
รู้จัก “วันเดอร์วูแมน” ในชีวิตจริง นักแสดงสตันต์ที่ทำลายทุกขีดจำกัด แม้เป็นผู้พิการทางการได้ยิน

ที่มาของภาพ : UPI/Bettmann Archive/Getty Pictures
- Creator, รายการ History's Toughest Heroes
- Role, บีบีซีเรดิโอ 4
เหตุการณ์ในทะเลทรายอันเวิ้งว้างกลางสหรัฐอเมริกาแสดงให้โลกเห็นอย่างชัดเจนว่า คิตตี โอนีล ผู้พิการทางการได้ยินซึ่งเป็นสตันต์หญิงหรือนักแสดงแทนในฉากอันตรายหรือเสี่ยงภัยแทนนักแสดงหลัก มีความสามารถที่แท้จริงอย่างไร
ที่นั่น หญิงรูปร่างเล็กในชุดจั๊มสูทสีเหลืองกำลังท้าทายสถิติความเร็วบนบกของผู้หญิงอย่างกล้าหาญ และเธอก็ทำลายสถิตินั้นได้ พร้อมกันนี้ เหตุการณ์นี้ยังลบทุกความเข้าใจผิดที่คิดว่าโอนีลมีความสามารถที่จำกัดเนื่องจากหูของเธอไม่ได้ยิน
นี่เป็นเพียงตำนานบทหนึ่งที่เล่าความกล้าหาญและความแข็งแกร่งของโอนีล ซึ่งนำเธอไปสู่การผจญภัยอันน่าทึ่ง
เธอเป็นสตันต์หญิงที่ทำลายสถิติและกลายเป็นตำนานมีชีวิตในฮอลลีวูดยุคทศวรรษ 1970 และในวัยเด็กก็เคยทำลายอคติที่มีต่อคนหูหนวกด้วยการเรียนเล่นเครื่องดนตรีด้วย
แม้จะไม่ได้ยิน โอนีลก็ยืนยันที่จะใช้ชีวิตแบบท้าทายสุดขีด เปลี่ยนความหลงใหลในความเร็วให้กลายเป็นอาชีพที่ประสบความสำเร็จ โดยในยุคนั้นมีผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่แสดงฉากเสี่ยงเสียชีวิตอันเป็นฉากทำให้ผู้ชมเกาะติดอยู่กับหน้าจอโทรทัศน์
โอนีลกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงสตันท์สายลุย และเป็นหนึ่งในผู้หญิงกลุ่มแรกที่เข้าร่วมกลุ่มสตันต์ส อันลิมิตเต็ด (Stunts Limitless) ซึ่งเป็นกลุ่มมืออาชีพที่รับงานท้าทายที่สุดในวงการบันเทิง
นอกจากนี้ มีการสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตของเธอ และตัวเธอเองก็ได้เข้าร่วมรายการพิเศษทางโทรทัศน์ รวมถึงมีตุ๊กตาของเล่นเป็นของตัวเธอเอง ซึ่งเปรียบได้กับการเฉลิมฉลองความสำเร็จของโอนีล

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
หูหนวกแต่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
โอนีลเกิดที่เมืองคอร์ปัสคริสตี รัฐเท็กซัส ในปี 1946 โดยตอนอายุเพียงห้าเดือน เธอล้มป่วยอย่างหนักและมีไข้สูงอันตราย แม่ของเธอจึงห่อร่างด้วยน้ำแข็งด้วยความเชื่อว่าอาจช่วยชีวิตเธอไว้ได้ แต่เมื่อคิตตีโตขึ้นและยังไม่เริ่มพูด พ่อแม่จึงตระหนักว่าความเจ็บป่วยครั้งนั้น ทำให้เธอหูหนวกอย่างสาหัส
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุดConclude of ได้รับความนิยมสูงสุด
แพตซี โอนีล ผู้เป็นมารดา ปฏิเสธที่จะสอนภาษามือซึ่งในเวลานั้นยังถูกมองด้วยความระแวงให้ลูกสาว
อย่างไรก็ตาม เธอยืนยันว่าลูกสาวจะต้องไม่ถูกดูถูก และจะต้องเรียนรู้การพูดและสื่อสาร ดังนั้นแพตซีจึงสอนคิตตีด้วยวิธีอ่านปากด้วยวิธีแหวกแนว

