
กต. เผยสหรัฐฯ ขอระงับเจรจาการค้าชั่วคราว จนกว่าไทยจะปฏิบัติตาม “ถ้อยแถลงร่วม” กับกัมพูชา

ที่มาของภาพ : Ministry of International Affairs/Facebook
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เปิดเผยว่า ผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ได้แจ้งมาว่า ฝ่ายสหรัฐฯ ขอระงับการเจรจา “กรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน” ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ หรือ “Settlement on Reciprocal Alternate Framework” เป็นการชั่วคราว
ถ้อยแถลงดังกล่าวของนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษก กต. มีขึ้นในการแถลงข่าวเมื่อเวลา 14.15 น. ที่ผ่านมา หลังได้รับแจ้งจากรองผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (14 พ.ย.) โดยเหตุระงับการเจรจาดังกล่าวจะยุติลง และสามารถกลับมาตกลงกันในเรื่องนี้ได้อีกครั้ง “เมื่อฝ่ายไทยได้ให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตาม Joint Declaration (ถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา)”
“ไทยมีความผิดหวังในท่าทีจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ” โฆษก กต. กล่าวในการแถลงข่าว เขาเน้นย้ำว่า “ไทยได้ยืนยันมาโดยตลอดว่าประเด็นเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เป็นประเด็นทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชาต้องพิจารณาแยกออกจากประเด็นการค้า ซึ่งก็เป็นประเด็นทวิภาคีซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมระหว่างไทยกับสหรัฐฯ”
ในช่วงของการตอบคำถาม เขาระบุว่า นายกรัฐมนตรีได้แจ้งกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ไปแล้ว ว่าทางการไทยได้แยกเรื่องความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ออกจากกัน จึงขอให้ทางสหรัฐฯ แยกสองเรื่องนี้ออกจากกัน ซึ่งฝั่งไทยก็ได้แสดงความมุ่งมั่นในการเจรจาการค้าเสรีต่อกับสหรัฐฯ และพยายามใช้กลไกทวิภาคีในการหารือกับกัมพูชาต่อไป
“ท่านนายกฯ ได้เรียนเรื่องนี้ อธิบายเรื่องนี้กับท่านประธานาธิบดีไป ท่านประธานาธิบดีได้แสดงความเข้าอกเข้าใจ” โฆษก กต. ระบุ “วิธีที่จะดำเนินการต่อ ผมก็เข้าใจว่าท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้สื่อสารไปทางท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่าทิศทาง ท่าทีไทยมัน consistent (ต่อเนื่อง) จากท่าทีที่เราใช้มาโดยตลอด คือขอให้แยกเรื่องสองเรื่องนี้ออกจากกัน และขออย่าใช้มาตรการทางภาษีในการกดดันเรา”
“อนุทิน” แจงทรัมป์ย้ำจุดยืนระงับปฏิญญาสันติภาพ

