
3 ปัจจัยเหตุใดน้ำท่วมหาดใหญ่ปี 68 วิกฤตหนัก

ที่มาของภาพ : facebook/Pr.Songkhla ประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา
เหตุภัยพิบัติน้ำท่วมในพื้นที่เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งกำลังก้าวเข้าสู่วันที่สามในวันพรุ่งนี้ ถือเป็นเหตุน้ำท่วมจากปริมาณฝนตกหนักที่สุดในรอบ 300 ปี ตามการประเมินของศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน โดยปริมาณฝนสะสมย้อนหลังสามวัน ระหว่างวันที่ 19 – 21 พ.ย. ที่ผ่านมาวัดได้สูงสุดถึง 630 มม. มากกว่าน้ำท่วมใหญ่หาดใหญ่เมื่อปี 2553 ที่มีปริมาณฝนสะสมสูงสุด 428 มม.
ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ กรมชลประทาน ระบุว่า น้ำที่ท่วมในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ มีระดับน้ำสูงเฉลี่ย 0.50-2.50 เมตร แต่ไม่ใช่แค่เมืองเศรษฐกิจหลักของ จ.สงขลา แห่งนี้เท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักในระยะนี้ แต่ยังมีเหตุอุทกภัยเกิดขึ้นในอีก 9 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สตูล พัทลุง ตรัง นราธิวาส ปัตตานี และ ยะลา ซึ่งเกิดจากฝนตกหนักตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย. จากอิทธิพลของร่องมรสุม และหย่อมความกดอากาศต่ำ ปกคลุมภาคใต้ และภาคใต้ตอนล่าง
นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา เปิดเผยว่าสถานการณ์อุทกภัยใน จ.สงขลา ในช่วงวันที่ 19-23 พ.ย. ส่งผลให้พื้นที่ 16 อำเภอถูกน้ำท่วม กระทบประชาชนกว่า 465,000 คน โดยเฉพาะหาดใหญ่ มีผู้ได้รับผลกระทบกว่า 243,000 คน
เหตุน้ำท่วมใหญ่ในเมืองหาดใหญ่เคยเกิดขึ้นในปี 2543 และปี 2553 .คุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพภูมิอากาศและการจัดการภัยพิบัติเพื่อวิเคราะห์เหตุปัจจัยของน้ำท่วมปีนี้
1. ร่องฝนตกใส่เมืองหาดใหญ่โดยตรง ต่างจากน้ำท่วมในอดีต
ผศ.ดร.สมพร ช่วยอารีย์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศและภัยพิบัติในพื้นที่ภาคใต้ กล่าวกับ.ว่า สาเหตุหลักที่ทำให้น้ำท่วมหนักในหาดใหญ่ปีนี้ เกิดจากปริมาณฝนตกหนัก จากการที่มีร่องฝนผ่านมาทางพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จึงทำให้หาดใหญ่เป็นพื้นที่รับน้ำฝน
ผศ.ดร.สมพร อธิบายว่าน้ำท่วมหาดใหญ่ในตอนนี้ แตกต่างจากวิกฤตน้ำท่วมในอดีตของเมืองหาดใหญ่ที่น้ำจะไหลน้ำเข้าเมืองจากพื้นที่ต้นน้ำใน อ.สะเดา และ อ.คลองหอยโข่ง ซึ่งอยู่ทางทิศใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของ อ.หาดใหญ่ โดยมวลน้ำจะไหลผ่านเส้นทางน้ำก่อนเข้าท่วมในเขตตัวเทศบาลนครหาดใหญ่ แต่หลังจากน้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่เมื่อปี 2543 ก็มีการขุดคลองเบี่ยงน้ำที่ชื่อว่า คลอง ร.1 เป็นคลองระบายน้ำที่จะผันน้ำออกไปทางทะเลสาบสงขลา ทำให้ในระยะหลังฝนที่ตกที่ต้นน้ำไม่ค่อยมีปัญหามากนัก น้ำก็จะไหลระบายออกได้เพราะมีคลองระบายน้ำ ร.1 สามารถนำน้ำออกไปสู่ทะเลได้
