ว่านี้ จะมีหน้าที่ตามกฎหมายก็คือมีหน้าที่ให้คําแนะนํา และก็มีอํานาจในการสั่งการให้พนักงานสอบสวนปฏิบัติตามแนวทางการสอบสวนที่อัยการได้เห็นควร เพื่อความเป็นธรรมของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เป็นคนร้องทุกข์กล่าวโทษหรือว่าฝ่ายทางผู้ต้องหาซึ่งเป็นพระเองก็ตาม
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ เมื่อรับเรื่องกลับมาจากอัยการสูงสุดแล้ว เราจะตั้งเป็นรูปแบบของคณะทํางานของอัยการเข้าไปสอบสวนร่วมกับพนักงานสอบสวน ปปป. โดยทางเราจะกําหนดว่าการสอบสวนจะดําเนินการสอบพยานอย่างไร จะดําเนินคดีอย่างไร
เเต่สำหรับขั้นตอนนี้ยังเป็นขั้นตอนการกลั่นกรองเสนอกราบเรียนอัยการสูงสุด ซึ่งตนมอบให้สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 5 เป็นผู้พิจารณา เรื่องนี้ทางสํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 5 ก็จะต้องทําความเห็นเสนอขึ้นมายังตน เป็นผู้ดําเนินการสั่งการ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน เพราะเมื่อตรวจสอบแล้ว เรื่องนี้ทาง สำนักงานการสอบสวนจะเร่งดำเนินให้อย่างรวดเร็วจากนั้นก็จะทําหนังสือกราบเรียนอย่างอัยการสูงสุดต่อไป คาดว่าจะไม่นาน ภายในสัปดาห์นี้ก็จะรู้เรื่อง ทราบว่าอัยการสูงสุจะมีคําสั่งอย่างไรลงมา
“เดิมเรื่องนี้ซึ่งมีข้อหาเกี่ยวกับเจ้าพนักงานด้วยตำรวจปปป.ได้ส่งไปให้ปปช.พิจารณาเเล้ว ซึ่งทาง ปปช.ก็คืนเรื่องมาให้ ตำรวจปปป.รับผิดชอบสอบสวน แต่เรื่องนี้เป็นความผิดนอกราชฯ กฎหมายระบุว่าต้องเป็นอํานาจท่านอัยการสูงสุดเท่านั้นที่จะพิจารณา ในอนาคตถ้าสอบสวนเสร็จสิ้นสรุปสํานวนแล้วก็จะต้องทําความเห็นเสนอท่านอัยการสูงสุดซึ่งเป็นผู้มีอํานาจสั่งคดีแต่เพียงผู้เดียว” นายวัชรินทร์ ระบุ
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )












