อาหารชนิดใดบ้างที่ทำให้คุณมีกลิ่นกายน่าดึงดูดยิ่งขึ้น

ที่มาของภาพ : Serenity Strull/ Getty Photos

บางครั้งวิธีที่เห็นได้ชัดที่สุดว่าอาหารส่งผลต่อกลิ่นของเราอย่างไรอยู่ในลมหายใจของเรา แต่อาหารยังสามารถเปลี่ยนกลิ่นเหงื่อของคุณได้อีกด้วย

Article Data

    • Writer, โซเฟีย ควาเกลีย
    • Position, บีบีซี นิวส์

กระเทียม แอลกอฮอล์ เนื้อสัตว์ และแม้แต่การอดอาหาร สามารถส่งผลต่อกลิ่นตัวของเราได้ และเปลี่ยนความน่าดึงดูดของกลิ่นกายของเราในสายตาผู้อื่น

แต่ละคนมีกลิ่นเฉพาะตัวเหมือนกับลายนิ้วมือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สะท้อนออกมาเป็นบุคลิกภาพของเรา ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพแบบเปิดเผย ชอบครอบงำ และบุคลิกภาพแบบวิตกกังวล ไปจนถึงอารมณ์และสุขภาพ ล้วนส่งผลต่อกลิ่นกายของเรา

“หลายทศวรรษที่ผ่านมาได้เผยให้เห็นว่ากลิ่นตัวถูกกำหนดโดยยีน ฮอร์โมน สุขภาพ และสุขอนามัยของเรา” เครก โรเบิร์ตส์ ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาสังคม มหาวิทยาลัยสเตอร์ลิง ในสกอตแลนด์ กล่าว และบอกว่ายังรวมถึง “ไม่ว่าเราจะเป็นชายหรือหญิง เด็กหรือผู้ใหญ่ คู่รักเพศเดียวกันหรือต่างเพศ มีอำนาจครอบงำหรือด้อยกว่า กำลังตกไข่หรือตั้งครรภ์ เจ็บป่วยหรือสบายดี มีความสุขหรือเศร้า”

ปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา แต่ไม่ใช่ทั้งหมด จากงานวิจัยเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งที่มีผู้สนใจศึกษามากขึ้นชี้ว่า สิ่งสำคัญที่ส่งผลต่อกลิ่นตัวมาจากอาหารที่เรากิน ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อกลิ่นกายโดยรวมของเราเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการรับรู้ของเรา รวมถึงเสน่ห์ความน่าดึงดูดใจในสายตาผู้อื่นด้วย

ลมหายใจและเหงื่อ

ลินา เบกดาเช ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านการศึกษาสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์กที่บิงแฮมตัน กล่าวว่า ในระดับชีวภาพ อาหารส่งผลต่อกลิ่นตัวของเราผ่าน 2 ช่องทางหลักคือ ลำไส้และผิวหนังของเรา

เบกดาเช อธิบายว่าช่องทางแรกคือลำไส้ ในขณะที่คุณย่อยอาหาร แบคทีเรียจะเผาผลาญอาหารภายในลำไส้ ปฏิกิริยาระหว่างสารเคมีในอาหารและแบคทีเรียบางอย่างจะปล่อยก๊าซ ซึ่งเป็นโมเลกุลระเหยง่ายที่ขับออกจากร่างกายในลักษณะเดียวกับที่อาหารเข้าไป ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดกลิ่นปากหรือทำให้เกิดภาวะกลิ่นลมหายใจไม่พึงประสงค์เรื้อรัง ซึ่งยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณกินด้วย (จะอธิบายเพิ่มเติมในภายหลัง) ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าผู้ใหญ่ทั่วโลกประมาณ 1 ใน 3 มีปัญหากลิ่นปากในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แม้ว่าจะมีสาเหตุอื่น ๆ นอกเหนือจากการย่อยอาหารก็ตาม