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
“แม่ของเธอจะจับมือคิตตีไปวางบนสายเสียงของตัวเอง” ไค ไมเคิลสัน สตันต์แมนและเพื่อนสนิทของโอนีล กล่าว
“จากนั้นเธอจะพูดคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาอย่างช้า ๆ”
เมื่อคิตตีถูกล้อเลียนที่โรงเรียน แม่ของเธอบอกให้เธอเข้มแข็งและสู้กลับ และด้วยทักษะของแพตซี คิตตีก็ทำได้จริง ๆ
“ด้วยการรับรู้การเปลี่ยนแปลงความถี่ของแรงสั่นสะเทือนแม้เพียงเล็กน้อย แม่ทำให้คิตตีมีส่วนร่วมในการเล่นเชลโลและเปียโน” เอริกกา กู๊ดแมน-ฮิวกีย์ รองบรรณาธิการเว็บไซต์ข่าวกีฬาอีเอสพีเอ็น (ESPN) กล่าว
ไมเคิลสันเล่าว่าในที่สุด คิตตีสามารถระบุเพลงที่เปิดในวิทยุรถยนต์ได้ด้วยการจำแรงสั่นสะเทือน และจริง ๆ แล้ว เธอบอกเขาว่าตนเองเป็นแฟนเพลงของวงเดอะบีทเทิลส์ เมื่อเพลงของวงนี้ดังขึ้น

ที่มาของภาพ : CBS through Getty Pictures
ชีวิตช่วงแรกในวงการสตันต์ของเธอ
พ่อของโอนีลเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อเธออายุเพียง 11 ปี แต่เธอไม่เคยลืมความตื่นเต้นจากการขี่รถตัดหญ้าของพ่อในวัยเด็ก
ต่อมาเมื่อการดำน้ำแข่งขันเข้ามาในชีวิต เธอก็ทำได้อย่างโดดเด่นในเวลารวดเร็ว
ทว่า ก่อนเข้าคัดเลือกเพื่อคัดตัวไปแข่งโอลิมปีกปี 1964 ที่กรุงโตเกียวได้ไม่นาน คิตตีกลับประสบปัญหาข้อมือหัก และติดเชื้อจนเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
หลังจากฟื้นตัว เธอรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียความตื่นเต้นในกีฬานั้นไป
“เมื่อเธอหยุดดำน้ำ เธอบอกว่ามันไม่ได้น่ากลัวพอสำหรับเธอ” กู๊ดแมน-ฮิวกีย์ กล่าว
ไม่นานหลังจากทำรถของแม่พลิกคว่ำตอนอายุ 16 ปี โอนีลก็หันไปเล่นกระโดดร่ม และต่อมาก็เล่นสกีน้ำทำลายสถิติความเร็วของผู้หญิง และขี่มอเตอร์ไซค์แข่งในเส้นทางวิบากที่ยากและอันตราย โดยตลอดช่วงเวลานั้น เธอปฏิเสธที่จะประนีประนอมกับการเสี่ยงเสียชีวิต เพราะความรู้สึกเฉียดเสียชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกสนานดังกล่าว
ในอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งหนึ่ง โอนีลเสียการควบคุมรถมอเตอร์ไซค์และเกิดอุบัติเหตุ ระหว่างนั้นมือของเธอถูกล้อเกี่ยวจนหนึ่งนิ้วขาด
เพื่อน ๆ จำได้ว่า แม้จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น แต่โอนีลก็ยังอยากไปต่อ เธอเพียงแค่สวมถุงมือกลับเข้าไปแล้วขึ้นมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเธอก็ถูกโน้มน้าวให้ไปโรงพยาบาล