ผู้เชี่ยวชาญด้านสภาพอากาศและภัยพิบัติ จาก มอ.ปัตตานี กล่าวต่อไปว่า แต่ปีนี้ ฝนที่ตกใน อ.สะเดา และ อ.คลองหอยโข่ง ไม่ได้เยอะมาก และน้ำก็ออกทางเส้นทางคลองระบาย ร.1 อยู่แล้ว
แต่ในพื้นที่เขาคอหงส์ของ อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นแนวภูเขาอีกด้านหนึ่งทางตะวันออกของหาดใหญ่กลับมีฝนตกหนักมากในครั้งนี้ ดังนั้น ปริมาณน้ำจากฝนจึงไหลเข้าสู่ตัวเมืองหาดใหญ่โดยตรง ตามแนวภูมิประเทศของภูเขาที่ลาดชันลงสู่ตัวเมือง และเมื่อรวมกับปริมาณฝนที่ตกใส่พื้นที่เขตเมืองหาดใหญ่ด้วย จึงเป็นสาเหตุของน้ำท่วมหนักในระดับวิกฤต
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุดof ได้รับความนิยมสูงสุด
“ครั้งนี้ตัวเมืองหาดใหญ่รับน้ำจากฟ้า และรับน้ำที่หลากมาจากเนินเขาที่เป็นพื้นที่สูงด้านขวา (บนแผนที่) ของหาดใหญ่ก่อนไหลเข้าเมือง” ผศ.ดร.สมพร กล่าว

ที่มาของภาพ : facebook/Pr.Songkhla ประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา
2. กายภาพของเมืองหาดใหญ่ เมื่อต้องรับปริมาณฝนมากในพื้นที่
เหตุน้ำท่วมใหญ่เมืองหาดใหญ่ในอดีตเกิดเพราะเป็นพื้นที่ต่ำที่รับน้ำจาก อ.สะเดา และ อ.คลองหอยโข่ง ทำให้ทางการแก้ปัญหาโดยการขุดคลองเบี่ยงน้ำ ทว่าในครั้งนี้แหล่งที่มาของน้ำเกิดจากฝนที่ตกในพื้นที่คนละด้านของเมือง
ผศ.ดร.สมพร อธิบายว่า เมื่อทั้งฝนจากน้ำหลากบนภูเขาและฝนที่ตกในเมืองท่วมสูงขึ้น ด้วยกายภาพของตัวเมืองที่เต็มไปด้วยตึกอาคารคล้ายกับในกรุงเทพฯ ทำให้มวลน้ำไหลไปตามถนนและถูกล็อกเป็นช่อง ๆ ประกอบกับลักษณะกายภาพของเมืองที่คล้ายกับถาดที่มีขอบจากพนังกั้นน้ำของคลองระบายน้ำซึ่งสร้างไว้เพื่อไม่ให้น้ำเอ่อล้นเข้าเมือง ครั้งนี้กลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้ปริมาณน้ำไม่สามารถระบายลงคลองได้โดยง่าย น้ำจึงสะสมในเขตเมืองและท่วมสูงในเวลาอันรวดเร็ว
“หาดใหญ่เหมือนเป็นถาดที่มีขอบ ซึ่งลาดเอียงเล็กน้อยโดยทางด้านขวาสูงกว่าด้วยภูมิประเทศของเขาคอหงส์ เมื่อฝนตกมาก น้ำจึงไหลลงเข้าเมือง แต่เนื่องจากมีสิ่งกีดขวางเป็นล็อก ๆ น้ำจึงสะสมอยู่ในเขตเมือง ไม่สามารถลงคลองระบายน้ำได้” ผศ.ดร.สมพร กล่าว
“หลังคาตึกในหาดใหญ่เหล่านั้นเป็นเพียงตัวรับน้ำ แค่สัมผัสน้ำ แล้วก็ส่งน้ำลงคู ลงถนน… ส่วนคลองระบายน้ำทั้งหลายที่มีอยู่ 2-3 สาย น้ำจะลงคลองได้ไม่ได้ง่ายเหมือนกัน เนื่องจากมีสิ่งกีดขวาง ลักษณะของน้ำที่ท่วมจึงเสมือนท่วมเป็นล็อก ๆ ที่คั่นด้วยตึกอาคารในเมือง ดังนั้น ถนนจึงกลายเป็นลำคลอง จะมีความลึกสูงต่ำกี่เมตรก็แล้วแต่บริบทของน้ำ บางช่วงไหลเร็ว เพราะน้ำหลากมาจากพื้นที่อื่นแล้วเข้าร่องถนน”