ช่องทางที่สองคือผิวหนัง ส่วนประกอบทางเคมีจากอาหาร เมื่อถูกเผาผลาญแล้วจะเดินทางผ่านกระแสเลืoดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย บางส่วนจะถูกขับออกทางผิวหนัง ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียบนผิวหนังและทำให้เกิดกลิ่นที่ผิวหนังด้วย (จริงอยู่ที่เหงื่อไม่มีกลิ่น แต่แบคทีเรียบนผิวหนังที่เจริญเติบโตในเหงื่อทำให้เหงื่อมีกลิ่นเหม็น)

อาหารแต่ละชนิดมีสารประกอบทางเคมีหลากหลายชนิดที่ออกฤทธิ์ต่างกันไปในแต่ละขั้นตอน ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นในระดับที่แตกต่างกันไป แต่อาหารที่มีกลิ่นฉุนที่สุดมักมีตัวการสำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกันคือกำมะถัน ทว่าน่าแปลกใจที่งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่า สารประกอบที่มีกลิ่นแรงเหล่านี้สามารถส่งผลที่ไม่คาดคิดในการทำให้เราดูมีแรงดึงดูดใจมากขึ้น

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue learningได้รับความนิยมสูงสุด

Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ผลไม้และผัก

เคอร์รี บีสัน นักโภชนบำบัดหรือนักกำหนดอาหาร กล่าวว่าพืชผักอย่างบร็อคโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดาว และกะหล่ำดอก อาจเป็นวัตถุดิบสำหรับอาหารสุขภาพ ทว่าพืชผักเหล่านี้ก็ประกอบไปด้วยกำมะถัน ซึ่งมักชวนให้นึกถึงกลิ่นไข่เน่า เมื่อสารเหล่านี้เข้าสู่กระแสเลืoดและทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียบนผิวหนัง เหงื่อของคุณอาจกลายเป็นของเหลวที่มีกลิ่นฉุนรุนแรง

อาหารจากพืชตระกูลอัลเลียม (Allium) เช่น กระเทียมและหัวหอม สามารถส่งผลต่อกลิ่นเหงื่อและลมหายใจของเราได้เช่นกัน ด้วยเหตุผลเดียวกับผักตระกูลกะหล่ำ เมื่อร่างกายของมนุษย์เผาผลาญ อาหารเหล่านี้ มันจะกลายเป็นสารประกอบที่มีกลิ่นรุนแรง เช่น ไดอัลลิลไดซัลไฟด์ (diallyl disulphide) และอัลลิลเมทิลซัลไฟด์ (allyl methyl sulphide) ซึ่งร่างกายจะปล่อยออกมาในช่วงเวลาที่แตกต่างกันเล็กน้อย คือ ตั้งแต่ทันทีหลังจากรับประทานเข้าไป และในกรณีของอัลลิลเมทิลซัลไฟด์จะมีกลิ่นรุนแรงพุ่งสูงสุดใน 30 นาทีต่อมา

น่าแปลกที่งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า แม้กระเทียมจะทำให้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น แต่มันกลับทำให้เหงื่อใต้วงแขนดูน่าดึงดูดใจมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์ให้ผู้ชาย 42 คนสวมแผ่นแปะใต้วงแขนเพื่อกักเก็บเหงื่อไว้เป็นเวลา 12 ชั่วโมง โดยให้บางคนรับประทานกระเทียมเพียงเล็กน้อย บางคนรับประทานกระเทียมในปริมาณมาก และบางคนรับประทานอาหารเสริมกระเทียม

จากนั้นให้กลุ่มผู้หญิง 82 คนประเมินกลิ่นที่ได้จากแผ่นแปะใต้วงแขนในหมวดต่าง ๆ ทั้งจากระดับความพึงพอใจ ความน่าดึงดูดใจ ความเป็นชาย และความเข้มข้น ผลปรากฏว่าผู้ชายที่รับประทานกระเทียมเพียงเล็กน้อยไม่ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาใด ๆ มากนัก แต่ผู้ชายที่รับประทานกระเทียมปริมาณมากกลับถูกมองว่าเซ็กซี่มาก และผู้ชายที่รับประทานอาหารเสริมก็ดูน่าดึงดูดใจมากขึ้นเช่นกัน

“เราศึกษากรณีนี้ซ้ำถึง 3 ครั้งเพราะเราประหลาดใจมาก” ยาน ฮาฟลิเชก นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยชาร์ลส์ในสาธารณรัฐเช็กกล่าว โดยเขาอยู่เบื้องหลังการทดลองนี้ และศึกษาพฤติกรรมวิทยาของมนุษย์และการสื่อสารทางเคมี

เนื่องจากกระเทียมมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและต้านจุลชีพที่ช่วยปรับปรุงสุขภาพของผู้คน เขาจึงคาดการณ์ว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้กลิ่นกายของผู้ชายเหล่านี้มีความหอมสำหรับผู้หญิงมากขึ้น

ผักแต่ละชนิดยังมีผลต่อกลิ่นของเราเป็นการเฉพาะเช่นกัน หน่อไม้ฝรั่งผลิตสารที่เรียกว่า กรดแอสพารากัสซิก (Asparagusic acid) เมื่อร่างกายย่อยก็จะปล่อยกำมะถันออกมาด้วยเช่นกัน ซึ่งในกำมะถันมีสารประกอบทางเคมี ได้แก่ มีเทนไทออล

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ผู้ชายที่กินผลไม้และผักมากขึ้นจะมีกลิ่นดอกไม้และความหวานมากขึ้น

ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีกลิ่นนี้ แม้ว่าการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้จะพบผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปก็ตาม ในช่วงทศวรรษ 1950 งานวิจัยดูเหมือนจะชี้ให้เห็นว่ามีคนน้อยกว่า 50% ที่มีกลิ่นปัสสาวะเฉพาะตัวหลังจากกินหน่อไม้ฝรั่ง ขณะที่ในปี 2010 นักวิจัยพบว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบมากกว่า 90% มีกลิ่นนี้ ดังนั้นจึงไม่ชัดเจนนัก และไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรับรู้กลิ่นนี้ได้ เนื่องจากความสามารถในการดมกลิ่นฉี่ที่มีกลิ่นฉุนของหน่อไม้ฝรั่งดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับพันธุกรรมด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงผลไม้และผักในวงกว้าง การรับประทานผักและผลไม้มากขึ้นอาจทำให้ตัวเรามีกลิ่นหอมที่น่าดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น การศึกษาในปี 2017 ในออสเตรเลียพบว่า ผู้ชายที่รับประทานผักและผลไม้มากขึ้นมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับกลิ่นที่ดีขึ้น พวกเขาจะมีกลิ่นหอมแบบผลไม้ ดอกไม้ และมีความหอมหวานมากขึ้น

การศึกษายังระบุด้วยว่า ที่น่าสนใจคือเมื่อผู้คนต้องให้คะแนนใบหน้า พบว่าผิวที่มีสีเหลืองเล็กน้อยที่อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ได้จากแครอท ฟักทอง มะเขือเทศ มะละกอ และอื่น ๆ จะดูน่าดึงดูดใจมากกว่า แต่การศึกษาเดียวกันนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไขมัน เนื้อ ไข่ และเต้าหู้เพียงเล็กน้อย ยังสัมพันธ์กับกลิ่นเหงื่อที่มีความหอมน่าพึงพอใจมากกว่าเช่นกัน ขณะที่อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงให้กลิ่นเซ็กซี่น้อยที่สุด

เนื้อสัตว์และปลา

เนื้อสัตว์และปลายังสามารถทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ เนื่องจากโปรตีนจากสัตว์จะถูกย่อยสลายเป็นกรดอะมิโนและไขมันซึ่งจะถูกขับออกมาทางเหงื่อ และไปทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียในผิวหนัง

ตัวอย่างเช่น ปลาและถั่วสามารถทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยไตรเมทิลามีน (trimethylamine) ซึ่งเป็นสารที่มีกลิ่นแรงมาก นอกจากนี้บีสัน นักโภชนบำบัดกล่าวด้วยว่า ยังมีภาวะสุขภาพที่เรียกว่าไตรเมทิลามีน หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กลุ่มอาการกลิ่นปลา” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนไตรเมทิลามีนให้เป็นสารที่ไม่มีกลิ่นได้

เธอกล่าวว่า “สิ่งนี้อาจนำไปสู่การมีกลิ่นตัวที่รุนแรง” แต่ภาวะนี้ค่อนข้างหายาก ตัวอย่างเช่นรายงานผู้ป่วยในปี 2025 เล่าถึงเด็กชายอายุ 10 เดือนที่เป็นโรคไตรเมทิลามีนและเริ่มมีกลิ่นเหมือนปลาเน่าหลังจากกินปลาหลายชนิด รวมทั้งปลากระโทงดาบด้วย แต่อาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการชั่วคราว และด้วยการดูแลอย่างระมัดระวัง ในที่สุดเขาก็สามารถกินปลาได้โดยไม่กลับมามีอาการอีก

งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งในปี 2006 ที่ศึกษาในผู้ชายวัยผู้ใหญ่โดยทีมของฮาฟลิเชกสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกว่าเนื้อสัตว์ทำให้เราดูน่าดึงดูดใจมากขึ้นหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์ศึกษาผู้ชาย 30 คนที่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์หรืออาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ก่อนให้ผู้หญิงให้คะแนนกลิ่นของพวกเขาตามความน่าพึงพอใจ ความน่าดึงดูดใจ ความเป็นชาย และความเข้มข้นของกลิ่น ผลออกมาพบว่ากลิ่นของผู้ชายที่รับประทานอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์โดยเฉลี่ยแล้วได้รับการจัดอันดับว่ามีกลิ่นน่าดึงดูดใจกว่า น่าพึงใจกว่า และมีกลิ่นเข้มข้นน้อยกว่า

“ที่น่าประหลาดใจก็คือ ผู้กินเนื้อสัตว์กลับมีกลิ่นตัวแย่ลงเล็กน้อยกว่าตอนที่ไม่ได้กินเนื้อสัตว์” ฮาฟลิเชกกล่าว

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังว่าจะได้พบ เพราะเนื้อสัตว์ถือเป็นส่วนสำคัญของอาหารมนุษย์ตลอดช่วงวิวัฒนาการ อย่างไรก็ตาม ไม่มีมนุษย์ยุคแรกคนใดกินเนื้อสัตว์มากเท่ากับที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมอุตสาหกรรมที่ซับซ้อนในปัจจุบัน “การกินเนื้อสัตว์ทุกวันเป็นสิ่งที่ไม่ปกติในช่วงวิวัฒนาการของเรา” ฮาฟลิเชกกล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ผู้ที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์มักได้รับการจัดอันดับว่ามีเสน่ห์ดึงดูดใจมากกว่า

แอลกอฮอล์และกาแฟ

เบกดาเชกล่าวว่า แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดื่มในปริมาณมากและดื่มเป็นประจำ สามารถทำให้เกิดกลิ่นรุนแรงได้ทั้งจากทางเดินอาหารและจากต่อมเหงื่อ

เมื่อร่างกายของคุณประมวลผลแอลกอฮอล์โดยการย่อยสลายภายในตับ ตับจะปล่อยสารที่เรียกว่าอะเซทัลดีไฮด์ (acetaldehyde) ซึ่งเป็นสารระเหยง่ายและเป็นพิษ โดยมีกลิ่นแอลกอฮอล์ที่แรงและคุ้นเคย (งานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถบอกได้ว่าคนไหนดื่มแอลกอฮอล์มาโดยดูจากกลิ่นปากของพวกเขาได้ถึง 60-85% ณ เวลานั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณการดื่ม) และเนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายขาดน้ำและลดการไหลของน้ำลาย จึงทำให้แบคทีเรียสะสมอยู่ในปากมากขึ้น ทำให้เกิดกลิ่นปากเรื้อรัง

การศึกษาหนึ่งพบว่า จากกลุ่มตัวอย่าง 235 คน ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำมีแนวโน้มที่จะบ่นเรื่องกลิ่นปากมากที่สุด และมีความเข้มข้นของสารกำมะถันระเหยในลมหายใจสูงกว่า การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งในปี 2010 ศึกษาผู้ชายที่ดื่มเบียร์ระหว่างการทดลองและผู้ชายที่ดื่มน้ำเปล่าแทน พวกเขาพบว่าคนที่ดื่มเบียร์มีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่า แต่น่าเศร้าที่ดึงดูดเฉพาะยุงเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน คาเฟอีนที่พบในกาแฟและชาสามารถกระตุ้นต่อมอะโพไครน์ซึ่งมีหน้าที่ผลิตเหงื่อในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น รักแร้ และขาหนีบ บีสันกล่าวว่า การผลิตเหงื่อที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งอาจนำไปสู่กลิ่นตัวที่รุนแรงขึ้น นอกจากนี้การศึกษาหนึ่งยังแสดงให้เห็นว่าโมเลกุลของคาเฟอีนสามารถพบได้ในเหงื่อด้วยเช่นกัน แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าคาเฟอีนเองมีผลต่อกลิ่นตัวหรือไม่

“เราเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด กลิ่นแทบจะส่งผลสำคัญต่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างแน่นอน” โรเบิร์ตส์ ผู้ศึกษาเรื่องกลิ่นและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม กล่าว

กลิ่นเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยมากมายที่มีอิทธิพลต่อความน่าดึงดูดใจของผู้คน โรเบิร์ตส์บอกว่า การแยกผลกระทบของกลิ่นออกจากสัญญาณทางสังคมอื่น ๆ เช่น รูปลักษณ์ พฤติกรรม และการพูดของผู้คนนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลย

แต่ถึงกระนั้น แม้แต่วิทยาศาสตร์ที่วัดการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนเหล่านี้อย่างพิถีพิถันก็ยังได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน

ฮาฟลิเชกยังทำการทดลองโดยให้ผู้ชายให้คะแนนผู้หญิงด้วยกลิ่นของแผ่นซับเหงื่อใต้วงแขน โดยแบ่งการประเมินตามความหอมหวาน ความน่าดึงดูดใจ ความเป็นผู้หญิง และความเข้มข้น โดยผู้หญิงบางคนรับประทานอาหารตามปกติ และบางคนอดอาหารเป็นเวลา Forty eight ชั่วโมง แม้ว่าจะไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างกลุ่ม แต่ผู้หญิงที่อดอาหารกลับมีเหงื่อที่น่าดึงดูดใจมากกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้อดอาหาร “นี่เป็นอีกสิ่งที่เราไม่คาดคิด” ฮาฟลิเชกกล่าว

แต่ผลลัพธ์เหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการทำซ้ำเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และแม้ว่าเหงื่อของคุณอาจมีกลิ่นที่ดีขึ้น แต่ผลการศึกษาในปี 2018 ในสวิตเซอร์แลนด์พบว่า การอดอาหารทำให้กลิ่นลมหายใจแย่ลง

ยิ่งไปกว่านั้น ความประหลาดใจที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผลการศึกษาของพวกเขา ทำให้นักวิจัยอย่างโรเบิร์ตส์และฮาฟลิเชกตระหนักว่าไม่มีสูตรเสียชีวิตตัวเสียชีวิตตัวใดที่ชัดเจนว่าอาหารส่งผลต่อกลิ่นกายและการรับรู้ของเราอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้มีความหลากหลายมาก

“สารประกอบอะโรมาติกมีอยู่มากมาย และในสารพวกนี้ส่วนใหญ่ เราไม่ทราบว่าส่งผลต่อกลิ่นตัวของเราอย่างไร แต่มีความเป็นไปได้สูงที่สารเหล่านี้จะส่งผลต่อกลิ่นตัวของเรา” ฮาฟลิเชกกล่าว