ที่มาของภาพ : UPI/Bettmann Archive/Getty Pictures
ดัฟฟี แฮมเบิลตัน สามีคนแรกจากสามีสองคนของโอนีลเป็นอีกหนึ่งสตันต์แมนที่ไม่เพียงพาเธอไปโรงพยาบาลในวันนั้น แต่ยังช่วยผลักดันชีวิตของเธอไปในอีกทิศทางหนึ่ง
เขาเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับงานสตันต์สำหรับโทรทัศน์ โอนีลจึงตัดสินใจว่างานนี้เหมาะสมกับเธออย่างสมบูรณ์แบบ
เธอมักปรากฏตัวในกองถ่ายเพื่อเผชิญกับทุกความเสี่ยง พร้อมกับหนีบหนังสือสองเล่มติดตัวอยู่เสมอ ได้แก่ The Energy of Definite Pondering (พลังของการคิดในมุมบวก)โดยนอร์แมน วินเซนต์ พีล และพระคัมภีร์ไบเบิล
ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ผู้ชายสวมวิกยังคงทำงานนักแแสดงสตันต์อยู่เป็นประจำ แต่โลกนี้เริ่มเปลี่ยนไปแล้ว
การเป็นผู้พิการทางการได้ยินช่วยให้โอนีลปฏิเสธที่จะฟังใครก็ตามที่บอกว่าหูหนวกเป็นข้อจำกัดของร่างกาย และบอกว่าเธอเป็นเพียง “ผู้หญิงที่ถูกเลือกมาเป็นสัญลักษณ์” เท่านั้น
ตรงกันข้าม เธอกล่าวว่าหูหนวกคือพลังพิเศษของเธอ เพราะมันทำให้เธอมีสมาธิอย่างเต็มที่กับสิ่งที่ต้องทำ ขณะที่รอบตัวเต็มไปด้วยความวุ่นวายของกองภาพยนตร์
บทบาทสตันต์ที่สร้างชื่อให้เธอมากที่สุด
บางทีสิ่งที่ทำให้โอนีลโด่งดังมากที่สุด คือ การได้ทำงานร่วมกับ ลินดา คาร์เตอร์ นักแสดงนำในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง วันเดอร์วูแมน (Surprise Lady) อย่างสม่ำเสมอในหลากหลายฉาก ซึ่งรวมถึงฉากห้อยตัวจากเฮลิคอปเตอร์ในชุดไอคอนิกของตัวละคร
เมื่อเธอแสดงการกระโดดจากที่สูงกว่า 120 ฟุตจากโรงแรมในรัฐแคลิฟอร์เนีย ยังเป็นฉากไคลแม็กซ์ในตอนหนึ่งของซีรีส์ดังกล่าว ซึ่งเธอทำได้สำเร็จและทำลายสถิติด้วย โดยมันเป็นงานแสดงแทนที่ต้องอาศัยสมาธิและความกล้าระดับสูง จนทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวกลายเป็นหนึ่งในฉากตำนาน
“ใช่ เธอ เป็นตัวแทนของความเป็นผู้หญิง… แต่ยังสะท้อนถึงพลังของผู้หญิงซึ่งเป็นสิ่งที่เราหมายถึง” กู๊ดแมน-ฮิวกีย์ กล่าว
โอนีลบอกกับนิตยสารพีเพิล (Other folks) ในเวลานั้นว่า “ฉันไม่ได้พยายามแข่งขันกับผู้ชาย ฉันแค่พยายามทำในสิ่งที่เป็นของตัวเอง”

ที่มาของภาพ : Glen Martin/The Denver Submit through Getty Pictures
จากนั้นเธอก็แสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่าไม่เคยหยุดอยู่แค่นั้น
เธอทำลายสถิติอีกครั้งด้วยการกระโดดจากที่สูง ขณะถูกไฟลุกท่วมตัว สำหรับรายการพิเศษทางโทรทัศน์ และครั้งหนึ่งเธอยังขับเรือที่ใช้แรงขับจากเครื่องยนต์เจ็ตด้วยความเร็วถึง 443 กม./ชม.
“แม้แต่ตอนเดินกับเธอ เธอก็จะเดินนำหน้าผมไปสิบก้าว” ไมเคิลสัน กล่าว และดูเหมือนว่าเธอยังอยากไปให้เร็วขึ้นอีก เพื่อผลักดันขีดจำกัดอยู่ตลอดเวลา
ในที่สุด เธอก็พบช่องทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับความทะเยอทะยานทั้งหมดนี้
ในปี 1976 เธอได้รับเชิญให้ขับรถต้นแบบที่ชื่อว่าเอสเอ็มไอ โมทิเวเตอร์ (SMI Motivator) ซึ่งใช้เครื่องยนต์ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่สามารถผลิตแรงม้าได้ถึง Forty eight,000 แรงม้า
โอนีลตั้งใจจะทำลายสถิติความเร็วเสียง ซึ่งหมายถึงการทำความเร็วเกิน 1,207 กม./ชม.
ทว่า ตามข้อตกลงที่เซ็นกับผู้จัด โอนีลจะพยายามทำลายสถิติความเร็วของผู้หญิงแทน ซึ่งอยู่ที่ 483 กม./ชม. เท่านั้น
ในชุดจั๊มสูทสีเหลืองสดที่สวมบนร่างเล็ก ๆ โอนีลขับรถทรงเข็มที่มีล้ออะลูมิเนียมด้วยความเร็วกว่า 988 กม./ชม. กลางทะเลทรายอัลวอร์ด รัฐโอเรกอน และทำลายสถิติความเร็วของผู้หญิงที่มีอยู่เดิมอย่างขาดลอย

ที่มาของภาพ : Glen Martin/The Denver Submit through Getty Pictures
ในเวลาต่อมา โอนีลต้องการทำลายสถิติของผู้ชาย แต่ถูกขัดขวางโดยสปอนเซอร์หรือผู้สนับสนุนบางรายที่อ้างว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม หากผู้หญิงทำเช่นนั้น
ภายหลังพวกเขาปฏิเสธว่าไม่เคยพูดเช่นนั้น แต่เพื่อนสนิทกล่าวว่า โอนีลจดจำเหตุการณ์นั้นไว้ในใจในฐานะตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงถูกกีดกันมาตลอดในประวัติศาสตร์
ไม่นานหลังจากนั้น ไมเคิลสันก็ให้โอกาสเธออีกครั้งด้วยการแข่งรถแดร็ก (breeze racing) ซึ่งเป็นการแข่งขันบนเส้นทางตรง และต่อมาเธอยังทำลายสถิติความเร็วบนผิวน้ำด้วยเรือเร็ว
“ผมไม่เคยเจอใครในชีวิตที่ไม่กลัวเลย และเธอก็ไม่มีความกลัวด้วย ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย” ไมเคิลสัน กล่าว
เธอเคยชะลอลงบ้างไหม ?
หลังจากทำลายสถิติและปรากฏตัวในภาพยนตร์และโทรทัศน์มากมาย ในที่สุดโอนีลก็เกษียณไปอยู่เมืองเล็ก ๆ ในรัฐเซาท์ดาโคตา
ตามคำบอกของไมเคิลสัน เธอไม่เคยสูญเสียความรักในความเร็วและความปรารถนาที่จะทำลายกำแพงเสียงบนพื้นดิน แม้ในช่วงปีหลัง เธอยังโทรหาเขาและพูดว่า “มาสร้างรถกันเถอะ ๆ”
เมื่อเสียชีวิตในวัย 72 ปี เธอยังคงเป็นเจ้าของสถิติความเร็วบนบกของผู้หญิง
“เธอคือวันเดอร์วูแมน เป็นวันเดอร์วูแมนตัวจริงในชีวิตจริง” ไมเคิลสัน กล่าว
เรียบเรียงจาก Kitty O'Neil: Hollywood's True Surprise Lady ทาง BBC Radio 4