ที่มาของภาพ : เทศบาลนครหาดใหญ่
3. การแจ้งเตือนภัย
สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสรายงานวันนี้ว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) แจ้งเตือนผ่านระบบเซลล์บรอดคาสต์ (cell broadcast) ไปยังพื้นที่เสี่ยงต่าง ๆ ใน จ.สงขลา ถึง 7 ครั้งด้วยกัน นับตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันที่ 20 พ.ย. จนถึงช่วงเที่ยงของวันที่ 22 พ.ย. ที่ผ่านมา
จากความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยที่ติดค้างอยู่ในพื้นที่อุทกภัยจำนวนมาก ทั้งในบ้านเรือนและโรงแรมต่าง ๆ ทำให้เกิดคำถามว่าเหตุใดการแจ้งเตือนดังกล่าวกลับไม่สามารถทำให้อพยพผู้คนและสิ่งของสำคัญออกมาจากพื้นที่เกิดเหตุได้ทัน หรือทำให้ประชาชนตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างเหมาะสม
ศิรินันต์ สุวรรณโมลี นักวิชาการและนักวิจัยอิสระด้านการจัดการภัยพิบัติ ให้ความเห็นกับ.ว่าการส่งข้อความเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ผู้คนลุกขึ้นไปทำอะไรต่อมิอะไรได้
“เอาเข้าจริงสิ่งที่จะทำให้เราลุกไปเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่คุ้นเคยว่าจะต้องไปทำอย่างอื่นแล้ว มันจำเป็นต้องมีอย่างน้อย 3 อย่าง คือ ความสามารถของคน, กลไกในการประสานหรือการรองรับ, และทรัพยากร”
เธออธิบายต่อว่า ข้อความเตือนภัยควรกำหนดหน้าต่างเวลาให้ประชาชนรับรู้ว่าอีกกี่ชั่วโมงหรืออีกนาที น้ำถึงจะมาถึงบ้าน เพื่อจะได้วางแผนอพยพหรือไตร่ตรองได้ว่าจะขนทรัพย์สินอะไรติดตัวไปบ้าง รวมถึงหากข้อความมาถึงเมื่อน้ำมาแล้ว ก็ควรบอกว่าประชาชนมีทางเลือกในการตอบโต้เหตุการณ์อย่างไรบ้าง โดยทั้งหมดนี้คือความสามารถในระดับบุคคลเมื่อต้องตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งการฝึกฝนให้รับมือฉากทัศน์สถานการณ์ต่าง ๆ อาจมีส่วนช่วยให้ประชาชนเผชิญเหตุได้ดีขึ้นด้วย
“หากประชาชนเขาไม่รู้ว่ามีที่ให้บ้านเขาไปอยู่ได้ หรือมีอะไรรองรับอยู่ตรงไหน เขาก็ไม่ไปอีกเหมือนกัน” เธอกล่าวเสริม
ในส่วนต่อมาคือกลไกการประสานงาน หรืออาจเรียกได้ว่าการบัญชาการเหตุการณ์ ซึ่งเธอเห็นว่าควรประกอบไปด้วยแผน บทบาทผู้แสดง และฉากทัศน์ แต่ปัจจุบันกลับไม่ใช่เช่นนั้น เนื่องจากแผนกำหนดเพียงว่าแต่ละหน่วยงานในระดับท้องถิ่นมีหน้าที่อะไร ที่ไหน อย่างไร
“ประเทศเราเขียนแผนกำหนดแค่คาแรกเตอร์ (personality) แต่ไม่ให้องค์หรือฉากทัศน์มาว่าซีนนี้ต้องเล่นอย่างไร เราเลยไม่มีชุดความรู้หรือทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า” เธอกล่าว
“ในระดับชั้นของผู้บัญชาการเหตุการณ์หรือระดับท้องถิ่น ถามว่าก่อนที่จะมีการเตือนภัย เขามีแผนหรือระเบียบการทำงานเป็นฉากทัศน์ที่ช่วยในการตัดสินใจไหม”

ที่มาของภาพ : เทศบาลนครหาดใหญ่
สำหรับทรัพยากรนั้น เธออธิบายว่าครอบคลุมตั้งแต่ทรัพยากรสำหรับการประกอบการตัดสินไปจนถึงทรัพยากรของพื้นที่มีเกิดขึ้นเพื่อรองรับกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อประชาชนต้องตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน พวกเขาต้องมีข้อมูลเพียงพอให้ตัดสินใจได้ว่าจะให้อพยพไปที่ไหน มีอะไรรองรับบ้าง จะเคลื่อนย้ายกลุ่มเปราะบางอย่างผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ คนสูงวัย อย่างไร
“หากไม่มีทรัพยากรและข้อมูลตรงนี้จากเทศบาล จากท้องถิ่น จากผู้นำ ประชาชนก็ไม่มีตัวเลือกในการตัดสินใจ” เธอบอก “ต่อให้ส่งเมสเสจให้เสียชีวิต ก็ไม่มีใครลุก”
หาดใหญ่ต้องจำลองฉากทัศน์น้ำท่วมใหม่เพื่อเตรียมแผนรับมือ
ผศ.ดร.สมพร ชี้ว่าในภาพรวมภัยพิบัติน้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ อาจไม่เพียงพอที่จะใช้ชุดความรู้เดิมในการเตรียมการรับมือ
“ฝนที่ตกหนักมาตั้งแต่ช่วงวันที่ 20 พ.ย. เป็นต้นมาจนถึงวันนี้ มันเป็นฝนที่ไม่ได้ตกแบบชุดความรู้แบบเดิมที่หาดใหญ่เคยเจอมา” ผศ.ดร.สมพร กล่าว “เหตุการณ์แบบนี้ ผมคิดว่าอาจเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ แม้ปีที่แล้วจะเจอฝนหนัก แต่ไม่ได้มากเท่าปีนี้ เนื่องจากปี 2567 เป็นฝนที่ตกในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ และที่เหลือบางส่วนพัดไปตกที่หาดใหญ่ สงขลา”
นักวิชาการด้านสภาพอากาศและภัยพิบัติในพื้นที่ภาคใต้ กล่าวต่อไปว่า บทเรียนครั้งนี้ควรนำไปสู่การเตรียมฉากทัศน์ (scenerio) ว่าหากไม่ใช่ฝนตกในระดับทั่วไป แต่เป็นฝนตกหนักในพื้นที่หาดใหญ่และมีปริมาณน้ำจากต้นน้ำมาเพิ่มอีก ฉากทัศน์จะเป็นอย่างไร ซึ่งทางฝ่ายวิชาการต้องเข้าไปหนุนเสริมให้กับเทศบาลท้องถิ่นด้วย
ในด้านระบบการจัดการภัยพิบัติ ศิรินันต์ สุวรรณโมลี นักวิชาการและนักวิจัยอิสระด้านการจัดการภัยพิบัติ ที่เสนอว่าในระยะยาวควรปรับปรุงแผนรับมือภัยพิบัติที่มีฉากทัศน์เข้าไปด้วย เพื่อกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนว่าจุดใดคือ “เส้นเสียชีวิต” ว่าถึงเวลาที่ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น ขนของขึ้นที่สูง อพยพย้ายไปยังศูนย์รับรอง ฯลฯ
นอกจากนี้ ควรแก้ไขเนื้อหาใน พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยด้วยการกำหนดตัวชี้วัดเรื่องการดำเนินงานป้องกันที่ชัดเจน ซึ่งควรมีผลผูกพันกับงบประมาณและทรัพยากร เพื่อทำให้งานป้องกันของแต่ละพื้นที่มีการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดงานป้องกันที่เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น