ที่มาของภาพ : Anutin Charnvirakul/Facebook
ก่อนหน้าการแถลงข่าวของกระทรวงการต่างประเทศไม่กี่ชั่วโมง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงรายละเอียดในการพูดคุยกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ที่มีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์เมื่อคืนนี้ (14 พ.ย.) ว่าเขาได้แจ้งให้ผู้นำทั้งสองประเทศทราบกรณีผู้ร่วมสังเกตการณ์จากหลายประเทศ ยืนยันว่ามีการวางทุ่นsะเบิดใหม่ 4 ทุ่นในเขตพื้นที่ของไทย หลังจากที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามในปฏิญญาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมาแล้ว
โดยเขา “ได้ยืนยันว่ารัฐบาลไทยจะระงับการดำเนินการภายใต้เนื้อหาที่ระบุไว้ในปฏิญญา” จนกว่ากัมพูชาจะยอมรับว่าได้ละเมิดเงื่อนไขดังกล่าว และต้องมีคำแถลงขอโทษต่อประชาชนชาวไทยในกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ภูมะเขือซึ่งได้ทำให้ทหารของไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอวัยวะ
“ผมได้ย้ำว่า รัฐบาลไทยทรงไว้ซึ่งสิทธิและมีอำนาจที่จะดำเนินการใด ๆ เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศและสร้างความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ที่พึงจะกระทำเพื่อปกป้องประเทศและประชาชนให้พ้นจากภัยคุกคามของต่างชาติ” นายอนุทินระบุผ่านเฟซบุ๊กของเขา
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue finding outได้รับความนิยมสูงสุดได้รับความนิยมสูงสุด
เขายังเปิดเผยด้วยว่า เขาได้เรียกร้องให้ผู้นำทั้งสองประเทศในฐานะที่เป็น “สักขีพยานในปฏิญญา” ทำการแจ้งไปยังนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาให้เคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด และจะต้องไม่มีการขัดขวางใด ๆ ต่อการเข้าไปเก็บกู้ทุ่นsะเบิดที่ฝ่ายกองทัพไทยเป็นผู้ดำเนินการ
โดยในโพสต์ดังกล่าว นายอนุทินยังได้ระบุถึงการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถามเขาว่า “มีปัญหาอะไรหรือไม่” ขณะที่เขาได้ตอบไปโดยขอให้ลดภาษีกับประเทศไทยมากกว่านี้
“ท่านได้ตอบมาอย่างอารมณ์ดีว่า ในอัตรา 19% ที่ไทยได้รับ ถือว่าต่ำมาก” นายอนุทินระบุ ก่อนที่จะเล่าต่อไปว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้รับปากจะไปคุยกับทางกัมพูชา หากไม่ขัดขวางการถอนทุ่นsะเบิดของไทย และฝ่ายไทยสามารถดำเนินการเร่งถอนทุ่นsะเบิดได้อย่างรวดเร็ว “จะพิจารณาให้มีการปรับลดภาษีให้มากกว่านี้”
นายกรัฐมนตรีของไทย ยังระบุอีกว่าฟากฝั่งของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียนั้น รับจะเร่งทำเอกสารในนามประธานอาเซียนเพื่อย้ำความเข้าใจและให้ทั้งสองประเทศได้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในปฏิญญาอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ท่าทีดังกล่าวของนายอนุทินดูเหมือนจะไม่แตกต่างจากที่เขาได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนในวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับsะเบิดจนขาขาด 1 นายเมื่อวันที่ 10 พ.ย. บริเวณห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ ตรงข้ามปราสาทพระวิหาร ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทาง
ในครั้งนั้นนายอนุทินได้เดินทางไปลงพื้นที่เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ช่วงหนึ่งเขากล่าวว่า “วันนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เราได้ทำตามข้อตกลงทุกข้อด้วยความอดทน และหวังดีต่อสันติภาพ แต่เมื่อหลักฐานยืนยันว่ามีการวางทุ่นsะเบิดใหม่ในเขตของเรา ไทยก็จำเป็นต้องยกเลิกข้อตกลง และดำเนินการในสิ่งที่เห็นว่าเหมาะสมเพื่อปกป้องประโยชน์ของประเทศ”
ทั้งนี้ เขายังกล่าวย้ำอีกว่า การดำเนินการตาม ปฏิญญาสันติภาพ 4 ข้อ ที่ทั้งสองประเทศเคยเห็นชอบร่วมกันนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว เนื่องจากมีการละเมิดข้อตกลงจากอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
ฮุน มาเนตเผยผู้นำสหรัฐฯ ยังติดตามผลจากแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา

ที่มาของภาพ : FACEBOOK/HUN MANET
ด้านนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาโพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กของตัวเองอธิบายถึงการสนทนาระหว่างเขาและผู้นำสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดในตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทยเพื่อผลักดันการบังคับใช้ข้อตกลงสันติภาพระหว่างกัมพูชาและไทยให้มากยิ่งขึ้น โดยเขาได้กล่าวย้ำถึงความมุ่งมั่นของกัมพูชาในการยึดมั่นในเจตนารมณ์ของแถลงการณ์ร่วมกรุงกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur Joint Commentary) และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะยังคงทำงานร่วมกันต่อไปตามหลักการและกลไกทวิภาคีที่ได้ตกลงกันไว้
“ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนว่าต้องการเห็นสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างกัมพูชาและไทย ด้วยเหตุนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์จะยังคงติดตามภารกิจนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการปะทุขึ้นอีกตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย” เขาระบุในข้อความดังกล่าวเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
นายกรัฐมนตรีกัมพูชาระบุว่า การหารือดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา (14 พ.ย.) โดยเขากล่าวขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์สำหรับความคิดริเริ่มที่นำไปสู่การหยุดยิvระหว่างกัมพูชาและไทย รวมถึงความสำเร็จในการบรรลุปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์เพื่อแสวงหาสันติภาพที่ยั่งยืนสำหรับกัมพูชาและไทยด้วย
ก่อนหน้านั้นในช่วงบ่ายของวันที่ 14 พ.ย. นายฮุน มาเนตยังได้หารือผ่านทางโทรศัพท์กับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยเขาย้ำกับนายกฯ มาเลเซียว่าจะยังคงยึดมั่นในจุดยืนในการแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างสันติ และด้วยการใช้กลไกที่มีอยู่และที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามเจตนารมณ์ของแถลงการณ์ร่วมกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา












